วันศุกร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

Nowhere Boy (2009): เขาคนนี้ชื่อ 'จอห์น เลนน่อน'


Nowhere Boy (2009) :
The Beatles (สี่เต่าทอง นะไม่ใช่ สี่เต่าเธอ) ถือเป็นวงดนตรีในตำนานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดวงหนึ่งของโลก จึงไม่แปลกที่จะมีหนังเกี่ยวกับเรื่องราวความเป็นมาเป็นไปของวงนี้ออกมาให้ดูกัน หลายปีก่อนก็มีหนังเรื่อง Backbeat (1994) ที่พูดถึงช่วงที่ The Beatles ไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์ใน เยอรมันในยุคแรกๆ ของวง และสำหรับหนังของ ผกก.หญิงชาวอังกฤษ Sam Taylor-Wood เรื่องนี้ก็ขอพาย้อนถอยหลังไปยิ่งกว่าเรื่องก่อนหน้านี้ซะอีก ส่วนจะเจาะเวลาหาอดีตไปถึงไหนนั้นก็ไปดูกันเลยจ้า


หนังเสนอเรื่องราวของ John Lennon กับผู้หญิงสองคนนี้
หนังขอย้อนไปในช่วงที่ John Lennon (Aaron Johnson จาก Kick-Ass [2010]) ในวัยขบเผาะ ที่เพิ่งหัดทำเท่ เรียนกีต้าร์ ตั้งวงดนตรี เพราะอยากจะเท่แบบ Elvis Presley (โดยหารู้ไม่ว่า สักวันเขาและพรรคพวกจะดังไม่แพ้ Elvis เลยทีเดียว) โดยชีวิตเขาช่วงนั้นต้องเกี่ยวพันกับผู้หญิงสองคนอันประกอบด้วย คุณป้า Mimi ผู้เคร่งครัดที่เลี้ยงดูเขามาตั้งแต่อายุ 5 ขวบ และคุณแม่ Julia ที่ทิ้งเขาไปมีครอบครัวใหม่ตั้งแต่เขายังเล็ก ซึ่งสองคนนี้คือผู้หญิงสองคนที่เขารักมากที่สุด และก็มีส่วนบ่มเพาะผลักดันให้เขากลายเป็นศิลปินที่โด่งดังระดับโลกด้วย

และแล้วเราก็ได้เห็น McCartney และ Lennon (ตัวปลอม) ขึ้นจอพร้อมกันอีกครั้ง
คุณ ผกก. Sam Taylor-Wood เลือกที่จะไม่ใช้นักแสดงที่หน้าตาเหมือนตัวจริงๆ ของหนุ่มๆ สี่เต่าทอง ไม่ว่าจะน้องเกรียนโคตร Johnson ในบท Lennon ที่หล่อกว่าตัวจริงแยะ หรือที่ไม่เหมือนหนักยิ่งกว่านั้นคือ Thomas Sangster (เจ้าหนูมือกลองหัดรักจาก Love Actually [2003]) ในบททั่น Paul McCartney ช่วงวัยละอ่อน แต่เอาน่าก็เขาจงใจไม่ให้เหมือนนี่ ถ้ามาดูที่การแสดงจะพบว่าแต่ละคนทำหน้าที่ได้ดีทั้งสิ้น โดยเฉพาะเจ๊ Kristin Scott Thomas (The English Patient [1996]) ในบทป้า Mimi ที่ยังเจ๋งเชื่อมือได้เช่นเดิม ยิ่งหนังมีฉากปะทะอารมณ์กันพอสมควรด้วย งานนี้ก็เลยได้แสดงฝีมือกันใหญ่เชียว


นี่คือผู้หญิงสองคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขา
แต่สำหรับคนที่หวังจะดูฉากร้องเล่นเพลงของป๋า Lennon และพรรคพวกคงค่อนข้างผิดหวัง เพราะหนังเรื่องนี้เจาะชีวิตเขาช่วงเพิ่งหัดเล่น เลยไม่ค่อยมีฉากแบบนี้เท่าไหร่นัก แต่จะเน้นไปที่ความสัมพันธ์ของเขากับแม่และป้าซะมากกว่า แต่ก็ยังมีเพลงแจ่มๆ จากยุคนั้นให้ฟังกันอยู่เยอะพอสมควรนะจ้ะ โดยรวมแล้วนับเป็นหนังชีวประวัติคนดังที่ทำได้ดี และเหมาะสำหรับคนที่เป็นแฟน The Beatles หรือสำหรับคนที่อยากจะรู้ประวัติความเป็นไปของวงนี้ ดูเรื่องนี้เสร็จแล้วต่อด้วยเรื่อง Backbeat จะได้ความต่อเนื่องมากเลยนะจะบอกให้


กว่าจะดังได้ มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยสำหรับพวกเขา
ถึงเราๆ ท่านๆ จะรู้กันอยู่ว่า Lennon เป็นศิลปินอัจริยะคนหนึ่ง แต่หนังก็แสดงให้เห็นอยู่ตลอดว่า ไม่ใช่จู่ๆ เขาก็เล่นกีต้าร์เก่งขึ้นมาเลย หากเราจะเห็นได้ว่ามีหลายฉากที่เขาใช้เวลาฝึกเล่นอย่างมุ่งมั่น จนถึงกับนิ้วมือด้านแบบที่นักดนตรีทุกคนต้องเคยเป็นมาแล้ว เห็นแล้วก็นึกถึงเพลงของ เจินๆ ที่ว่า "30 ลิขิตฟ้า 70 ต้องฝ่าฟัน ต้องสู้ ต้องสู้ ถึงจะชนะ" อ้าว ขึ้นต้น The Beatles ซะอย่างดี ไหงลงท้ายกลายเป็นเจินๆ ไปได้หว่า?!
  • น่าดูเพราะ: เป็นหนังประวัติป๋า John Lennon ที่ทำได้ดี การแสดงเด่น แฟนๆ The Beatles หรือคนรุ่นใหม่ที่อยากทำความรู้จักพวกเขา มิควรพลาด
  • ไม่น่าดูเพราะ: สำหรับคนที่ไม่ใช่แฟน ก็จะพบว่าเป็นหนังดราม่า Coming of Age ธรรมดาเรื่องหนึ่งเท่านั้น


*อันเนื่องมาจากหนัง*

หนุ่มๆ สี่เต่าทองกับทรงผมสุดแนว
สำหรับผู้ที่ไม่รู้จัก หรืออาจจะเคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของ The Beatles มาบ้าง(แต่ก็ยังไม่รู้จักอยู่ดี) เราก็มีเรื่องราวพอสังเขปของพวกเขามาเล่าให้ฟังดังต่อไปนี้

The Beatles คือวงร็อครุ่นเดอะจาก ลิเวอร์พูล ประเทศอังกฤษ ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดวงหนึ่งในประวัติศาตร์ดนตรี พวกเขารวมตัวกันตั้งแต่ปี 1960 โดยมีสมาชิกอันประกอบด้วย John Lennon (กีต้าร์, ร้อง), Paul McCartney (เบส, ร้อง), George Harrison (กีต้าร์, ร้อง) และ Ringo Starr (กลอง, ร้อง) ซึ่งพวกเขาก็ส่งเพลงฮิตเพลงแล้วเพลงเล่าออกมาให้วัยรุ่น(ยุคโน้น)คลั่งไคล้จนโด่งดังทั้งฝั่งอเมริกาและอังกฤษ (ซึ่งนั่นก็หมายถึงทั่วโลกด้วย)

เสียดายที่พวกเขาก็ต้องแตกวงไปในปี 1970 ด้วยผลงานทั้งหมด 12 อัลบั้ม แล้วแต่ละคนก็หันไปทำวงไม่ก็ออกอัลบั้มเดี่ยวกันไปตามเรื่อง จนกระทั่งวันที่ 8 ธ.ค.1980 John Lennon ก็ถูกนาย Mark David Chapman ดักยิงตายหน้าตึกที่พักของเขา ในขณะที่เขาอายุได้ 40 ปี ยังความเสียใจให้แก่แฟนเพลงทั่วโลก

หลังจากนั้นในวันที่ 29 พ.ย.2001 George Harrison ก็ตามไปอยู่เป็นเพื่อน Lennon อีกคน ด้วยโรคมะเร็ง ทิ้งให้ McCartney กับ Ringo Starr มาลุ้นกันเองว่าใครจะเป็นรายต่อไป แต่ไม่ว่าจะยังไง ผลงานของพวกเขาก็จะถูกจดจำไปตราบนานเท่านาน กระทั่งทุกๆวันนี้ คนรุ่นใหม่ๆ ก็ยังพากัน
ชื่นชอบและเสาะแสวงหาผลงานของพวกเขามาฟังกันอยู่ ซึ่งก็พอจะเป็นเครื่องพิสูจน์ได้ถึงความอมตะของบทเพลงของหนุ่มๆ สี่เต่าทอง ที่ได้รังสรรค์ขึ้นมามอบให้แก่โลกเบี้ยวๆ ใบนี้ ว่าแล้วเราก็มีบางเพลงของพวกเขาจากหนังมามอบให้ซะเลยจ้า


*ข้อมูลจาก Wikipedia จ้า*

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น