วันจันทร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2554

It's Kind of a Funny Story (2010): เรื่องขำๆ ของคนป่วยจิต

It's Kind of a Funny Story (2010):
Craig Gilner (Keir Gilchrist) หนุ่มวัย 16 ขวบมีอาการจิตตก หดหู่ มาได้สักระยะจากการกลัวว่าตนจะประสบความล้มเหลวในชีวิต(โห ตั้งแต่ตอนนี้เลยนะ?!) จนคิดจะฆ่าตัวตายโดยการโดดสะพานบรู้คลินซะให้รู้แล้วรู้รอด แต่ยังดีที่เขายังคิดถึงพ่อแม่และน้องสาวอยู่ จึงได้ล้มเลิกความตั้งใจนั้น แล้วเดินดุ่มเข้าไปที่ รพ.แถวบ้านเพื่อกะจะขอยามาระงับความเครียดซะหน่อย แต่คุณหมอกลับสั่งแอดมิท เพื่อขอสังเกตอาการของเขาเป็นเวลาห้าวัน ซึ่งพ่อแม่ของเขาก็ดันเห็นดีเห็นงามกับหมอซะด้วยสิ งานนี้พระเอกเราเลยจำต้องอยู่กินนอนรวมกับบรรดาผู้ป่วยคนอื่นๆ จนเกิดเรื่องราวสนุกๆ ขึ้นมากมายเลยเชียว


กี่เรื่องๆ เฮียเขาก็มากับเคราทรงนี้
ผกก.แพ็คคู่ Anna Boden และ Ryan Fleck ที่เคยร่วมงานกันมาจาก Half Nelson (2006) ขอดัดแปลงนิยายชื่อเดียวกันของ Ned Vizzini ที่ตีพิมพ์ตั้งแต่ปี 2006 มาขึ้นจอเงิน โดยได้เฮียเคราเฟิ้มจอมขโมยซีน Zach Galifianakis (The Hangover [2009]) สาว Emma Roberts (Valentine's Day [2010]) มาเป็นตัวเรียกแขก และ Keir Gilchrist หนุ่มหน้าใสวัย 18 ขวบมารับบทพระเอกจิตตกประจำเรื่องนั่นเอง

นางเอกช่างน่ารักน่าหยิกเสียจริงๆ
หนังออกมาแนววัยรุ่นเรียนรู้ชีวิตในสังคมที่แตกต่าง(สุดๆ)ที่เจืออารมณ์ขันออกมาแบบพอดีๆ ไม่มากเกินไปจนถึงกับต้องหัวเราะอึแตกอึแตนหรือน้อยเกินไปจนหนังฝืดสนิทคนดูส่ายหน้า และถึงหนังจะเต็มไปด้วยเรื่องราวของบรรดาผู้ป่วยทางจิต(ในระดับที่ไม่รุนแรงมาก)ที่มีปัญหาชีวิตสุดชีช้ำ แต่หนังก็เล่าเรื่องออกมาได้อย่างคลี่คลาย สบายๆ เต็มไปด้วยข้อคิด ลีลาท่าทางค่อนข้างจะกิ๊บเก๋ แถมยังมีแต่นักแสดงและตัวละครที่มีเสน่ห์ได้ใจคนดูอีกด้วยต่างหาก


อิตาคนขวาหลบไปเล่นซีรี่ส์ Lost ซะหลายปีเชียว
ซึ่งคนที่เด่นที่สุดย่อมไม่พ้นเฮียเคราเฟิ้มเราที่ปกติแกก็ชอบมากับบทคนที่ออกจะรั่วๆ อยู่แล้ว มาในเรื่องนี้จึงถือเป็นการวางบทที่เหมาะสมกับแกเป็นอย่างยิ่ง ถึงแม้จะไม่มีอะไรที่แปลกแตกต่างจากที่เราเคยเห็นแกมากก็ตาม ส่วนอีกคนที่เป็นดั่งแสงประกายอันแสนสุกสกาวในหนังก็คือคุณน้อง Roberts ที่ถึงบทบาทจะไม่เด่นมากมายอะไร แต่ก็สามารถนำความสดใสเป็นธรรมชาติมาสู่บทบาทของเธอได้อย่างน่าหลงใหลทีเดียว และที่จะละเลยไม่ได้เลยคือดนตรีประกอบที่เลือกเพลงอินดี้แนวๆ มาใช้ได้อย่างบรรเจิด ลงตัวกับหนังมากมายทีเดียวเชียว


คู่พระนางของเรื่องกำลังสวีทกัน
ถึงโดยรวมแล้วหนังจะไม่มีอะไรเด็ดๆ ใหม่ๆ ที่แตกต่างจากหนังแนวนี้อื่นๆ มาฝาก แต่เท่าที่ออกมาก็ถือว่าทำออกมาได้ดูเพลิน ให้แง่คิดในระดับหนึ่งเลยแหล่ะ ซึ่งบทเรียนจากหนังอาจจะไม่ได้มีไว้สำหรับเด็กวัยรุ่นเท่านั้น แต่ยังรวมถึงบรรดาคนทุกเพศทุกวัยที่กำลังรู้สึกสับสน กดดัน หมดหวังในการสู้ชีวิตอีกด้วย เฮียเคราเฟิ้มเขาขอรับประกันคุณภาพเลยจ้า พี่น้องที่เคารพรักทุกท่าน
  • จุดเด่น: เป็นหนังดราม่าตลก เรียนรู้ชีวิต ที่ทำออกมาได้ดูเพลินดี ดารามีเสน่ห์ น่าดูทีเดียวจ้า
  • จุดด้อย: ไม่ค่อยลงลึกไปในทางดราม่า จนหนังดูเบาบางทางอารมณ์ไปบ้าง และไม่มีอะไรใหม่ๆ เกินไปกว่าหนังแนวนี้ที่เคยมีมา






*ช่วงเพลงในหนัง*

David Bowie และวง Queen
หนังได้วงรวมพลคนอินดี้จากแคนาดาอย่าง Broken Social Scene มาทำเพลงประกอบให้ รวมทั้งยังมีเพลงอินดี้เด็ดๆ อีกหลายวงอย่างเช่น The xx, White Hinterland, The Drums ฯลฯ ไปยันเพลงเก่าๆ รุ่นลายครามจาก Black Sabbath, Bob Dylan และที่โดดเด่นสุดๆ คือเพลงเก่าสุดฮิตจากปี 1981 ของ Queen และ David Bowie อย่าง Under Pressure ที่มาฟังในทุกวันนี้ก็ยังแจ่มอยู่ ส่งผลให้หนังเรื่องนี้มีเพลงประกอบที่รื่นหูยิ่งนัก ว่าแล้วเราก็มาฟังเพลงเด่นๆ กันเลยจ้า

วันพฤหัสบดีที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2554

The King's Speech (2010): เพื่อนผมเป็นพระราชา(นะขอบอก)

The King's Speech (2010) :
นี่เป็นหนังคุณภาพจากอังกฤษที่มาแรงแซงทางโค้งมากที่สุดเรื่องหนึ่งของปีที่แล้ว เพราะใครๆ ที่ได้ดูก็ต่างซูฮกถึงความดีงามของหนัง จนหนังตระเวนกวาดรางวัลมาแล้วจากแทบทุกจะเวที และถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสก้าร์มากถึง 12 สาขา รวมทั้งสาขานำชายที่เฮีย Colin Firth (Bridget Jones's Diary [2001]) เป็นตัวเก็งแบบไม่ต้องเกร็งชนิดที่แทบจะนอนกางมุ้งรอรับรางวัลมาแต่ไกลเชียว


เฮียเขาขอจองออสก้าร์มาแต่ไกล
หนังพาย้อนไปอังกฤษตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ.1925 เพื่อพบกับเรื่องราวของเจ้าชาย Albert (Firth) ซึ่งมีปัญหาในการพูดไม่ค่อยออกบอกไม่ค่อยถูกมาตั้งแต่ยังเยาว์วัย โดยเฉพาะเมื่อต้องพูดต่อหน้าธารกำนัลอาการจะยิ่งกำเริบหนัก ดังนั้นฝ่ายพระชายา (Helena Bonham Carter) จึงได้ดอดไปพบนักแก้ไขการพูดที่เป็นชาวบ้านธรรมดาๆ นาม Lionel Logue (Geoffrey Rush) เพื่อให้มาช่วยบำบัดพระสวามีซึ่งจะต้องขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์ George ที่หก จนเกิดเป็นเรื่องราวมิตรภาพอันสุดแสนประทับใจระหว่างสามัญชนคนเดินดินกับพระมหากษัตริย์แห่งสหราชอาณาจักรเอย


อิตาคนซ้ายก็เล่นได้ดีมิใช่หยอก
ดูเหมือน ผกก.Tom Hooper จะชื่นชอบในการสร้างหนังประวัติคนดังซะจริงๆ (คราวก่อนก็ The Damned United [2009] หนังที่เกี่ยวกับ Brian Clough โค้ชฟุตบอลในตำนานไงล่ะ) ซึ่งมาคราวนี้กับเรื่องราวในรั้วในวังของราชวงศ์(อังกฤษ)ที่ ใครๆ ก็ใคร่รู้ใคร่เห็น(จริงมั้ย เหอๆ) ถึงกระนั้นหนังโดยรวมก็ไม่ได้ออกมาซีเรียสอะไรหนักหนา หากแต่เป็นหนังที่มาในอารมณ์สบายๆ แบบที่สามารถดูไปยิ้มไปได้เกือบตลอดเรื่อง(ทว่าหนังก็ไม่ได้ออกแนวตลกโปกฮาหรอกนะ) แถมยังให้ข้อคิด ความรู้ทางประวัติศาสตร์ ความบันเทิง และความประทับใจอีกต่างหาก


พระราชาก็ร้องไห้จิตตกเป็นนะ
และที่โดดเด่นที่สุดคงจะไม่พ้นเหล่านักแสดง ไม่ว่าจะเฮีย Firth ที่ยอดเยี่ยมและทรงพลังสุดๆ ในทุกลีลา ชนิดที่ว่าดูไปก็ต้องคอยนึกแต่ว่า "โอ๊ย!! ให้ๆ แกไปเห๊อะ ออสก้าร์น่ะ" เพราะว่าเฮียเขาคู่ควรจริงๆ ทางด้านลุง Rush แกก็ใช่ย่อยซะจนถึงเราจะรักจะเชียร์เฮีย Christian Bale จาก The Fighter มากแค่ไหน ก็ยังต้องแอบปันใจให้ลุงเขาเลย ส่วนเจ๊ Carter ก็พลิกบทบาทมารับบทที่ดูเป็นผู้เป็นคนปกติมากที่สุดในหนังระยะหลังๆ ของเจ๊ได้อย่างน่าชื่นชมเช่นกัน แต่คงยังไม่ถึงกับโดดเด้งพอที่จะซิวออสก้าร์ประกอบหญิงมาครองได้หรอกนะ ส่วนงานด้านอื่นๆ ก็ล้วนยอดเยี่ยมดูดีมีชาติตระกูลทั้งหมดเชียว


เจ๊แกได้บทที่ปกติสุขที่สุดในรอบสิบปีแล้วมั้ง
เชื่อว่าถ้าหากหนังเรื่องนี้ได้รางวัลออสก้าร์หนังยอดเยี่ยมไปครองก็คงจะไม่มีใครต่อว่าแต่อย่างใด แถมยังจะมีแต่คนอนุโมทนาสาธุที่ผลออกมาเป็นแบบนั้นอีกต่างหาก เพราะนี่เป็นหนังที่ดีจริงๆ ซึ่งนอกจากจะแสดงให้เห็นถึงหัวอกคนเป็นพระราชาที่ใช่ว่าจะต้องเพอร์เฟ็กต์ดีพร้อมเสมอไปแล้ว ยังได้เห็นถึงมุมมองที่เกี่ยวกับมิตรภาพระหว่างสามัญชนกับกษัตริย์ เช่นในฉากหนึ่งที่พระราชาและพระราชินีแห่งอังกฤษมาเยี่ยมเยียนลุง Rush ถึงบ้าน(อันแสนซอมซ่อ)เป็นการส่วนพระองค์ ว้าว! แค่นี้ก็น่าทึ่งแล้วนะ โดยเฉพาะถ้าหากสิ่งที่เราเห็นในหนังนั้นเป็นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นจริงๆ ล่ะก็

ปล.ที่หนังได้เรท R เพราะมีฉากที่พระราชาท่านแจกฟักอยู่หลายคำ เหอๆ (แค่นั้นอ่ะ?)


  • จุดเด่น: เป็นหนังโคตรดี สาระความบันเทิงครบครัน การแสดงก็โดดเด่นมากๆ เยี่ยมจริงๆ เลยขอบอก
  • จุดด้อย: หน้าหนังชวนให้เข้าใจว่าเป็นหนังที่ดูยาก ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วไม่ใช่เลย





Confessions (2010): อย่าทำให้คุณครูแค้น(นะจะบอกให้)




Confessions (2010) :
คอหนังหลายคนคงจะเคยติดอกติดใจกับหนังเพลงสีสันจัดจ้านแต่สุดจะรันทดอย่าง Memories of Matsuko (2006) ของ ผกก.เท็ตซึยะ นากาชิม่า กันมาแล้ว และนี่คือผลงานล่าสุดของเขาที่แจ่มแจ๋วซะจนถูกเสนอชื่อเข้าชิงออสก้าร์ภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยมปีนี้ และก็ติดโผเข้ารอบสุดท้ายเรียบร้อยหอยเสียบเสียด้วย ไม่ธรรมดาเลยนะเนี่ยเรื่องเนี้ย


ดูท่าทางคุณครูจะอารมณ์ไม่ค่อยดีนะเนี่ย
มาเรื่องนี้คุณ ผกก. ควงแขนนักร้อง/นักแสดงสาวมากความสามารถอย่าง ทากาโกะ มัตสึ (Tokyo Tower: Mom and Me, and Sometimes Dad [2007]) มารับบทครูสาวที่เชื่อว่าลูกสาวตัวน้อยของเธอถูกนักเรียน ม.ต้นสองคนในชั้นฆ่าตายโดยเจตนา ครั้นจะแจ้งความดำเนินคดีพวกนั้นคงรอดคุกแน่เพราะยังเป็นผู้เยาว์กันอยู่ ดังนั้นการแก้แค้นอันสุดบรรเจิดของเธอจึงได้เกิดขึ้น ซึ่งไม่ใช่การจับพวกนั้นไปแล่เนื้อเถือหนังตามอย่างหนังแก้แค้นทั่วๆ ไปหรอกนะ เพราะวิธีการของเธอนั้นแสนจะร้ายกาจกว่านั้นเยอะทีเดียว (โห!?)


งานด้านภาพอย่างกับเอ็มวี
หนังเปิดตัวขึ้นมาในชั้นเรียนกับภาพที่คุณครูสาวท่าทางใจดีผู้กำลังจะลาออก กำลังพล่ามอะไรไปเรื่อยโดยที่บรรดานักเรียนส่วนใหญ่ต่างไม่ใคร่จะมีใครสนใจ ซึ่งฉากนี้ฉากเดียวก็กินเวลากว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว และเฉลยตัวร้ายตั้งแต่ช่วงแรก ต่อด้วยการแก้แค้นของนางเอกที่ทั้งเรื่องแทบจะไม่ได้โผล่หน้ามาให้เห็นอีกเลย(เอ๊ะ ยังไง?) แต่หนังกลับไม่น่าเบื่อเลยสักนิด ทว่ากลับยิ่งค่อยๆ ทวีความน่าติดตามมากขึ้นทุกที ซึ่งมีแต่เรื่องชวนอึ้ง เหนือความคาดเดา และรุนแรงพอดูทีเดียว


หนังเต็มไปด้วยวัยรุ่นหน้าตาน่ารัก
ถึงคุณมัตสึ จะโผล่หน้าในหนังไม่นานนัก แต่สิ่งที่เธอทำกลับมีผลกระทบตลอดทั้งเรื่อง ซึ่งการแสดงของเธอ(ที่มาในสภาพหน้าตาซีดเซียวจืดชืดไร้เมคอัพ)นั้นก็แหล่มมากๆ ในทุกวินาทีที่เธอขึ้นจอในมาดครูสาวมาดนิ่งผู้เต็มไปด้วยความเคียดแค้น ส่วนบรรดาเด็กวัยรุ่นวัยละอ่อนที่มีบทบาทบนจอมากกว่านั้นก็ล้วนหน้าตาดี(อันนี้ล่ะสำคัญ อิอิ) แสดงดีตามที่บทต้องการ เมื่อมาเจอกับงานด้านภาพสวยๆ สโลว์โมชั่น แนวๆ เหมือนมิวสิควีดีโอ และเพลงประกอบเพราะๆ ตามสไตล์หนังของ ผกก.คนนี้เขาล่ะ มันก็เลยเป็นอะไรที่ทำให้หนังบรรเจิดขึ้นไปอีกพอดูทีเดียว


ที่ไหนๆ เขาก็มีแกล้งเพื่อนแล้วถ่ายคลิป
นอกจากจะเป็นหนังแนวแก้แค้นแล้ว หนังยังเสนอภาพของปัญหาสังคมของคนญี่ปุ่น และความเป็นไปของวัยรุ่นสมัยนี้ด้วย ซึ่งไม่ว่าจะวัยรุ่นที่ไหนยุคไหนก็นะ ต้องมีปัญหากันอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าวัยรุ่นในยุคไอทีเช่นนี้ต่างจากวัยรุ่นยุคก่อนๆ ก็ตรงที่มีโอกาสได้แสดงและเผยแพร่ความป่วยของตนให้สังคมได้รับรู้กันแบบง่ายๆ บนโลกออนไลน์ จนแทนที่จะมีปัญหาอยู่คนเดียว ยังสามารถหาแนวร่วมป่วยได้สบายๆ อีกด้วย
  • จุดเด่น: หนังดี การแสดงเด่น เล่าเรื่องได้ชวนติดตาม สะท้อนปัญหาสังคม มีแต่วัยรุ่นหน้าตาน่ารักอีกต่างหาก(อิอิ)
  • จุดด้อย: ช่วงแรกเต็มไปด้วยบทสนทนา อาจทำให้หมดความสนใจในแว่บแรกที่ดู และการเล่าเรื่องอาจไม่เรียบง่ายชวนงงสำหรับผู้ที่ไม่คุ้นเคยกับหนังญี่ปุ่นอยู่บ้าง





*ช่วงเพลงในหนัง*


Radiohead
ไม่รู้ว่าพักหลังๆ นี้สมาชิกวงร็อคสุดเทพจากอังกฤษอย่าง Radiohead ติดใจอะไรกับหนังญี่ปุ่นนักหนา เพราะในรายของ Jonny Greenwood มือกีต้าร์ของทางวงก็ไปทำดนตรีประกอบให้หนัง Norwegian Wood (2010)มาแล้ว และสำหรับเรื่องนี้ทางวงก็อนุญาตให้นำเพลง Last Flowers จากอัลบั้ม In Rainbows มาใช้เป็นเพลงธีมประจำเรื่องอีกด้วย แถมยังมีเพลงเก๋ๆ จากศิลปินอื่นๆ อีกด้วย (เช่น The xx และ Boris) แจ่มนะเนี่ยหนังเรื่องเนี้ย

MP3: Radiohead - Last Flowers

MP3: The xx - Fantasy



วันอังคารที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2554

Paranormal Activity 2 (2010): บ้าน AF ฉบับขนหัวลุก


Paranormal Activity 2 (2010) :
ก็เพราะภาคแรกฮิตถล่มทลายระดับปรากฏการณ์ซะปานนั้น(ใช้ทุนสร้างแค่ 15,000 แต่กวาดเงินไป 193 ล้านเหรียญ!!) จึงไม่แปลกที่เราจะได้ดูภาคต่อกันอีก ซึ่งก็ออกมาทันใจยึดทำเลทองในช่วงฮัลโลวีนออกฉายแข่งกับ Saw ซะเลย(แต่ Saw จบไปแล้วนี่) ที่ก็ยังฮิตเถิดเทิงทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำอยู่ดี (กวาดเงินไป 169 ล้านจากทุนสร้าง 3 ล้านเหรียญ) จนเห็นทีว่าเราคงจะได้ดูหนังชุดนี้กันอีกแน่นอนซะแล้วละเนี่ย เหอๆ


แขกไม่ได้รับเชิญมาเยี่ยมบ้านแล้วจ้า
มาภาคนี้ขอย้อนไปเสนอเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้าภาคแรก(หรือที่เรียกว่า prequal นั้นแหล่ะ) โดยเสนอเรื่องราวชวนขนหัวลุกที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของ Kristi (เป็นพี่น้องของ Katie นางเอกภาคแรก) ที่มีสมาชิกครอบครัวทั้งหมดสี่คน(กับน้องหมาอีกหนึ่งตัว) ซึ่งเริ่มเจอเรื่องราวแปลกๆ เกิดขึ้นมากมายในบ้านนับตั้งแต่เธอคลอดลูกชายคนเล็กออกมา และมันก็หนักข้อเรื่อยๆ จนพวกเขาเริ่มสติแตกเมื่อพบว่ามีปีศาจร้าย(ขี้เล่น)เที่ยวเดินยุ่มย่ามอยู่ในบ้านของพวกเขาด้วยจุดประสงค์บางอย่าง ซึ่งมันไม่ได้มาให้หวยแน่นอน !?


น้องหมาและเด็กแสดงดีมาก อิอิ
สำหรับคนที่งงๆ ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในภาคแรกคงได้เข้าใจอะไรๆ มากขึ้นเพราะในภาคนี้ได้เอ่ยถึงที่มาที่ไปของการคุกคามจากปีศาจร้ายไว้อย่างชัดเจน และด้วยการย้อนไปเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนภาคแรกเราจึงได้เห็นสองผัวเมียจากภาคแรกโผล่มาป้วนเปี้ยนในเรื่องด้วยเป็นระยะๆ (ซึ่งพวกเขาก็สำคัญกับเรื่องพอดู ไม่ได้โผล่มางั้นๆ ให้พอรู้ว่าเป็นภาคต่อกัน) ส่วนการนำเสนอในภาคนี้ก็ขอเพิ่มกล้องหลายตัวติดตามมุมต่างๆ ของบ้าน ปนกับการใช้กล้องแฮนด์เฮลด์ ไม่ได้ใช้กล้องแค่ตัวเดียวเหมือนคราวก่อน(ก็ทุนสร้างภาคนี้เยอะกว่านิ) ทำให้ได้มุมกล้องที่หลากหลาย นิ่งกว่า และชวนให้นึกถึงบรรยากาศของบ้าน AF เวอร์ชั่นขนหัวลุกดีแท้


ภาพจากหนังเหมือนดูผ่านกล้องวงจรปิดเกือบตลอดเรื่อง
ส่วนด้านความน่ากลัวก็พอฟัดพอเหวี่ยงกับภาคแรก ซึ่งคนที่เคยซื้อกับไอเดียของภาคนั้นมาก่อนก็คงจะชอบได้ไม่ยาก ส่วนคนที่ไม่ได้ชื่นชอบภาคแรกอยู่แล้วก็อาจจะไม่ชอบภาคนี้กันต่อไป แต่ก็นะ การที่หนังทำออกมาสไตล์เดิมๆ มุกเดิมๆ ไม่ค่อยมีอะไรใหม่ๆ เนี่ย คนดูส่วนใหญ่เขาก็เริ่มจะจับไต๋กันได้แล้วว่าหนังจะมาทางไหน และคงเริ่มจะไม่ตื่นเต้นกับหนังอีกต่อไป ซึ่งนี่เห็นว่าเตรียมเข็นภาคสามออกมาฉายในช่วงฮัลโลวีนนี้แล้ว ยังไงก็หวังว่าจะมีมุกใหม่ๆ มานำเสนอนะ ไม่งั้นหนังแฟรนไชส์'แอบถ่ายผี'ชุดนี้คงต้องไปหากินบนตลาดหนังแผ่นแทนแน่เชียว เหอๆ


ฉากผีลากขายังคงมีให้เห็น
และถึงหนังเรื่องนี้จะไม่ใช่เรื่องจริง เป็นเพียงการแสดง(ที่พยายามจะให้เหมือนจริง)แต่มีความจริงข้อหนึ่งที่เราปฏิเสธไม่ได้เลยก็คือเรื่องการไปข้องเกี่ยวกับภูติผีปีศาจนั้น มันไม่มีทางส่งผลดีแก่เราแน่นอน เพราะพวกมันไม่มีสัจจะ เป็นเจ้าแห่งการมุสา อาฆาตมุ่งร้าย และเอาเปรียบเสมอ ที่สำคัญกว่านั้นคือผลร้ายเหล่านั้นจะส่งผลตกทอดไปถึงรุ่นลูกหลานเสียด้วย ดังนั้นทางที่ดีเราอย่าไปข้องแวะกับพวกมันเหล่านี้เลยจะดีกว่า ไม่ว่าจะในระดับเล็กน้อยไปจนถึงใหญ่โตก็ตามที เราขอเตือนด้วยความปรารถนาดีเน้อ

  • จุดเด่น: คุณภาพพอฟัดพอเหวี่ยงกับภาคแรก มีความเกี่ยวเนื่องจากภาคแรกที่จะช่วยทำให้เข้าใจอะไรกระจ่างมากขึ้น และสำหรับคนที่คิดว่าภาคแรกน่าเบื่อ คราวนี้ก็หลอกกันตุ้งแช่เพิ่มขึ้นด้วย
  • จุดด้อย: น่าเสียดายที่หนังมากับมุกเดิมๆ ไม่มีอะไรใหม่ แบบที่คนเขาเริ่มจะจับไต๋กันได้แล้ว เลยไม่สดใหม่เหมือนที่เคย




วันจันทร์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2554

Vanishing on 7th Street (2010): เงามัจจุราชเขมือบโลก


Vanishing on 7th Street (2010) :
ผกก.Brad Anderson ป็นที่รู้จักจากคอหนังส่วนใหญ่ด้วยผลงานสุดหลอนอย่าง The Machinist (2004) แต่ดูเหมือนว่าหลังจากนั้นเขาจะยังไม่มีผลงานที่โดดเด่นเข้าตาคอหนังอีกเลย จนระยะหลังๆ เขาต้องไปปักหลักกำกับบรรดาหนังซีรี่ส์แทน(รวมถึงซีรี่ส์ฮิตอย่า Fringe ด้วย) สลับกับการทำหนังออกมาบ้าง ซึ่งหนังลึกลับระทึกขวัญเรื่องนี้ก็คือผลงานล่าสุดของเขาเองจ้า


ไฟฉายคือสิ่งจำเป็นในหนังเรื่องนี้
ส่วนพล็อตเรื่องก็มีอยู่ว่า จู่ๆ ในค่ำคืนวันหนึ่งก็เกิดไฟฟ้าดับไปทั้งเมือง(หรืออาจจะทั้งโลก?!) ซึ่งต่อมาก็ปรากฏว่าผู้คนล้วนหายตัวกันไปหมด เหลือแต่เพียงเสื้อผ้าที่พวกเขาใส่กองอยู่กับพื้นเท่านั้น แต่ก็ยังมีบางคนที่ไม่ได้หายตัวไป ซึ่งก็คือคนที่เผอิญจุดไฟแช็คหรือเปิดไฟฉายหรือไม่ได้โดนความมืดปกคลุมตัวในช่วงเวลาเกิดเหตุพอดี และพระเอก Hayden Christensen (Jumper [2008]) ก็คือหนึ่งในคนเหล่านั้น ซึ่งเขาและคนอื่นๆ ที่รอดมาได้อีกหยิบมือก็ต้องพยายามหาทางเอาตัวรอดจากหายนะสุดสยองปนลึกลับครั้งนี้ไปให้ได้เอย

หนังเมืองร้างมาอีกเรื่องแล้วจ้า
นับว่าหนังมีไอเดียที่น่าสนใจทีเดียว เพราะดูเหมือนจะได้แนวคิดมาจากเหตุการณ์ 'The Lost Colony'ที่เกิดขึ้นที่อเมริกาเมื่อกว่าสี่ร้อยปีที่แล้ว มาทำเป็นหนังในเหตุการณ์ยุคปัจจุบันได้อย่างน่าดู พร้อมด้วยดาราที่แม้จะมาน้อยแต่ก็ล้วนแต่คุ้นหน้าคุ้นตาคอหนังกันเป็นอย่างดี หนังเริ่มต้นก็กระโจนเข้าสู่เหตุการณ์ตื่นเต้นแทบจะทันทีโดยไม่ต้องต้องปูเรื่องให้มากความ แล้วค่อยย้อนไปเล่าเรื่องของแต่ละคนสลับกันไปในทีหลัง ส่วนด้านความตื่นเต้นก็พอลุ้นได้อยู่โดยเฉพาะบรรดาผู้ที่กลัวความมืดทั้งหลายที่น่าจะอินไปกับหนังเป็นพิเศษ ส่วนด้านเอฟเฟกต์ก็ไม่เรียกร้องอะไรมากอยู่แล้ว เพราะตัวร้ายในหนังเรื่องนี้มาในรูปของเงามืดแค่นั้นเอง


เรื่องนี้พระเอกเราไม่มีพลังพิเศษอะไรเสียด้วยล่ะสิ
และก็เหมือนกับหนังแนวนี้ส่วนใหญ่ที่ไม่ได้อธิบายถึงต้นตอหรือสาเหตุของสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้กระจ่างชัด(ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่ปัญหาถ้าทำหนังออกมาดี) ทว่าถึงจะมีไอเดียที่น่าสนใจแต่หนังยังเล่าเรื่องได้ไม่น่าติดตามนัก ส่วนบรรดาตัวละครหลักก็ไม่สามารถได้ใจคนดูให้คอยลุ้นคอยเชียร์พวกเขาไปตลอดรอดฝั่งซะนี่ และไม่มีอะไรเด็ดๆ ที่จะทำให้หนังโดดเด่นกว่าเรื่องอื่นๆ ยิ่งในทุกวันนี้ที่เรามีหนังแนว'คนร้างเมืองเกลี้ยง' ออกมาให้ดูกันบ่อยๆ ด้วยแล้ว หนังก็เลยได้แค่ระดับ'เกือบจะดีแล้ว'ในท้ายที่สุดไปอย่างน่าเสียดายจ้า
  • จุดเด่น: เป็นหนังตื่นเต้นลึกลับที่มีไอเดียน่าสนใจ นักแสดงมีเกรด ดูลุ้นได้ดีพอสมควรเลย
  • จุดด้อย: หนังเล่าเรื่องได้ไม่ค่อยน่าติดตามไปอย่างน่าเสียดาย และไม่มีอะไรเด็ดๆ ที่จะทำให้คนดูต้องฮือฮาเสียด้วยสิ





*ช่วงอันเนื่องมาจากหนัง*

ภาพการค้นพบคำว่า"Croatoan"
อย่างที่เอ่ยไปข้างต้นว่าหนังน่าจะได้แรงบันดาลใจจากเหตุการณ์ 'The Lost Colony'ที่เกิดขึ้นที่อเมริกาเมื่อกว่าสี่ร้อยปีที่แล้ว เพราะมีการนำมาเอ่ยถึงในหนังด้วยอย่างชัดเจน เราจึงขอนำข้อมูลย่อๆ ของเหตุการณ์นี้มาฝากกันจ้า เผื่อจะได้มองเห็นภาพรวมมากขึ้น

ช่วงปลายศตวรรษที่ 16 ชาวอังกฤษพากันมาตั้งอาณานิคมที่อเมริกา ซึ่ง Sir Richard Grenville ก็ได้พาผู้คนไปตั้งอาณานิคม The Roanoke Colony บนเกาะ Roanoke (ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของรัฐ North Carolina) แต่ช่วงนั้นดันเกิดสงคราม Anglo-Spanish War ขึ้นพอดี จึงทำให้ชาวอาณานิคมต้องถูกตัดขาดการติดต่อจากแผ่นดินแม่ให้หาอยู่หากินกันตามมีตามเกิดเองซะ
หลายปี

จนกระทั่งในปี 1950 เมื่อเรืออังกฤษเข้าเทียบฝั่งก็ปรากฏว่า อาณานิคมแห่งนี้ก็รกร้างว่างเปล่าไปซะงั้น ผู้ชาย
90 คน ผู้หญิง 17 คนและเด็ก 11 คนหายไปอย่างไร้ร่องรอย โดยไม่มีร่องรอยของการต่อสู้ หรือเบาะแสใดๆ ทิ้งไว้ให้ นอกจากมีคำว่า"Croatoan" สลักไว้ที่ต้นไม้แถวนั้น จนเล่นเอาฝรั่งงงเป็นไก่ตาแตกไปตามๆ กัน หลังจากนั้นที่นี่ก็ถูกเรียกว่า "อาณานิคมที่สาบสูญ"มาจนทุกวันนี้

คนยุคหลังต่างก็ตั้งทฤษฏีต่างๆ นาๆ ขึ้นมาเพื่ออธิบายเหตุการณ์ครั้งนั้นไม่ว่าจะเป็น เพราะพวกนั้นย้ายไปอยู่ที่อื่นแล้วบ้าง, บ้างก็ว่าพวกสเปนมาทำลายอาณานิคมแล้ว, บ้างก็ว่าพวกเขาอดอยากจนกินกันเองหมดแล้ว, หรือพยายามเดินทางกลับอังกฤษแบบไปตายเอาดาบหน้า(และก็ตายหมดจริงๆ) ฯลฯ ซึ่งคำตอบที่แท้จริงนั้นคงมีแต่ชาวอาณานิคมเองและพระเจ้าเท่านั้นที่รู้ สำหรับเราๆ ท่านๆ ก็คงได้แต่งงและเดากันต่อไปนั่นแหล่ะจ้า

*คัดข้อมูลแบบมั่วๆ จาก wikipedia จ้า*



วันเสาร์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2554

I Spit On Your Grave (2010): สางบัญชีแค้นผู้ชายอัปรีย์



I Spit On Your Grave (2010) :
หลังจากที่หนังเขย่าขวัญรีเมค The Last House on the Left (2009) เคยทำเอาคอหนังจอมซาดิสม์ฮือฮากันมาแล้ว คราวนี้ก็มาถึงคิวรีเมค I Spit on Your Grave (1978) หนังคัลต์คลาสสิคอีกเรื่องกันบ้างล่ะ โดยปฏิบัติการเอาคืนในครั้งนี้ไม่ต้องพึ่งพ่อแม่อย่างเรื่องก่อนแต่อย่างใด เพราะเจ้าทุกข์จะขอเป็นคนลงมือทวงแค้นเองเลยล่ะทีนี้ เอ็งตาย!!


ผู้ชายโฉดกับสาวงามเป็นของคู่กันในหนังเขย่าขวัญ
หนังเล่าเรื่องของ Jennifer (Sarah Butler) นักเขียนนิยายสาวสวยที่ตัดสินใจเดินทางเข้าป่าไปเช่าเคบินอยู่ตามลำพังสักระยะเพื่อเขียนนิยายเล่มใหม่ของตน แต่แล้วเธอก็ถูกก๊วนชายถ่อยในแถบนั้น 5 คนบุกมากระทำชำเรา แถมพอย่ำยีเสร็จก็กะจะฆ่าปิดปากเธอด้วย ยังดีนะที่เธอรอดมาได้อย่างหวุดหวิด และหลังจากปล่อยให้พวกนั้นตายใจอยู่สักระยะ เธอก็กลับมาปฏิบัติการเอาคืนอันสุดบรรเจิด ชนิดที่ว่าสะใจคอซาดิสม์ไปเลย ปานกับว่าเธอเป็นแฟนหนังตัวยงของ Saw หรือไม่ก็ Hostel นั่นแหล่ะ!?


นางเอกมีวิธีเอาคืนสุดซาดิสม์
เวอร์ชั่นรีเมคของผกก.Steven R. Monroe นี้มีการเปลี่ยนแปลงบางสิ่งบางอย่างจากเวอร์ชั่นต้นฉบับอยู่พอสมควร เช่นการเพิ่มโจรขึ้นมาอีกหนึ่งคนจากเดิมที่มีอยู่แค่ 4 คน และอีกเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งก็ทำให้หนังดูสมเหตุสมผลมากขึ้น แล้วหันไปลดความแรงในฉากข่มขืนลง แต่ในส่วนของการปฏิบัติการเอาคืนนั้น หนังขอซาดิสม์กันเต็มที่สไตล์ Saw และ Hostel (ฉากริบของกลางคงจะทำให้ผู้ชายหลายคนหายใจไม่ทั่วท้องแน่ๆ กึ๋ยย) อีกทั้งฉบับนี้ก็ไม่ได้ให้นางเอกใช้มารยาหญิงหลอกล่อโจรเหมือนในต้นฉบับด้วย แต่ออกแนวทุบไว้ก่อนเรื่องอื่นค่อยว่าทีหลังแทนซะนี่


สภาพนางเอกเรายังเยินได้อีก
ฝ่ายนักแสดงนางเอก Butler ทำหน้าที่ได้ดีในช่วงที่ถูกกระทำ แต่ในช่วงที่เธอต้องโหดเรารู้สึกว่าเธอยังดูไม่โหดนัก(แถมผอมแห้งไม่แพ้นางเอกต้นฉบับเลย) ส่วนพวกผู้ร้ายก็ดูสถุลน้อยกว่าต้นฉบับเยอะ โดยรวมแล้วเวอร์ชั่นนี้ดิบน้อยกว่าเดิมแต่เติมความโหดเข้ามาเต็มเหนี่ยว น่าพอใจกว่าต้นฉบับทีเดียว คนที่เคยชอบ The Last House on the Left คงจะถูกใจกับเรื่องนี้แน่ แต่ว่าก็ว่าเถอะ ในทุกวันนี้ที่เรายังได้ยินได้ฟังข่าวการข่มขืนกันอยู่บ่อยๆ แต่ว่าก็คงจะมีแต่ในหนังเท่านั้นแหล่ะที่ฝ่ายผู้เสียหายจะลุกขึ้นมาทวงความเป็นธรรมแบบตาต่อต่อฟันต่อฟันได้แบบนี้ นี่ถ้าชีวิตจริงมีการริบของกลางแบบในหนังบ้าง รับรองว่าคดีข่มขืนคงจะลดน้อยลงไปเยอะเลยทีเดียว เหอๆ
  • จุดเด่น: เป็นหนังรีเมคที่ทำได้ดูเข้าทีกว่าต้นฉบับ คนที่เคยชอบความสะใจในการเอาคืนผู้ร้ายสไตล์ The Last House on the Left (2009) ก็คงจะถูกใจหนังเรื่องนี้แน่นอน
  • จุดด้อย: หนังที่มีฉากการรุมโทรมผู้หญิงแบบนี้ ทั้งไม่เสริมสร้างและไม่เหมาะกับทุกคนแน่นอน(โดยเฉพาะเยาวชน) ดังนั้นใครขวัญอ่อน จิตตกง่ายก็พึงหลีกเลี่ยงหนังเรื่องนี้อย่างแรง





*ย้อนรอยเวอร์ชั่นต้นฉบับ*

สภาพนางเอกเวอร์ชั่นต้นฉบับ
I Spit On Your Grave (1978):
สำหรับเวอร์ชั่นต้นฉบับนี้นั้นกำกับโดยผกก.Meir Zarchi ซึ่งตอนออกฉายหนังมีชื่อว่า Day of the Woman (แต่เปลี่ยนชื่อเป็น I Spit On Your Grave ในปี 1980) ที่ตัวหนังทั้งโป๊และรุนแรงชวนจิตตกจนถูกหลายประเทศแบนไม่ให้ฉาย บรรดานักวิจารณ์ก็ด่ากันระงม แต่ฝั่งคนดูสิกลับชอบกันมากขึ้นๆ ในยามที่หนังออกเป็นวีดีโอแล้ว จนหนังกลายเป็นหนังคัลต์คลาสสิคไปในที่สุด แถมยังติดโผหนึ่งในสิบของ'หนังสุดรุนแรงตลอดกาล' ที่นิตยสาร TIME จัดโผขึ้นในปี 2007 ด้วยนะ ขอบอก