วันศุกร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

Skyfall (2012): พยัคฆ์ร้ายสังขารทรุด




Skyfall (2012) :
และแล้วก็มาถึงตอนที่ 23 ของหนังพยัคฆ์ร้าย 007 ซึ่งนอกจากจะเป็นตอนฉลองครบรอบ 50 ปีของหนังชุดนี้ ยังเป็นตอนที่สามของเฮีย Daniel Craig บอนด์เวอร์ชั่นอึดถึกลุย ที่แม้หน้าตาแกจะออกแนวยับยู่ยี่หล่อน้อยปานลูกน้องตัวโกง แต่ก็ยังมีเสน่ห์และกินอร่อยพอที่จะมัดใจทั้งแฟนหนังรุ่นใหม่รุ่นเก่าของหนังชุดนี้ได้เป็นอย่างดี


บอนด์เวอร์ชั่นอึดถึกลุยกลับมาอีกครั้ง

อีกอย่างที่น่าสนใจคือตอนนี้ได้ ผกก.Sam Mendes ที่เคยทำแต่หนังดราม่าระดับคุณภาพมาตลอด มานั่งแท่นเป็น ผกก.ให้ ซึ่งสร้างความกังขา (นิดๆ) แก่บรรดาแฟนหนังว่าแกจะทำหนังบู๊ไหวมั้ยเนี่ย หรือว่าจะทำให้บอนด์ภาคนี้กลายเป็นหนังดราม่าเค้นอารมณ์ไปในที่สุดกันหนอ ในทางกลับกันการเอา ผกก.สายดราม่ามาทำหนังบู๊ถ้าไม่เก๋าพอหนังก็อาจจะออกมาบู๊สะเปะสะปะเหมือนเมื่อคราว Quantum of Solace (2008) โดยฝีมือของ ผกก.Marc Forster ก็เป็นได้

สองสาวบอนด์ประจำตอนนี้
แต่เมื่อได้รับชมแล้ว ผลที่ออกมานั้นถือว่า ผกก.Mendes ทำหน้าที่ได้อย่างน่าชื่นชมมากๆ  เพราะสามารถทำให้หนังบอนด์ตอนนี้ออกมาน่าติดตาม เข้มข้นจริงจังในฉากแอ็คชั่น แต่ยังสามารถเติมเสน่ห์ในส่วนของตัวละครต่างๆ ทั้งใหม่ทั้งเก่าที่เข้ามา ไม่ใช่สักแต่บู๊กระจายเหมือนหนังบอนด์ตอนที่ผ่านๆ มา (แถมบอนด์เราตอนนี้ยังสภาพไม่ฟิตบู๊แฮ่กอีกต่างหาก)

สองตัวละครใหม่ประจำตอนนี้
เท่านั้นยังไม่พอ หนังมีลูกล่อลูกชนมีเสน่ห์เรี่ยร่ายรายทางในการแซวหนังชุดนี้ของตนแบบเบาๆ พอขำๆ ทั้งการเน้นย้ำหลายครั้งถึงคำถามที่ว่า "หรือในทุกวันนี้เรื่องราวของบอนด์จะคร่ำครึตกยุคไปแล้ว?" และการขุดเอาเอกลักษณ์เดิมๆ ของหนังบอนด์ตอนเก่าๆ มาใช้ ในแบบที่แฟนหนังบอนด์รุ่นเก่าคงได้ดูไปยิ้มไปตลอดทั้งเรื่องเป็นแน่แท้ หรือการถ่ายโอนตัวละครรุ่นใหม่เข้ามาได้อย่างเนียนๆ ไม่ประดักประเดิด

Javier Bardem ในมาดตัวโกงประจำตอนนี้
บรรดาตัวละครทั้งเก่าและใหม่ล้วนมีเสน่ห์น่าจดจำด้วยกันทั้งสิ้น โดยเฉพาะตัวโกงของตอนนี้ที่รับบทโดย Javier Bardem ที่โดดเด้งมากพอจะขึ้นทำเนียบตัวโกงในหนังบอนด์ที่น่าจดจำมากที่สุดอีกคนหนึ่ง ในขณะที่ป้า Judi Dench ก็มีบทบาทเยอะกว่าตอนที่ผ่านๆ มาจนแกแทบจะกลายเป็นนางเอกของบอนด์ตอนนี้ไปแล้ว (เรียกว่าโดดเด่นเกินหน้าสองสาวบอนด์ประจำเรื่องเสียอีก)

ป้า M คือนางเอกประจำตอนนี้
ชมมาเสียเยอะ แต่ก็ใช่ว่าหนังจะไม่มีอะไรให้ต้องติติง ซึ่งนั่นก็คือดูเหมือนหนังบอนด์ตอนนี้จะขาดฉากแอ็คชั่นระห่ำแตกอันแสนสุดอลังการเหมือนตอนที่ผ่านๆ มา การที่หนังเน้นฉากสนทนาเสียเยอะ ก็อาจทำให้ขาจรหรือคอหนังทั่วไปที่กะจะมาดูเอามันส์รู้สึกว่ามันไม่ค่อยจะสนุกสมใจหวังเอาซะเลย (รอบที่ดูมีบางคนเดินบ่นออกมาจากโรงว่าหนังไม่เห็นจะสนุกเลยก็มี)


เขาจะยืนเคียงข้างสหราชอาณาจักรตลอดไปเอย
จริงๆ แล้วเราก็ไม่ใช่แฟนหนังบอนด์มาตั้งแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว ดังนั้นคงจะสามารถมองหนังอย่างเป็นกลางได้ในระดับหนึ่ง (มั้ง) ซึ่งก็ขอสรุปอีกครั้งว่า แม้ตอนนี้จะไม่มันส์ที่สุด แต่ก็คือตอนที่ดีที่สุดตอนหนึ่งเลยก็ว่าได้ ซึ่งต้องชื่นชมทางผู้สร้างที่สามารถทำให้บอนด์ยืนหยัดผ่านกาลเวลามาได้จนถึงทุกวันนี้และในอนาคตเราคงได้เห็นหนังบอนด์ตอนที่ฉลองครบรอบปีที่ 75 หรือปีที่ 100 ก็ได้เนอะ ใครจะไปรู้

เห็นหน้าตาแล้วนึกว่าตัวโกงซะอีก

  • + เป็นหนังบอนด์ตอนที่ถึงคุณภาพ มีเสน่ห์ ดูเพลิน แบบที่แฟนหนังบอนด์รุ่นเก่าและรุ่นใหม่คงเป็นปลื้มแน่ๆ 
  • - ด้านฉากแอ็คชั่นยังไม่โดดเด่นหรือบู๊กระจายเท่ากับตอนที่ผ่านๆ มาจนหากหวังจะดูแอ็คชั่นมันส์หยดคงจะผิดหวังอยู่บ้าง









*รีวิวหนังบอนด์ตอนอื่นๆ ภายในบล็อก*


วันอาทิตย์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2555

Silent Hill: Revelation 3D (2012): เมืองเห่อผี



Silent Hill: Revelation 3D (2012) : 
หนังที่สร้างจากวีดีโอเกมมีน้อยเรื่องนักที่จะไปได้สวยประสบความสำเร็จทั้งด้านรายได้และ (โดยเฉพาะ) คำวิจารณ์ ซึ่งในรายของ Silent Hill (2006) (กับชื่อไทยว่า "เมืองห่าผี" ที่ใช้ฟ้อนท์ซึ่งมองเผินๆ แล้วไม้เอกเหมือนสระอำชอบกล อิอิ) ที่สร้างมาจากเกมสุดหลอนของโคนามินั้น แม้จะไม่ทำเงินมากมายยามออกฉาย แต่ตัวเลขก็ไม่ได้น่าเกลียดอะไร แถมยังทำออกมาได้ค่อนข้างดี ไม่เสียของให้แฟนเกมหรือคอหนังขาจรต้องยี้แต่อย่างใด


คู่พระคู่นางประจำเรื่อง
และหลังจากทิ้งช่วงไปนานหลายปีดีดัก ในที่สุดผู้สร้างก็เข็นภาคต่อออกมาสำเร็จ แถมยังมาในแบบ 3D ตามเทรนด์อีกด้วย โดยตัวหนังดัดแปลงเรื่องราวมาจากเกมภาคสาม อันว่าด้วยการผจญภัยสุดหลอนของหนู  Heather Mason (Adelaide Clemens) หนูน้อยจากภาคแรกที่ได้โตเป็นสาววัย 18 ขวบแล้ว ซึ่งเมื่อจู่ๆ คุณพ่อสุดที่เลิฟ (รับบทโดย Sean Bean) ของเธอดันหายตัวไปอย่างลึกลับ เธอจึงต้องพยายามออกตามหา แม้นั่นจะทำให้เธอต้องกลับไปเผชิญกับฝันร้ายที่กลายเป็นจริงในเมือง Silent Hill อีกครั้งหนึ่งก็ตามที

ไอ้หัวปิรามิดขวัญใจแฟนๆ กลับมาอีกครั้งแล้ว
ภาคนี้หนังได้ Michael J. Bassett ผกก.หนุ่มชาวอังกฤษซึ่งเคยมีผลงานอย่าง Solomon Kane (2009) มาควบหน้าที่กำกับ/เขียนบท ซึ่งก็ดูเหมือนเขาจะทำการบ้านมาเป็นอย่างดี เพราะสามารถดึงเอาบรรยากาศหลอนและเหล่าตัวประหลาดซึ่งเป็นทีเด็ดของเกมมาใช้ในหนังได้อย่างครบถ้วน งานด้านเอฟเฟกต์โหดและดนตรีประกอบหลอนที่แฟนเกมน่าจะคุ้นเคยกันดี ส่วนการที่หนังเป็น 3D ก็เปิดโอกาสให้หนังเล่นกับฉากแทงทะลุจอออกมาได้บ่อยครั้ง ซึ่งทั้งหมดนี้ก็ล้วนสามารถช่วยกันสร้างบรรยากาศฝันร้ายความยาว ชม.ครึ่งของหนังได้อย่างน่าพอใจ


นางเอกเราหน้าเหมือน  Michelle Williams ดีจริง
แต่เสียดายที่จังหวะชวนสะดุ้งของ ผกก.แกยังไม่ค่อยแม่นเท่าไหร่ (เรื่องจังหวะแม่นเนี่ยต้องยกให้ ผกก.Sam Raimi เขาล่ะ) หนังเลยดูข้างๆ อืดๆ เอื่อยๆ ไปหน่อยในช่วงครึ่งแรก แถมจะยังดูงงๆ สำหรับขาจรที่เพิ่งรู้จักหนังเรื่องนี้อีกด้วย และถ้าจะว่ากันถึงความหลอนเนี่ย ภาคแรกยังทำได้ดีกว่าประมาณหนึ่งช่วงเสาไฟฟ้า เพราะกว่าจะเริ่มระทึกกันก็ช่วงท้ายๆ ของหนังแล้ว ซึ่งทั้งนี้ทั้งนั้นโดยรวมๆ ก็ยังถือว่านี่เป็นหนังภาคต่อจากเกมที่ทำออกมาได้หลอนน่าพอใจอยู่ดีแหล่ะนะ


เจ๊ Carrie-Anne Moss จากหนัง The Matrix ยังมีชีวิตอยู่นะจ้ะ
นี่เห็นว่าหนังใช้ทุนสร้างแค่ 20 ล้านเหรียญเท่านั้น โอกาสที่หนังจะทำเงินก็เลยมีค่อนข้างสูง ซึ่งถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริง เราก็คงจะได้ดู Silent Hill ภาคต่อๆ ไปในเร็วๆ นี้กันอีกแน่ โดยทั้งนี้ไม่ต้องกลัวว่าผู้สร้างเขาจะหมดมุกมาหากินเพราะตัวเกมต้นฉบับเขามีออกมาให้เอาไอเดียมาใช้ตั้งหลายภาคแล้วนะจ้ะ ขอบอก 

แก๊งผีนางพยาบาลจอมสับ

  • + หนังภาคต่อจากเกมที่ทำออกมาได้ไม่เสียของ หลอนไม่ซ้ำซาก เข้าท่าๆ
  • - ช่วงแรกของหนังเอื่อยๆ และหากเทียบกับภาคแรก ถือว่ายังด้อยกว่าอยู่นิดนะ





*รีวิวหนังเรื่องอื่นๆ ของ ผกก.J. Bassett ภายในบล็อก*

วันเสาร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2555

Wrong Turn 5: Bloodlines (2012): เลี้ยวไม่ผิด แต่มันยังเชือด



Wrong Turn 5: Bloodlines (2012) : 
ครั่บ นับตั้งแต่ภาคสามเป็นต้นมาเนี่ย หนังเชือดชุดเลี้ยวผิดไปปะโหดนี้ก็ยังรักษามาตรฐานของตนได้อย่างเสมอต้นเสมอปลายดีแท้ ซึ่งในที่นี้นั้นหมายถึงว่ายังคงดูแล้วชวนเสียเซลฟ์ เสียแรงที่สองภาคแรกทำไว้ได้ดีซะหมด ถึงกระนั้นก็ยังอุตส่าห์มีภาคต่อออกมาให้ดูกันทุกๆ ปี เพราะหนังมันยังขายได้อยู่ และนี่คือภาคล่าสุดซึ่งก็เป็นภาคที่ห้าแล้วนะเออ


สามพี่น้องจอมโหดกลับมาเชือดอีกครั้ง

คราวนี้ผู้สร้างหาทางแถให้สามพี่น้องจอมโหดได้มีโอกาสมาวาดลวดลายเชือดหนุ่มสาวหน้าตาดีกันถึงในเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งซึ่งกำลังมีการจัดเทศกาลดนตรีขึ้นมา เรียกว่าเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศเชือดที่ไม่เลวสำหรับสามศรีพี่น้องหน้าผี ที่ไม่ต้องคอยหลบๆ ซ่อนๆ กันในป่าเหมือนภาคที่ผ่านๆ มาอีกต่อไป


หนังมีอารมณ์ขันกวนๆ ที่ว่ากันตั้งแต่ชื่อเรื่องเลย
หนังเปิดตัวขึ้นมาด้วยอารมณ์ขันโหดๆ กวนๆ ซึ่งนับเป็นนิมิตหมายอันดีสำหรับคนที่เคยยี้ภาคที่ผ่านๆ มา แถมเอฟเฟกต์ฉากแหว่ะอะไร ภาคนี้ก็ทำออกมาดูดีกว่าสองภาคที่ผ่านมาแยะ แต่ทว่าพอเวลาผ่านไป หนังมันก็เข้าอีหรอบเดิมของภาคที่แล้วเป๊ะ คือโหดไปเรื่อย ไม่มีอะไรให้ลุ้น ไม่มีอะไรแตกต่างจากเดิมสักเท่าไหร่เลย ไม่ว่าการคิดหามุกฆ่าสุดครีเอทของตัวร้ายที่ฆ่าธรรมดาๆ แบบสองภาคแรกไม่เป็นแล้ว หรือการที่ทั้งเมืองกลายเป็นเมืองร้างสิ้นดีทั้งเรื่องไปซะงั้น (โดยให้เหตุผลว่าเขาทิ้งบ้านทิ้งช่องไปเที่ยวเทศกาลดนตรีกันหมด?!)


เธอถือดุ้นเหล็กกะเสียบตูดตัวโกงล่ะสิ
ถ้าเราจะบอกว่าภาคนี้ห่วย หลายคนที่เข้ามาอ่านก็อาจจะไม่พอใจที่ไปลบหลู่หนังสุดโปรดของพวกเขาเข้า ดังนั้นใครใคร่ชอบก็ชอบไป ส่วนใครดูแล้วจะยี้มันก็เป็นสิทธิ์ของเขา ซึ่งสำหรับเราแล้วภาคนี้ก็แย่พอๆ กับสองภาคที่ผ่านมา ถ้าคุณหวังจะเห็นฉากโหด ฉากโป๊ที่ไม่จำเป็นกับเนื้อเรื่อง เรื่องนี้มีให้ครบ แต่การที่มีเพียงเท่านี้แล้วคิดว่านั่นเป็นหนังสยองขวัญที่ดีแล้วล่ะก็ คงจะมีใครบางคนกำลังเข้าใจอะไรบางอย่างผิดแล้วล่ะเน้อ :)
  • + เอฟเฟกต์สยองดีขึ้นกว่าสองภาคที่ผ่านมา (นิดนึง) หนุ่มสาวๆ ก็หล่อๆ สวยๆ ทั้งนั้น
  • - แต่สุดท้ายก็ออกมาประมาณเดียวกับภาคที่แล้วๆ มา ไม่มีอะไรให้ชื่นชมนัก







รีวิวหนังชุด Wrong Turn ภาคอื่นๆ ภายในบล็อก
 



วันศุกร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2555

Chicken with Plums (2011): มนต์รักเตหะราน



Chicken with Plums (2011) : 
ผกก.แพ็คคู่สุดคุ้ม Satrapi กับ Vincent Paronnaud เคยกอดคอกันแจ้งเกิดอย่างงดงามหยดย้อยจากอนิเมชั่นเรื่อง Persepolis (2007) และนี่คือผลงานลำดับต่อมาของทั้งคู่ที่สร้างจากนิยายภาพชื่อเดียวกันของเจ๊ Satrapi เอง (อีกแล้ว) ซึ่งตัวหนังเองก็ได้ไปวาดลวดลายร่วมลุ้นรางวัลสิงโตทองคำในเทศกาลหนังเวนิซเมื่อปีที่แล้วอีกด้วย (แต่ก็กินแห้วไปในที่สุด)

นี่คือหนังรักรันทดที่มาพร้อมสไตล์แปลกๆ
หนังพาย้อนไปกรุงเตหะรานปี ค.ศ.1958 เพื่อเล่าเรื่องของ Nasser Ali Khan (Mathieu Amalric จาก The Diving Bell and the Butterfly [2007]) นักไวโอลินชื่อก้อง ซึ่งเป็นคุณพ่อลูกสอง (เมียหนึ่ง) ที่อยู่ๆ ก็รู้สึกจิตตกขึ้นมา และตัดสินใจนอนรอความตายอยู่บนเตียงดีกว่า จนสร้างความงุนงงมึนตึ๊บให้แก่บรรดาผู้คนรอบข้าง (รวมถึงผู้ชมด้วย) ไปตามๆ กัน ก่อนที่หนังจะเสนอช่วงเวลาแปดวันที่เขาอยู่บนเตียง และพาไปสำรวจอดีตกับอนาคต รวมถึงสาเหตุที่แท้จริงแห่งการตัดสินใจตายของเขาครั้งนี้อีกด้วย 


แค่เห็นเรียวขาเธอก็เล่นเอาพี่หนวดตกหลุมรักซะแล้ว
ถึงจะสร้างมาจากนิยายภาพ แต่คราวนี้ ผกก.ทั้งคู่ไม่ได้ทำเป็นอนิเมชั่นเหมือน Persepolis (แต่ก็ยังมีบางช่วงของหนังที่ทำเป็นอนิเมชั่น) กระนั้นหนังยังให้อารมณ์ฟุ้งฝันเหนือจริง โดยเฉพาะด้านฉากเฉิกที่ใช้ภาพวาดชนิดไม่พยายามเหมือนจริง รวมถึงการใช้นักแสดงฝรั่งเศสมาเล่นเป็นคนอิหร่าน (ที่พูดฝรั่งเศสกันทั้งเรื่อง)  แถมยังมีอารมณ์ขันเก๋ๆ แบบฝรั่งเศสและการตัดต่อเล่าเรื่องสลับไปมาระหว่างอดีตปัจจุบันและอนาคต ที่ชวนให้นึกถึงหนังจากฝรั่งเศสอีกเรื่องอย่าง Amélie (2001) ขึ้นมานิดๆ เลยทีเดียว


สวยคมแบบนี้ไม่ปลื้มได้ไง
อันที่จริงหากตัดด้านสไตล์การเล่าเรื่องเก๋ๆ และอารมณ์ขันออกไปแล้ว พล็อตของหนังเรื่องนี้นี่มันเป็นชีวิตรักรันทดออกแนวน้ำเน่าดีๆ นี่เอง โดยเฉพาะช่วงท้ายที่อยู่ๆ หนังก็ถาโถมจู่โจมคนดูด้วยความเศร้าชนิดที่เล่นเอาตั้งตัวแทบไม่ทันจนอาจทำเอาท่านน้ำตาไหลได้ง่ายๆ โดยเฉพาะการได้นักแสดงนำมีฝีมืออย่างคุณ Amalric ที่ได้ใจคนดูตั้งแต่เห็นหน้าแล้วมารับหน้าที่ดึงอารมณ์ร่วมตลอดเรื่องได้อย่างน่าชื่นชม


สัญญารักใต้ต้นไม้
บางคนอาจจะติว่าหนังไม่สมจริงทั้งด้านการใช้นักแสดงและฉากเฉิกและประดักประเดิดในสไตล์ของหนัง แต่สำหรับเราแล้วนี่คือหนังรักขำขื่นที่น่าประทับใจมากๆ เรื่องหนึ่ง อย่างน้อยหนังก็ทำให้เข้าใจว่า หลายครั้งที่เราเห็นคนอื่นคิดสั้นหรือหมดหวังในชีวิต เราก็อย่าเพิ่งด่วนตัดสินเขาว่าโง่ เพราะเราคงไม่รู้หรอกว่าเขาต้องผ่านเรื่องเลวร้ายอะไรมาบ้าง กว่าจะมาถึงจุดที่เขาตัดสินใจเช่นนั้น

  • +  หนังรัก/ตลก/ดราม่าเก๋ๆ จากฝรั่งเศสที่ทำได้งดงาม มีสไตล์ น่าประทับใจมากๆ 
  • - ใช้นักแสดงฝรั่งเศสเล่นเป็นคนอิหร่านเนี่ยนะ ดูยังไงก็ไม่อิหร่านเอาซะเลย รวมถึงการที่หนังมีหลายแนวตีกันวุ่นไปหมดทั้งแฟนตาซี ดราม่า ตลก และรักรันทด จนหลายคนอาจไม่อินเอาได้ง่ายๆ




วันศุกร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2555

Looper (2012): อึดล่าอึด



Looper (2012) : 
พ่อหนุ่ม Joseph Gordon-Levitt (31 ขวบ) เข้าวงการบันเทิงมาตั้งแต่อายุ 7 ขวบ และเล่นซีรี่ส์เรื่องต่างๆ จนเริ่มเป็นที่รู้จักในวงกว้างขึ้นมาจากซีรี่ส์ 3rd Rock from the Sun (1996-2001) แต่แทนที่เขาจะเป็นเหมือนดาราเด็กทั่วๆ ไป ที่พอซีรี่ส์จบหรือพอเริ่มโตหน่อยก็ค่อยๆ เสียผู้เสียคนหรือค่อยๆ หายไปจากสารบบบันเทิง เขากลับสามารถผันตัวเองมาเป็นนักแสดงหนุ่มที่มีฝีไม้ลายมือน่าจับตามองได้ในหนังอินดี้ระดับคุณภาพอย่าง Mysterious Skin (2004) และ Brick (2005)


พ่อหนุ่ม Joseph ในมาดป๋า Bruce Willis ตอนหนุ่มๆ (?!)
ก่อนจะกลายเป็นขวัญใจคนหนุ่มสาวจากหนังรักสุดจี๊ดอย่าง (500) Days of Summer (2009) และสามารถยกระดับตัวเองมาเล่นหนังทำเงินระดับเทพของ ผกก.Christopher Nolan อย่าง Inception (2010) และ The Dark Knight Rises (2012) ซึ่งนับว่าไม่เลวเลยทีเดียวสำหรับอดีตดาราเด็กหน้าจืดๆ คนหนึ่ง และนี่คือผลงานล่าสุดที่เขาขอกลับมาร่วมงานกับ ผกก.Rian Johnson อีกครั้ง หลังจากทั้งคู่เคยกอดคอกันแหววสร้างชื่อมาแล้วจาก Brick นั่นเอง

ป๋า Bruce Willis ในมาด Joseph Gordon-Levitt ตอนแก่ (?!)
ครั่บ คงต้องบอกว่าการกลับมาแท็คทีมกันครั้งนี้ของทั้งคู่ โดยมีป๋า Bruce Willis มาร่วมแจมอีกคนนั้นมีผลลัพธ์ที่ออกมาไม่ธรรมดาเลยทีเดียว ด้วยเรื่องราวที่จับเอาหนังแนวแก๊งสเตอร์ยิงแหลก หนังแนวไซไฟย้อนเวลา หนังแนวพลังจิต หนังแนวดราม่า มาปรุงรสยำคลุกได้อย่างอร่อยเหาะไปเลยโลด จนสามารถเรียกได้ว่านี่คือหนังแอ็คชั่นไซไฟน้ำดีไอเดียสุดสร้างสรรค์อีกเรื่องในรอบหลายๆ ปีมานี้เลยก็ว่าได้  


ใครมาจีบเธอมีสิทธิ์โดนสอยร่วง
ที่น่าจะเป็นจุดขายสุดๆ อย่างหนึ่งของหนังคือการจับหนุ่ม Joseph มารับบทป๋า Bruce Willis ในช่วงหนุ่มๆ ซึ่งด้วยการเมคอัพระดับเซียนและการแสดงสีหน้าท่าทางที่เลียนแบบป๋า Willis ได้เหมือนสุดๆ ของหนุ่ม Joseph นั้นทำให้หนังออกมาดูเพลินจริงๆ ส่วนป๋า Willis เองก็ใช่ย่อยที่พกเอาความเก๋ามาประชันบทบาทได้อย่างไม่มีใครกินแกลง หาดูอะไรแบบนี้ได้ง่ายๆ ซะที่ไหนล่ะ ส่วนบทอันสร้างสรรค์ของหนังก็เกินคาดเดาและไม่ซ้ำซากชวนยี้เลยสักนิด

ดูปืนกระบอกโตของพระเอกเราซะก่อน
แต่เพราะไม่อยากซ้ำซากนั่นเองที่ทำให้หนังหลีกเลี่ยงการเป็นหนังแอ็คชั่นไซไฟดาดๆ ที่มุ่งบู๊แหลกกันอย่างเดียว หากแต่ใส่เรื่องราวดราม่าทางอารมณ์เข้ามาจนทำให้ช่วงกลางของหนังดูนิ่งๆ อืดๆ ลงไปแยะเลยทีเดียว ซึ่งนั่นอาจทำให้คอหนังที่หวังจะเห็นอะไรมันส์ๆ ต้องนั่งกระสับกระส่ายบิดตูดไปมาได้เหมือนกัน เพราะหนังไม่ค่อยได้อัดฉากแอ็คชั่นเข้ามาเยอะอะไรมากมายหรอกเน้อ

ป๋า Willis กำลังนั่งจ้องหน้าตัวเองตอนหนุ่มๆ (?!)
จริงๆ แล้วหนังมีเสน่ห์และรายละเอียดอะไรยิบๆ ย่อยๆ เยอะแยะ อย่างเช่นโลกอนาคตที่ออกมาเสื่อมแต่ไม่แตกต่างกว่าปัจจุบันไปชนิดหน้ามือกับหลังเท้า (ตีน) หรือการที่ให้จีนเป็นประเทศมหาอำนาจหนึ่งเดียวของโลก (ทุกประเทศใช้เงินสกุลของจีน) หรือแม้แต่แง่คิดในเรื่องชีวิตของคนเรา ที่เชื่อว่าหากท่านเป็นคนที่ชอบดูหนังที่เกี่ยวกับโลกอนาคตหรือชอบดูหนังเอาสาระแล้วล่ะก็ เรื่องนี้มีอะไรๆ ให้ท่านเยอะแน่นอน

สีหน้าท่าทางแกเรื่องนี้เหมือนป๋า Willis ซะ
แม้จะไม่ถึงกับเจ๋งสุดตีน มันส์สุดเท้า แต่ก็ไม่ใช่ธรรมดาๆ แน่นอน หนังเรื่องนี้คงสามารถสร้างมาตรฐานอันดีงามให้แก่หนังไซไฟที่จะตามมาอีกแน่นอน และสร้างเครดิตอันสวยสดงดงามให้แก่ ผกก.Rian Johnson รวมถึงหนุ่ม Levitt อีกเรื่อง ทีนี้เราจะได้รู้เสียทีว่าที่เขาประสบความสำเร็จมาได้จนทุกวันนี้ไม่ใช่เพราะหน้าตาท่าทางฝีไม้ลายมือที่โดนใจทั้งแฟนหนังหญิง-ชายเท่านั้น แต่เป็นเพราะการรู้จักเลือกเล่นหนังของเขาอีกด้วย นายแน่มากจ้า!
  • + หนังไซไฟไอเดียเด็ด การประชันบทบาทของสองหนุ่มสองวัยประจำเรื่องก็แจ่มไม่ใช่เล่น
  • - ไม่แอ็คชั่นเยอะมากมายอย่างที่เทรลเลอร์ชวนให้คิด และช่วงกลางเรื่องอืดไปหน่อย คือเจ๋งแต่ไม่ถึงกับสุดยอดว่างั้นเหอะ




*รีวิวหนังของ ผกก.Rian Johnson เรื่องอื่นๆ ภายในบล็อก*

วันพุธที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2555

Red Lights (2012): แฉแหลกคนเหนือปาฏิหารย์


Red Lights (2012) :
ชื่อของ ผกก.Rodrigo Cortés เริ่มเป็นที่รู้จักของคอหนังทั่วโลกขึ้นมาได้ จากหนังทริลเล่อร์ไอเดียเด็ดอย่าง Buried (2010) ที่ได้พ่อหนุ่ม Ryan Reynolds มาฉายเดี่ยวในโลงตลอดทั้งเรื่องได้อย่างสุดระทึก และนี่คือผลงานล่าสุดของ ผกก.Cortés ที่คราวนี้ขอออกมานอกโลงบ้างล่ะ แถมยังได้นักแสดงเด็ดๆ ประเภทดีหนึ่งประเภทหนึ่งมาร่วมบรรลือบรรเลง (แต่ไม่บรรลัย) ซะหลายคนเลยทีเดียวเชียว


มาดป๋า Robert De Niro ในเรื่อง
หนังว่าด้วยเรื่องราวของ Margaret Matheson (Sigourney Weaver) และ Tom Buckley (Cillian Murphy) สองคู่หูนักวิชาการ (ที่ไม่วิชาเกิน) ต่างรุ่นที่คอยออกสืบสวนจับผิดเรื่องราวเหนือธรรมชาติต่างๆ มานาน ซึ่งทั้งคู่ก็ไม่เคยเจอเหตุการณ์ครั้งไหนที่เป็นของจริงเลยสักครั้ง จนกระทั่งการมาถึงของ Simon Silver (Robert De Niro) ผู้มีพลังจิตชื่อดังที่อยู่ๆ ก็กลับคืนสู่วงการอีกครั้ง ซึ่งงานนี้เล่นเอาทั้งคู่ต้องเจอกับเหตุการณ์ลึกลับเหนือความเข้าใจเกิดขึ้นมากมาย จนถึงกับมึนตึ๊บไปตามๆ กัน พวกเขาเลยต้องพยายามหาทางพิสูจน์ให้ได้ว่าตกลงอิตาลุงไซม่อนจิตสัมผัสรายนี้เป็นของจริงหรือว่าพวกแหกตากันแน่



เฮีย Cillian Murphy พาตาสีฟ้าใสคู่นั้นกลับมาพบแฟนๆ อีกครั้ง
หนังเปิดตัวได้อย่างน่าสนใจ ให้อารมณ์ออกแนว The X-Files (ถึงขนาดมีโปสเตอร์รูปจานบินแบบเดียวกันแปะไว้ที่ห้องทำงานพระเอกด้วย) คือออกแนวลึกลับชวนสงสัยที่พยายามเอาหลักวิทยาศาสตร์เข้าปะทะกับเรื่องราวลี้ลับเหนือธรรมชาติ ซึ่งก็ทำได้น่าติดตามในระดับหนึ่งเลยทีเดียว ยิ่งการที่หนังได้ดารานักแสดงรุ่นใหญ่และรุ่นเล็กเกรดเอมาประชันบทบาทกันซะหลายคนเช่นนี้ก็ยิ่งทำให้หน้าหนังน่าสนใจขึ้นไปอีกโขเลยทีเดียว

ป้า Sigourney Weaver ก็มากับเขาด้วย
แต่กับเวลาของหนังที่ยาวเกือบๆ สอง ชม.นั้น ดูเหมือนว่าจะลากยาวไปหน่อยนะ เมื่อเทียบกับการเล่าเรื่องที่ยังไม่ค่อยมีอะไรดึงดูดให้หนังน่าติดตามได้ตลอดรอดฝั่งนัก แม้ว่าหนังจะมีจุดหักมุมในช่วงท้ายที่น่าจะเป็นทีเด็ดของหนัง แต่ถึงตอนนั้นคนดูก็คงไม่ค่อยหือไม่อือกับมันแล้วนัก นอกจากประมาณว่า "อ่อ เหรอ" ซะมากกว่า หรือจะสรุปง่ายๆ ว่าหนังทำท่าจะเจ๋ง ด้วยศักยภาพที่พร้อม แต่ออกมายังออกมาไม่ค่อยโดนใจนัก ว่างั้นเหอะ

หนู Elizabeth Olsen ยังคงน่ารักน่าชังเช่นเดิม
ยังไงหนังเรื่องนี้ก็ยังถือว่าดูกันได้ดูกันดี เต็มไปด้วยนักแสดงชื่อดัง ซึ่งไม่เลวเลยทีเดียวสำหรับผู้กำกับหนุ่มไฟแรงชาวสเปนคนนี้ ที่หนังสองเรื่องหลังของเขาล้วนได้ดารานักแสดงระดับอินเตอร์มาร่วมงานทั้งสิ้น ซึ่งก็น่าจะแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของเขาได้เป็นอย่างดี ว่ามีองค์ ไม่ธรรมดาแน่ๆ โปรดจดจำชื่อของ ผกก.Rodrigo Cortés และ จับตามองผลงานของเขาให้ดีต่อไปเถิดพี่น้อง รับรองไม่เสียเซลฟ์แน่ ขอบอก


  • + เต็มไปด้วยนักแสดงระดับฝีมือ หนังน่าพอใจในระดับหนึ่ง ที่คอหนังแนวลึกลับดูแล้วไม่เสียเซลฟ์แน่นอน
  • - แต่ยังเล่าเรื่องได้ไม่ค่อยน่าติดตามนัก และรู้สึกว่าหนังจะยาวไปนิดจนเล่นเอาไม่สามารถจับเอาความอินของคนดูได้ตลอดรอดฝั่ง





*รีวิวหนังเรื่องอื่นๆ ของ ผกก.Rodrigo Cortés ภายในบล็อก*