วันอาทิตย์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

The Wolverine (2013): เรื่องแน่นอกของนายฟ้อนเล็บ




The Wolverine (2013): เรื่องแน่นอกของนายฟ้อนเล็บ

     ท่าน Hugh Jackman กลับมาสวมบทบาทฮีโร่พันธุ์นอกคอก Wolverine เป็นครั้งที่หก (และฉายเดี่ยวเป็นครั้งที่สอง) คราวนี้พี่แกขอพาไปทัวร์ญี่ปุ่นซะด้วยนะ นับเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศที่ไม่เลวเลยทีเดียวเชียว

     หนังดำเนินเรื่องราวต่อจาก X-Men: The Last Stand (2006) ซึ่งนับเป็นความฉลาดของผู้สร้างเพราะนอกจะสามารถวางตัวในจักรวาลของหนังชุด X-Men ได้แบบต่อเนื่องเนียนๆ แล้วยังเปิดโอกาสให้ใส่ความเป็นดราม่ารำพึงรำพันลงไปได้อีกด้วยแน่ะ

     James Mangold ผกก.จอมจับฉ่ายที่ทำหนังไปซะทุกแนว (แต่ก็ทำได้ดีซะทุกเรื่องอีกต่างหาก) ทำหน้าที่ได้ดีตามคาด แม้ว่าฉากโชว์ของจะน้อยกว่าภาคที่แล้ว แต่กลับดูดีถึงคุณภาพกว่าชนิดเห็นๆ (ภาคที่แล้ว'เยอะ'ไปนิดเนอะ) แถมยังแนบความเป็นดราม่าลงไปไม่ให้หนังเบาหวิวไร้อารมณ์ความรู้สึก แม้ว่าหลายครั้งจะดราม่าเพ้อๆ ซะจนทำเอาจังหวะหนังนิ่งไปบ้างก็ตามที (ถ้ามองในแง่หนังฮีโร่นะ)

     ไม่รู้สินะ ไอ้เราก็ไม่ใช่แฟนของเหล่า X-Men เสียด้วยสิ การกลับมาของ Wolverine ในครั้งนี้เลยไม่ค่อยชวนให้ตื่นเต้นตื้นตันน้ำตาจะไหลสักเท่าไร ถ้าจะถามว่าหนังดีมั้ย? ก็ต้องตอบว่าดี สนุกมั้ย? ก็สนุกอยู่ แต่ชอบมั้ย? ก็ขอบอกว่า เฉยๆ ล่ะน่ะ



6/10 ครับ





*รีวิวภาคแรกภายในบล็อก*

วันพฤหัสบดีที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

Only God Forgives (2013): กระตุกโหดคุณตำหนวด



Only God Forgives (2013): กระตุกโหดคุณตำหนวด

     หลังจากกอดคอกันรุ่งจาก Drive (2011) หนุ่ม Ryan Gosling กับ ผกก.Nicolas Winding Refn จึงขอกลับมาแท็กทีมกันอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้มาทำเท่กันถึงไทยแลนด์แดนสไมล์ของเราเลยทีเดียว

     เอาแค่ไตเติ้ลเรื่องก็เล่นขึ้นฟ้อนท์ไทยหราเป็นที่ภาคภูมิใจ (?) ของคอหนังชาวไทยเป็นอย่างยิ่ง แต่หนังโดยรวมนั้นค่อนข้างจะไม่ค่อยเป็นมิตรกับคนดูหนังส่วนใหญ่เท่าใดนัก เพราะมีความอาร์ตความแนว ความนิ่ง มีนั่นโน่นนี่ มาให้นักดูหนังคิดเยอะได้ตีความ ส่วนคอหนังบ้านๆ (อย่างเรา) อาจจะไม่ค่อยหือไม่ค่อยอือเท่าใดนัก ดังนั้นต้องมีเสียงแตกว่าชอบหรือไม่ชอบหนังกันแน่นอน

     ที่น่าสนใจคือดูเหมือน ผกก.แกจะสั่งให้บรรดานักแสดงทุกคนตีหน้าตาย วางตัวนิ่งๆ ทำตัวเงียบๆ ห้ามว่อกแว่กในทุกสถานการณ์ ชนิดที่ว่าบางอารมณ์ดูเผินๆ นึกว่ากำลังดูภาพนิ่งอยู่ก็มิปาน แต่ที่เรียกเสียงฮือฮาได้ที่สุด (สำหรับเรา) คงไม่พ้นเฮียสายเชีย วงศ์วิโรจน์ ที่หนังต่างชาติถ่ายในไทยเรื่องไหนเรื่องนั้นต้องมีแกโผล่มาแจมได้เกือบทุกเรื่องเชียว

     ไอ้เรามันก็ไม่ใช่พวกดูหนังแบบเจาะลึกตีความเลยไม่ค่อยอินกับหนังเท่าไหร่ แต่คิดว่าอย่างน้อยหนังประสบความสำเร็จอย่างยิ่งยวดในการประกาศก้องแก่ชาวโลกว่า "อย่ามาแหยมกับตำหนวดไทยนะเฟ้ย" แหล่ะนะ ;P





สำหรับคอหนังบ้านๆ ไม่ชอบคิดเยอะ ให้ 5/10 ก็สมเหตุสมผลดีแล้ว (นักดูหนังบางคนอาจชอบมากก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเน้อ)








*รีวิวหนังของ ผกก.Nicolas Winding Refn เรื่องอื่นๆ ภายในบล็อก*
 

วันจันทร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

Red 2 (2013): หง่อมอีกทีต้องมีเธอ




Red 2 (2013): หง่อมอีกทีต้องมีเธอ

     ใครจะไปคิดว่าป๋าเหม่ง Bruce Willis ในหนังบู๊รวมพลคนพันธุ์หง่อมที่ออกฉายเมื่อปี 2010 นั้นจะฮิตเกินคาด ว่าแล้วก็ต้องมีภาคต่อออกมาดูดเงินจากมิตรรักแฟนหนังกันอีกจนได้ ซึ่งคราวนี้หนังก็ขยายสเกลใหญ่โตในแบบสหประชาชาติมากขึ้น แต่ก็ไม่ละทิ้งแนวคิดหลักประจำเรื่องที่ว่า "อย่าได้คิดมองข้ามหรือดูถูกคนแก่ๆ เชียวนะเฟ้ย" เพราะพวกท่านมีทั้งความเก๋า ประสบการณ์ รอยยับย่นบนใบหน้า และฟันปลอมที่เพียบพร้อมกว่าคนรุ่นใหม่เยอะ จนนับเป็นหนังที่สมควรมีไว้เปิดดูในวันผู้สูงอายุแห่งชาติเป็นอย่างยิ่ง

     ภาคนี้เปลี่ยนตัว ผกก.เป็นคุณ Dean Parisot ที่ชอบทำหนังตลกแบบผู้ใหญ่ๆ เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว หนังจึงออกมาดูได้สบายๆ เพลินๆ เดินตามสูตรสำเร็จจากภาคแรกเป๊ะๆ คือขายเสน่ห์ของบรรดานักแสดงรุ่นเก๋า สลับกับการแทรกฉากบู๊เว่อร์ๆ เท่ๆ พอเป็นกระษัย ซึ่งเท่านี้ก็น่าจะเพียงพอแล้วมั้งที่จะมอบความบันเทิงให้แก่ท่านผู้ชมทั้งหลายได้

     หนังมีบางช่วงที่ดูเรื่อยๆ คุยๆ ลากยาวไปบ้างตามประสาคนแก่ที่ชอบคุยเฟื่องเรื่องความหลังครั้งยังเอ๊าะกัน ถ้าจะดูให้สนุกขึ้นไปอีกนิดก็แนะนำให้ดูฉบับพากย์ไทยโดยพันธมิตร ที่ปล่อยมุกเรียกเสียงฮาได้ตลอด ชอบจริงๆ






ดูเพลินๆ เรื่อยๆ พอๆ กับภาคแรก แต่ในแบบที่อินเตอร์กว่า ให้ไป 6/10 ครับ







*รีวิวหนัง Red ภาคแรกภายในบล็อก*

วันพฤหัสบดีที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

Trance (2013): ปล้นปั่นจิต


Trance (2013): ปล้นปั่นจิต

     นับตั้งแต่ 127 Hours (2010) ผกก.ขวัญใจผู้ใหญ่แนว Danny Boyle หายไปรับจ็อบซะนาน กว่าจะกลับมาอีกครั้งกับหนังทริลเลอร์/อาชญากรรมชวนงงตึ๊บเรื่องนี้

     แม้หนังจะเริ่มต้นด้วยแนวปล้นเหนือเมฆ แต่พอฉายๆ ไป อันที่จริงแล้วหนังมันเน้นไปที่เรื่องราวของการสะกดจิต การเล่นกับจิตของตัวละคร และสมการความรักที่ไม่ลงตัวมากกว่านะ

     ดังนั้นหลายช่วงหลายตอนของหนังเลยอาจดูเบื่อๆ งงๆ อยู่บ้าง แต่ยังดีที่ลายเซ็นของตัว ผกก.แกยังอยู่ครบ ทั้งการตัดต่อที่ฉับไวชวนลุ้น มุมกล้องที่เก๋ไก๋และงดงาม เพลงประกอบเท่ๆ และตบตูดด้วยการหักมุมสองสามตลบให้ได้หงายเงิบกันพอท้วมๆ

     หากกะจะดูหนังปล้นคงจะต้องผิดหวัง แต่หากอยากดูอะไรเท่ๆ เก๋ๆ ตามสไตล์แกละก็ได้เลย แม้ว่าอาจจะถือว่านี่เป็นหนังที่ดูยากหากเทียบกับงานยุคหลังๆ ของแกก็ตามที แต่ก็ไม่ถึงกับต้องยืมบันไดชาวบ้านมาปีนดูหรอกนะ สำหรับคนหัวช้าบางคน (อย่างเรา) คงต้องกลับมาดูอีกสักรอบสองรอบแล้วจะเก็ตอะไรได้มากกว่านี้





ไม่โดดเด่นโดนใจเท่ากับสองสามเรื่องที่ผ่านมา แต่ก็ยังถือว่าโดดเด้งมากพอสำหรับการรับชมล่ะนะ ให้ไปเลย 7/10 จ้า





*รีวิวหนังของ ผกก.Danny Boyle เรื่องอื่นๆ ภายในบล็อก*
 

วันพฤหัสบดีที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

Pacific Rim (2013): ศึกยักษ์ตะบันยักษ์




Pacific Rim (2013): ศึกยักษ์ตะบันยักษ์

     หลังจากอกหักจากการกำกับ The Hobbit ผกก.Guillermo del Toro ก็หาได้แคร์และสะบัดบ๊อบเดินหน้าทำโปรเจกต์อื่นต่อทันที จนได้หนังหุ่นยักษ์ท้าตบสัตว์ประหลาดเรื่องนี้ออกมาในที่สุด

     อย่างที่ทราบกันว่าเรื่องนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากหนังการ์ตูนแนว Mecha แบบที่ ผกก.del Toro เคยหลงใหลได้ปลื้มสมัยเด็กๆ มาแบบเต็มๆ แต่เขาก็พยายามใส่ความสมจริงเข้าไป หรือที่เรียกว่าโม้แบบน่าเชื่อถือตามสไตล์หนังฝรั่งฟอร์มใหญ่ ในแบบที่เด็กดูได้ ผู้ใหญ่ดูดี โอตาคุกรี๊ดแตกด้วยความฟินเพราะฝันเปียกกลายเป็นความจริงในที่สุด

     แต่ถึงจะเป็นหนังหุ่นยักษ์ท้าตบสัตว์ประหลาดยักษ์ ที่เต็มไปด้วยฉากเอฟเฟกต์ตูมตาม แต่ก็ไม่ได้เอาแต่เสนอฉากบ้านเมืองระเบิดระเบ้อ ขายซีจีไปวันๆ เช่นหนังซัมเมอร์ทั่วไปหรอกนะ เพราะ ผกก.แกไม่ลืมหยอดฉากดราม่าซาบซึ้งกินใจ จนนี่กลายเป็นหนังขายซีจีที่มีอารมณ์ความรู้สึก ไม่ได้แบนราบทางความรู้สึกแต่อย่างใดเลย

     จะว่ากันจริงๆ แล้ว หนังไม่มีอะไรใหม่มาฝากหรอก เพราะอย่างที่บอกว่านี่เป็นการสานฝันเอาการ์ตูนแนว Macha กับแนว Godzilla มาทำเป็นหนังคนแสดงขึ้นจอเงิน และผู้สร้างก็มีเจตนารมย์ที่แน่วแน่มากพอจะพยายามทำหนังให้ดูง่าย ไม่ซีเรียสหรือแบนราบจนเกินไป (ผกก.แกพยายามหลีกเลี่ยงฉากชาวบ้านตายหมู่จากการโจมตีเช่นหนังซัมเมอร์อื่นๆ อีกด้วย) เก่งมากครับเฮีย del Toro




นี่จึงเป็นหนังซัมเมอร์ที่ดูได้ดูดีทั้งเด็กและผู้ใหญ่ สนุกสนาน ไม่ไร้ความรู้สึก โอตาคุทั้งหลายเตรียมฟินได้เลย ให้ไป 7/10 เน้อ


ปล.เราคงจะได้ดูภาคต่อกันแน่ ผกก.แกออกมาคอนเฟิร์มแล้วจ้า