วันอาทิตย์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

The Book of Eli (2010): ไซไฟเพื่อพระเจ้า


The Book of Eli (2010) :
สองพี่น้องตระกูล Hughes (Albert และ Allen Hughes) นับเป็น ผกก.ผิวสีแพ็คคู่ที่เลือกทำหนังได้เก๋จริงๆ เพราะผลงานเรื่องก่อนของพวกเขาอย่าง From Hell (2001) นั้น ก็จับเอาป๋า Johnny Depp มาพี้ยาไปไล่จับ Jack the Ripper ในกรุงลอนดอนเมื่อร้อยกว่าปีก่อนไปได้อย่างสุดเหวอ และหลังจากที่หายไปกว่า 9 ปี พวกเขาก็กลับมาอีกครั้งพร้อมผลงานเรื่องใหม่ ซึ่งคราวนี้จะพาไปยังอนาคตในช่วงหลังวันสิ้นโลก(Post-Apocalyptic) กันบ้างล่ะ


หลอกจับมือสาวล่ะเซ่คุณน้า
หนังเสนอเรื่องราวของชายชื่อ Eli (Denzel Washington จาก American Gangster [2007]) ที่ตั้งหน้าตั้งตาเดินดุ่มๆ ไปยังทิศตะวันตกของอเมริกาในยุคหลังจากเกิดหายนะล้างโลกเมื่อสามสิบปีก่อน โดยเขามีภาระหน้าที่อันสำคัญในการนำหนังสือเล่มหนึ่งไปส่งยังที่หมาย และแน่นอนที่ระหว่างทางเขาก็ต้องเจออุปสรรคขวางกั้นต่างๆ นาๆ ให้คนดูได้ลุ้นกันว่างานนี้เขาจะเดินทางไปถึงที่หมายโดยสวัสดิภาพหรือไม่กันต่อไป


มาดน้าเขานี่เท่จริงๆ
เมื่อปลายปีที่แล้วเพิ่งจะมีหนังแนวๆ นี้ อย่าง The Road ออกมาหยกๆ พอมีเรื่องนี้ตามหลังออกมาจึงเป็นอะไรที่มันบังเอิญไปหรือเปล่า? กระนั้นเมื่อดูหนังทั้งสองเรื่องก็พบว่ามาคนละแนวกัน โดยเรื่องนี้จะไม่หดหู่เท่าเรื่องนั้น แต่ออกจะเน้นฉากแอ็คชั่นมากกว่า ซึ่งแม้จะไม่ถึงกับบู๊กันระเบิดระเบ้อกันทั้งเรื่อง แต่เท่าที่มีก็ออกมาเด็ดขาดอยู่มิใช่น้อย ในส่วนของงานสร้างด้านต่างๆ ก็ออกมาดูดีสมฐานะของหนังระดับกลางๆ เช่นนี้ ในขณะที่บรรดานักแสดงคงไม่มีใครเด่นเกินน้า Washington ที่พาหนังไปได้ตลอดรอดฝั่ง แม้จะมีอะไรๆ ในหนังที่ดูจงใจและไม่ค่อยสมเหตุสมผลอยู่หลายประการก็ตามที


Gary Oldman มาในบทตัวโกง(อีกตามเคย)
จริงๆ แล้วหนังหนังไซไฟ-แอ็คชั่นของสองพี่น้อง Hughes เรื่องนี้ถือว่าเป็นหนัง'โปรคริสเตียน' เรื่องหนึ่ง เพราะหนังแสดงให้เห็นว่ามนุษย์เราขาดพระเจ้าไม่ได้เลย แม้ว่าครั้งหนึ่งเราอาจจะละทิ้งพระเจ้าไป แต่ในที่สุดแล้วมนุษย์เราก็ยังต้องการพระเจ้าอยู่ดี และเราจะรู้จักพระเจ้าได้โดยผ่านพระคัมภีร์ไบเบิ้ล แต่ก็ไม่ใช่ว่าตัวหนังสือจะสำคัญที่สุด ถ้อยคำที่บรรจุอยู่ในนั้นต่างหากที่สำคัญกว่า แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือการที่เรามีถ้อยคำคำสอนเหล่านั้นอยู่ในชีวิตของเรา อ่า...นี่ก็เป็นกุศโลบายที่เข้าท่าอย่างหนึ่งของฮอลลีวู้ดเขาเลยนะเนี่ย

*หมายเหตุ*
มีหลายฉากที่จะมีการขอดูมือของคนแปลกหน้า ซึ่งก็เป็นวิธีพิสูจน์ว่าใครที่เป็นพวกกินเนื้อคน โดยคนเหล่านั้นจะมือสั่นอยู่ตลอดเวลา เหมือนเช่นตายายที่พวกพระเอกไปเจอในช่วงท้ายไงล่ะ

  • น่าดูเพราะ: เป็นหนังแอ็คชั่นไซไฟ ที่เด่นในด้านบรรยากาศ ฉากแอ็คชั่นเด็ดขาด ดูได้ดูดี
  • ไม่น่าดูเพราะ: จริงๆ แล้วเป็นหนังโปรศาสนาคริสต์ คนที่จะอินจะปลื้มก็คงจะมีแต่คริสเตียนเท่านั้น หนังเลยอาจจะดูไม่สนุก จงใจ และเว่อร์ๆ ไป สำหรับผู้ที่ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายของหนัง



*ช่วงเพลงในหนัง*


ในช่วงแรกๆ ในหนังจะมีฉากที่พระเอกเราควักไอพอดรุ่นพระเจ้าเหาออกมาฟังเพลงคลายเครียด ซึ่งเพลงๆนั้นก็คือเพลง How Can You Mend a Broken Heart ของศิลปินกอสเปล/โซล ในตำนานอย่าง Al Green นั่นเอง และสำหรับใครที่ติดใจเพลงนั้นอยู่ เราก็มีมาฝากกันตามฟอร์มจ้า




*ช่วงรู้มั้ยเอ่ย? (แล้วจะรู้ไปทำไมเนี่ย)*

ผลงานเรื่องต่อไปของสองพี่น้อง Hughes เป็นการนำอนิเมะในตำนานอย่าง Akira (1988) มาทำเป็นเวอร์ชั่นคนแสดง ซึ่งจะมีกำหนดออกฉายปี 2013 (หลังจากที่ฮอลลีวู้ดร่ำๆ อยากจะเอามาทำเป็นหนังตั้งแต่ต้นยุค 90 แล้ว)
ซึ่งสำหรับคอการ์ตูนแล้วก็คงจะรู้จักผลงานของ คัตสึฮิโร่ โอโตโมะ เรื่องนี้กันเป็นอย่างดี ในตอนนี้ยังไม่มีข้อมูลอะไรเกี่ยวกับหนังออกมามากนัก ดังนั้นกว่าจะถึงตอนนั้น อะไรๆ ก็อาจเปลี่ยนแปลงได้อีกตลอด ใครที่เป็นแฟนอนิเมะเรื่องนี้ก็โปรดจับตาดูกันต่อไปให้ดีจ้า



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น