วันเสาร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

Shelter (2010): ดูดกระชากวิญญาณ

Shelter (2010) :
หนังทริลเลอร์สยองขวัญลี้ลับเหนือธรรมชาติของ ผกก.คู่หูดูโอ้จากสวีเดน Måns Mårlind และ Björn Stein เรื่องนี้โปรโมทกันโต้งๆ เลยว่าเป็นผลงานจากผู้อำนวยการสร้างหนังสุดระทึกอย่าง The Ring (2002) และมือเขียนบท Identity (2003) แถมยังได้สองนักแสดงคุณภาพอย่าง Julianne Moore (Chloe [2009]) และ Jonathan Rhys Meyers (From Paris with Love [2010]) มาประชันบทบาทกันอีกต่างหาก ดังนั้นจึงนับว่าเป็นหนังที่น่าสนใจไม่ใช่เล่นเลยทีเดียวนะเนี่ย


พ่อหนุ่ม Jonathan Rhys Meyers เล่นเป็นคนหลายบุคลิกได้อย่างเข้าที
ดร. Cara Jessup (Moore) นักจิตวิทยาผู้สูญเสียสามีไปจากการฆาตกรรมเมื่อสามปีก่อน ได้มาเจอคนไข้คนหนึ่ง(Meyers)ที่เธอเชื่อว่าเขาป่วยเป็นโรคหลายบุคลิก หรือ Multiple personalities disorder นั่นเอง (มามุกเดียวกับ Identity?)ซึ่งจากแรกๆ ที่เธอคิดว่าเขาแค่สร้างบุคลิกเหล่านี้ขึ้นมาเอง แต่ไปๆ มาๆ เธอก็พบว่าตัวตนต่างๆ ของเขานั้นล้วนเป็นคนที่เคยมีตัวตนอยู่จริงๆ แต่ถูกฆาตกรรมไปแล้วทั้งสิ้น ที่น่าฉงนคือนอกจากบุคลิกท่าทาง สำเนียง ที่เหมือนตัวจริงเป๊ะๆ แล้ว เขายังรู้เรื่องทุกอย่างของคนที่เขาอ้างว่าเป็นซะทุกเรื่องอีกด้วย จนเหมือนกับตัวจริงมาเองเลย อ่า... หรือว่านี่จะเป็นเพราะวิญญาณคนตายเหล่านั้นมาสิงร่างเขาจริงๆ หนอ? งานนี้ก็ต้องหาคำตอบกันเอาเองตามอัธยาศัยเลยจ้า


เมื่อจับ Identity มาผสมกับเรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติ
หนังเริ่มต้นมาอย่างเนิบนาบ ออกไปทางเรื่อยๆ เอื่อยๆ สไตล์หนังดราม่าหมอ/คนไข้ ในบรรยากาศและดนตรีประกอบที่คอยสร้างบรรยากาศไม่น่าไว้วางใจอยู่ตลอด ซึ่งก็เป็นอย่างนี้ไปตลอดในช่วงครึ่งชั่วโมงแรก(จนเริ่มจะน่าเบื่อแล้ว) แต่พอเริ่มมีเรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติเข้ามาเกี่ยวข้อง หนังจึงเริ่มเร่งจังหวะขึ้นมาหน่อย ซึ่งว่าก็ว่าเหอะ มันก็ไม่ได้น่ากลัว ตื่นเต้นระทึกขวัญ หรือมีหักมุมที่โดดเด่นกว่าเรื่องอื่นตรงไหน(หักมุมแบบ 'อ่อ...เหรอ' มากกว่ารู้แล้วจะ 'โอ้ว!'เหมือนคราว Identity) แถมยังชอบใช้มุกผีตุ้งแช่กะให้ตกใจอยู่บ่อยๆ แต่ก็ไม่ค่อยเวิร์คนักหรอกสำหรับคอหนังสยองที่ขวัญด้านชาเยี่ยงเราทั้งหลาย(หาพวกเชียวตู)

เจ๊ Julianne Moore ฝีมือยังวางใจได้เช่นเดิม
ยังดีนะที่หนังได้นักแสดงนำเปี่ยมฝีมือทั้งสองคนนี้ เลยพอจะช่วยให้หนังดูดีขึ้นมาหน่อย โดยเฉพาะในรายของพ่อหนุ่ม Meyers ที่เปลี่ยนบุคลิก สำเนียง หลากหลายตามบทได้อย่างน่าชื่นชมซะจริง ในขณะที่เจ๊ Moore ที่ถนัดเล่นหนังแนวนี้อยู่แล้วก็แทบจะหลับตาเล่นได้เลยทีเดียว ส่วนงานด้านเอฟเฟกต์ก็ไม่ได้โดดเด่นหรือแย่ เพราะไม่มีอะไรให้โชว์ออฟอยู่แล้ว เอาเป็นว่านี่เป็นหนังสยองขวัญที่มีการแสดงเด่น เนื้อเรื่องเหมือนการจับเอา Identity มาผสมกับหนังผี ที่ลึกลับประมาณตอนหนึ่งจากหนังชุด The X-Files แล้วเขย่าๆ ออกมา แบบพอดูได้ ไม่ถึงกับเด็ด หรือมีอะไรให้ต้องจดจำ แต่ก็ไม่แย่เช่นกันจ้า
  • น่าดูเพราะ: เป็นหนังสยอง ที่จับเอาจิทวิทยาและเรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติมาผสมกัน แบบพอดูได้เพลินๆ ดาราก็แสดงดีกันซะด้วย
  • ไม่น่าดูเพราะ: ขาดอะไรเด็ดๆ เพราะระดับความลุ้น และเรื่องราวงานสร้าง เหมือนเป็นแค่ตอนหนึ่งจากหนังชุด The X-Files เท่านั้น


วันศุกร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

Giallo (2009): ล่าไอ้โหด โฉดป้ายเหลือง

Giallo (2009):
ผลงานล่าสุดของ ผกก.ชาวอิตาลีในตำนาน Dario Argento เจ้าของผลงานหนังสยองขวัญคลาสสิคอย่าง Suspiria (1977), Deep Red (1975) และเป็นหนึ่งในเจ้าพ่อหนังแนว Giallo (หนังทริลเล่อร์ไอ้โม่งโรคจิตเสียบไม่ยั้งของอิตาลีที่ฮิตกระหน่ำในช่วงยุค '70) ซึ่งไหนๆ แกก็ได้ดีมากับหนังแนวนี้มา ก็เลยขอทำเรื่องล่าสุดนี้โดยตั้งชื่อเรื่องเหมือนกับแนวหนังมันซะเลย โดยได้พ่อหนุ่ม Adrien Brody (Predators [2010]) ที่คิดไงไม่ทราบบินไปรับบทเป็นพระเอกให้ถึงในอิตาลีเชียวนะ


เหล่าสาวสวยโดนจับมาทรมานอีกแล้ว
ดูเหมือนว่าอิตาลีจะไม่เคยขาดแคลนฆาตกรโรคจิตเลย คราวนี้มันตระเวนหาเหยื่อด้วยรถแท็กซี่ พอเจอสาวชาวต่างชาติสวยๆ ล่ะก็จะจับไปทรมานจนตาย แถมถ่ายรูปไว้ดูไปช่วยตนเองไปอีกต่างหาก(จิตมาก) ว่าแล้วฝ่ายตำรวจที่นำโดยสารวัตร Enzo Avolfi (Brody) ก็ต้องเร่งออกสืบสวนเพื่อตามหาฆาตกรรายนี้ให้ได้ก่อนที่จะมีสาวๆ ต้องสังเวยชีวิตไปมากกว่านี้

เขาไม่ได้กำลังฉีดโบท็อกซ์ให้สาวๆ อยู่หรอกนะ
ต้องยอมรับว่าหนังดูมีราศีขึ้นมาได้ก็เพราะการได้พระเอก Brody มาร่วมงาน แต่ดูเหมือนว่าเขาจะช่วยอะไรไม่ได้มากนัก เพราะตัวหนังออกมาเดิมๆ ธรรมดามาก ไม่ว่าจะในส่วนของการสืบสวนหาฆาตกรก็ง่ายๆ ไร้ชั้นเชิง ฆาตกรก็กระจอกไป ด้านความตื่นเต้นก็ไม่มี ฉากการฆ่าอันเป็นเอกลักษณ์ของหนังแนวนี้ที่แม้จะโหดแต่ก็ไร้ความน่าหวาดเสียว (หรือว่าเราจะซาดิสม์ไป?) ดังนั้นถึงแม้หนังจะยาวแค่ไม่ถึงชั่วโมงครึ่งแต่ก็น่าเบื่อชะมัด (นางเอกยังแก่ได้อีก)

พระนางของเรื่องกำลังเหวอ
งานนี้จะเรียกว่าเสียฟอร์ม ผกก.ก็ว่าได้ แต่จะโทษ ผกก.เขาคนเดียวก็ไม่ได้หรอก เพราะได้ข่าวว่าโปรดิวซ์เซอร์ของหนัง เข้ามายุ่มย่ามในขั้นตัดต่อหนังมากเกินไปจน ผกก.ต้องออกมาประกาศว่าไม่ขอมีส่วนเกี่ยวข้องกับ(ความห่วย)ของหนังอีกต่อไป อืม เป็นผกก.ใหญ่ระดับนี้แล้วยังต้องเจอปัญหาแบบนี้อยู่หรอเนี่ย น่าเห็นใจๆ

ปล.ในเครดิตท้ายเรื่องบอกว่าคนที่เล่นเป็นตัวโกงชื่อ Byron Diedra ซึ่งถ้าลองสลับตัวอักษรไปมาจะออกมาเป็นชื่อ Adrien Brody (ลองทำดูสิ) ซึ่งเรื่องของเรื่องคือ เขาคิดไงไม่ทราบขอควบบทพระเอกกับตัวโกงเองเลยโดยใช้เม็คอัพเข้าช่วยซึ่งออกมาดูตลกไม่น้อยเชียวเออ (แหม่ ทำ ไป ได้)
  • น่าดูเพราะ: แฟนหนังพระเอก Brody ที่อยากเห็นเขาในมาดตำรวจเคราเข้ม และแฟนหนังฆาตกรรมคงจะพอดูได้อยู่
  • ไม่น่าดูเพราะ: หนังธรรมดาเกินไป ยิ่งพอเป็นหนังของ ผกก.ในตำนานอย่าง Dario Argento ที่มีพระเอก Adrien Brody มาเกี่ยวข้องด้วยแล้ว ถือว่าน่าผิดหวังทีเดียว




*ช่วงอันเนื่องมาจากหนัง*

The Girl Who Knew Too Much (1963) ได้ชื่อว่าเป็นหนัง Giallo เรื่องแรกๆ
ชื่อหนังแนว Giallo (ภาษาอิตาเลียนแปลว่า 'สีเหลือง') นั้นได้มาจากการที่หนังแนวนี้มักถูกสร้างมาจากนิยายเขย่าขวัญราคาถูกในอิตาลีที่ชอบทำหน้าปกเป็นสีเหลืองจนเป็นเอกลักษณ์ โดยเป็นเรื่องการสืบสวนหาตัวฆาตกร (whodunit?)ที่เน้นฉากฆาตกรรมอันยาวเหยียด เลือดนอง เต็มไปด้วยสาวสวย ฉากโป๊ มุมกล้องและดนตรีประกอบที่หวือหวา การปิดบังโฉมหน้าของฆาตกรไม่ให้รู้โดยมักให้สวมหน้ากาก สวมถึงมือหนังสีดำ และถืออาวุธวาววับ

Deep Red (1975) หนึ่งในหนังคลาสสิคของ Dario Argento
หนังแนวนี้มีมาตั้งแต่ยุค 60 แต่เพิ่งจะถูกจัดให้เป็นแนวหนังของตนเองและประสบความสำเร็จสุดๆ ก็ในช่วงยุค 70 ซึ่งผกก.ที่ขึ้นชื่อในหนังแนวนี้ได้แก่ Dario Argento, Mario Bava, Lucio Fulci, Aldo Lado, Sergio Martino, Umberto Lenzi, และ Pupi Avati ได้พากันสร้างสรรค์ผลงานคลาสสิคมาประดับวงการไว้มากมายอาทิ Blood and Black Lace (1964), The Bird with the Crystal Plumage (1970), Lizard in a Woman’s Skin (1971) และ Deep Red (1975) เป็นต้น

Amer (2009)หนัง Giallo ยุคใหม่ที่ทำได้ถึงคุณภาพ
พอล่วงเข้ายุค 80-90 ดูเหมือนว่าหนังแนวนี้จะเริ่มหย่อนความนิยมไปในที่สุด แต่ก็ยังมีสร้างกันออกมาเรื่อย(ในจำนวนที่น้อยลง)มาจนถึงปัจจุบัน ผู้กำกับหนังรุ่นหลังๆ มากมาย ต่างก็ได้รับอิทธิพลและถือว่าหนังแนวนี้เป็นครูของพวกเขา ทำให้เกิดหนังในกลุ่มที่เรียกว่า neo-giallo อาทิ Lust for Vengeance (2008) ของ Sean Weathers และ Amer (2009) ของ Hélène Cattet & Bruno Forzani ที่ได้รับคำชมไปเป็นกระบุง

มาวันนี้คอหนังมากมายก็ยังนิยมยกย่องและกล่าวถึงหนังแนวนี้กันอยู่ ยอดขายดีวีดีของหนังคลาสสิคแนวนี้เรื่องต่างๆ ก็ยังขายได้เรื่อยๆ แม้กระทั่งมีการจะนำมารีเมคกันใหม่ก็มี ซึ่งก็ไม่แน่นะว่าหนังแนวนี้อาจจะกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้งก็เป็นได้ ก็ต้องรอดูกันต่อไปล่ะนะพี่น้องที่รักทั้งหลาย

*คัดข้อมูลบางส่วนมาจาก wikipedia จ้า*

วันพฤหัสบดีที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

Operation: Endgame (2010): ปฏิบัติการปิดออฟฟิศเชือด

Operation: Endgame (2010) :
ดูจากโปสเตอร์หนังแล้วถือว่านี่เป็นหนังที่น่าสนใจเอามากๆ เพราะรวมดาราคุ้นหน้ามาซะหลายคนเชียว โดยเฉพาะในรายของสองดาวตลกมาแรงแห่ง พ.ศ.นี้อย่าง Zach Galifianakis (The Hangover [2009]) และ Rob Corddry (Hot Tub Time Machine [2010]) ที่ถูกเน้นเป็นตัวชูโรงแบบสุดๆ ซึ่งเห็นลีลาแต่ละคนแล้ว เป็นใครก็คงจะเดาว่าหนังจะต้องออกมาแนวบู๊เถิดเทิงปนตลกร้ายแบบแสบๆ คันๆ เป็นแน่เชียว


สองสาวสวยประจำท้องเรื่อง
ยิ่งมาดูพล็อตคร่าวๆ แล้วก็คงจะใช่แหล่ะ เพราะเป็นเรื่องของก๊วนสายลับของรัฐบาลสหรัฐที่ประจำการยังออฟฟิศในฐานลับใต้ดินแห่งหนึ่ง พวกเขาแบ่งเป็นสองทีมที่เรียกว่า อัลฟ่า และ โอเมก้า โดยสายลับแต่ละคนจะใช้นามแฝงเป็นชื่อไพ่ทาโรต์แต่ละใบ อาทิเช่น Fool, Emperor, Magician เป็นต้นอีกด้วย ซึ่งในเช้าวันที่ประธานาธิบดีโอบามาสาบานตนเข้ารับตำแหน่งนั่นเอง งานก็เข้าทันทีเมื่อหัวหน้าของพวกเขาถูกลอบสังหาร ทำให้ออฟฟิศถูกปิดตายคนในคนนอกเข้าออกไม่ได้ แถมจู่ๆ ทีมอัลฟ่าก็หันมาเก็บคนในทีมโอเมก้าไปทีละคน ด้วยการหยิบเอาอุปกรณ์ออฟฟิศมาเป็นอาวุธ(เพราะอาวุธปืนถูกห้ามนำเข้ามาในออฟฟิศ) หนำซ้ำในอีกสองชั่วโมงออฟฟิศก็จะระเบิดเป็นจุณอีกต่างหาก งานนี้ใครจะอยู่ใครจะไปก็ต้องติดตามกันต่อไปล่ะทีนี้


นานๆ จะเจอเฮียเหม่งในบทที่ไม่บ้าบอกับเขาบ้างแฮะ
ที่พูดๆ มาน่ะฟังดูท่าจะมันส์ใช่มั้ย? เพราะนอกจากดาราจะแยะแล้ว ไอเดียยังเข้าท่าดีอีกต่างหาก ซึ่งหนังก็เริ่มต้นมาได้อย่างน่าสนใจจนกระทั่งถึงช่วงเวลาที่ต้องเริ่มบู๊กันนั่นแหล่ะ ที่เริ่มจะส่งกลิ่นทะแม่งๆ ขึ้นมาแล้ว เพราะฉากบู๊ธรรมดามาก(แม้จะพยายามโหดแต่ก็ยังโหดไม่สะใจอยู่ดีแหล่ะ) รวมถึงการใช้ดาราอย่างไม่คุ้ม แบบที่ว่าวางฟอร์มมาซะอย่างดิบดีแต่เผลอแป๊บเดียวโดนฆ่าตาย แอ่ก ไปง่ายๆ ซะงั้น หรือถ้าจะดูกันในแง่ตลกร้ายประชดประชันก็งั้นๆ อีกนั่นแหล่ะ เรียกว่าจะบู๊ก็ไม่ถึงจะตลกก็ไม่ถึงว่างั้นเหอะ


งานนี้เฮียเคราเราก็คงช่วยอะไรไม่ได้มากนัก
และที่น่าตำหนิที่สุดคือการที่ทำโปสเตอร์หนังออกมาชวนให้คอหนังเข้าใจผิด ด้วยภาพที่ทุกคนถือปืนตั้งท่ายิงสุดเท่ทั้งๆ ที่ในหนังไม่มีใครได้จับปืนยิงกันเลยด้วยซ้ำ จึงถือว่าเข้าข่ายหลอกลวงคนดู ตีหัวเข้าบ้าน ซึ่งก็เข้าใจนะว่าต้องพยายามเรียกความสนใจคนดู แต่อย่างนี้มันน่าเกลียดไปหน่อยมั้ง ทั้งนี้ทั้งนั้นหนังเรื่องนี้ก็ไม่ได้จัดว่าห่วยหรอกนะ หนังอยู่ในระดับธรรมดาพอดูได้อยู่ แต่การที่หนังใช้ทรัพยากรบุคคลที่มีอย่างไม่คุ้มค่า และพยายามสร้างความคาดหวังให้แก่คนดูเกินจริงไปหน่อย ก็เลยมีเสียเซลฟ์กันไปบ้างล่ะนะจ้ะพี่น้อง


เหล่าพนักงาน(สายลับ)ประจำออฟฟิศ
  • น่าดูเพราะ: ดารามากมี บู๊กันตลอดเรื่อง ไอเดียก็พอใช้ได้อยู่
  • ไม่น่าดูเพราะ: บู๊ก็งั้นๆ ตลกหรือก็ไม่ แถมใช้ดาราไม่คุ้มค่าอีกต่างหาก หนังเลยธรรมดาถึงขั้นน่าผิดหวังสำหรับคนที่คาดหวังไว้แยะจากโปสเตอร์หรือเทรลเล่อร์หนัง


วันจันทร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

The Ghost Writer (2010): เขียนไม่ดีเดี๋ยวจะกลายเป็นผีเอานะจ้ะ


The Ghost Writer (2010) :
นานๆ จะอุตส่าห์ทำหนังออกมาให้ดูกันที แต่ ผกก.เสือเฒ่าหนีคดี(พรากผู้เยาว์)อย่าง Roman Polanski (The Pianist [2002])ก็ดันโดนซิวเข้าซังเตในสวิสเซอร์แลนด์ซะก่อนที่จะทำหนังเรื่องนี้เสร็จจนได้ ยังดีนะที่ป๋าเขามีสปิริตสูงและเส้นใหญ่พอสมควรเลยสามารถสั่งการทีมงานให้ดำเนินการต่อในทุกขั้นตอนและแม้แต่ตัดต่อหนังจากในคุกจนเสร็จออกฉายได้ แถมยังสามารถคว้ารางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยม Silver Berlin Bear จากเทศกาลหนัง Berlin International Film Festival ได้ด้วยนะ ซึ่งแม้ป๋าแกจะได้รับการประกันตัวออกจากคุกได้ในที่สุด แต่ก็ต้องถูกกักบริเวณในบ้านพักไปรับรางวัลหรือไปไหนมาไหนไม่ได้อยู่ดีนั่นแล


สองนักแสดงชายเจ้าเสน่ห์มาเจอะกันในเรื่องนี้
ถึงชื่อเรื่องจะชวนให้นึกว่าเป็นหนังผีหรือเปล่า แต่ที่จริงแล้วเป็นหนังทริลเล่อร์การเมืองต่างหาก อันว่าด้วยเรื่องของพ่อหนุ่ม Ewan McGregor (I Love You Phillip Morris [2009]) ผู้มีอาชีพเป็น Ghost writer (ผู้รับจ้างเขียนหนังสือแต่ในนามคนอื่น) ที่มีโอกาสได้ไปเขียนหนังสือชีวประวัติให้อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษอย่าง Adam Lang (Pierce Brosnan จาก Mamma Mia! [2008]) แทนนักเขียนคนเดิมที่ดันลงไปนอนเล่นกับปลาในทะเลอย่างปริศนา และไปๆ มาๆพระเอกเราก็ค้นพบเงื่อนงำอันไม่ชอบมาพากลบางอย่างที่อาจจะทำให้เขาได้ไปนอนเล่นกับปลาในทะเลอีกคนก็เป็นได้ ซึ่งก็ต้องเอาใจช่วยพระเอกกันว่าเขาจะสามารถคลี่คลายปริศนาต่างๆ และเอาชีวิตรอดจากอันตรายครั้งนี้ได้หรือไม่


พี่ McGregor กำลังโชว์มือถือให้ดูว่าใช้รุ่นไหนอยู่
ถึงแม้ป๋า Polanski จะอายุอานามกว่า 76 ขวบแล้ว แต่ฝีมือยังหายห่วงได้อยู่ เพราะสามารถถ่ายทอดเรื่องราวได้อย่างมีชั้นเชิง จับความสนใจได้ดีโดยไม่เกี่ยงว่าบทสนทนาจะเยอะแค่ไหนก็ตาม ตัวหนังถึงจะจริงจังแต่ก็ไม่ถึงกับซีเรียส เพราะมีอารมณ์ขันและเล็กๆ น้อยๆ มาผ่อนคลายอยู่เสมอ นักแสดงหลักแต่ละคนก็ทำหน้าที่ของตนได้อย่างดีเยี่ยม (โดยเฉพาะในรายของพระเอก McGregor ที่ยังเปี่ยมเสน่ห์เช่นเดิม) งานด้านดนตรี งานด้านภาพก็ล้วนสร้างบรรยากาศและส่งเสริมตัวหนังให้ดูดีมีราศีขึ้นมาเยอะ ส่วนการที่หนังต้องไปถ่ายทำที่เยอรมันโดยต้องสมมุติว่าเป็นอเมริกาแทนก็ทำได้เนียนพอสมควร ไม่ดูขัดหูขัดตาแต่ประการใด


นักแสดงหญิงในหนังมีแต่สาวใหญ่แต่ยังสวยพริ้งทั้งนั้น
ทว่าด้วยการที่เป็นหนังทริลเลอร์ สืบๆ ที่เน้นบทสนทนา ขาดแคลนฉากระทึก หรือฉากแอ็คชั่น ดังนั้นหากไม่ได้ตั้งใจดู ก็อาจจะรู้สึกว่าหนังไม่เห็นจะสนุกเลยเอาได้ รวมทั้งปริศนาในเรื่องก็ไม่ได้อยู่เหนือการคาดเดาของคอหนังเท่าไหร่นัก ถึงกระนั้นก็นับว่าเป็นอีกผลงานที่มีคุณภาพของ ผกก.Polanski ที่แม้ไม่ได้ยอดเยี่ยมจนเข้าขั้นคลาสสิคเหมือนผลงานเรื่องก่อนๆ ของแก แต่ก็มีดีพอที่จะทำให้แฟนๆ หนังชื่นชมในสปิริตของป๋าได้อยู่ โดยเฉพาะความจริงที่ว่า ป๋าอายุปูนนี้แล้วยังต้องมานั่งทำหนังจากในคุกอีกด้วย ทำออกมาได้ขนาดนี้ก็เจ๋งและเก๋าไม่ใช่น้อยเลยนะจ้ะป๋าจ๋า

ลุง Brosnan กลายสภาพจากสายลับมาเป็นอดีตนายกซะแล้ว
  • น่าดูเพราะ: เป็นหนังดี การแสดงเยี่ยม เล่าเรื่องอย่างมีชั้นเชิง แฟนๆ หนังของป๋าไม่ผิดหวังเป็นแน่
  • ไม่น่าดูเพราะ: เต็มไปด้วยบทสนทนา ขาดแคลนฉากระทึก ถ้าไม่ได้ตั้งใจดูอาจมีเบื่อ





*ช่วงรู้มั้ยเอ่ย? (แล้วจะรู้ไปทำไมเนี่ย...)*

ฉากหลังเป็นแค่ภาพวิวที่ตัดต่อเข้ามาภายหลัง
  • Ewan McGregor บอกว่าบทไม่ได้บอกว่าพระเอกมีชื่อว่าอะไร เขาก็เลยติ๊งต่างเอาว่าชื่อ Gordon McFarquor ละกัน ในขณะที่เครดิตหนังก็ยังขึ้นชื่อพระเอกแค่ว่า The Ghost อยู่ดี
  • เพราะว่าป๋า Roman Polanski กลับไปเหยียบแผ่นดินอเมริกาไม่ได้ (ไม่งั้นโดนซิวเข้าคุก) ดังนั้นเลยต้องไปถ่ายทำหนังเรื่องนี้ที่เยอรมัน โดยเซ็ทฉากให้เป็นรัฐแมสซาชูเซตส์ ในอเมริกาแทนซะเลย
  • บ้านริมหาดของอดีตนายก Lang ทั้งหลังถูกสร้างในสตูดิโอ ฉากวิวภายนอกจึงเป็นการตัดต่อเข้าไปแทนกรีนสกรีนภายหลัง
  • ว่ากันว่า Hugh Grant เคยได้ปฏิเสธบทนำในหนังเรื่องมาแล้ว
  • คนออกแบบเอนด์ไตเติ้ล ดันลืมใส่เครื่องหมายวรรคตอนในตอนพิมพ์เอนด์เครดิต ผลที่ออกคือทุกตำแหน่งที่เป็น assistant (ผู้ช่วย) แทนที่จะเป็น ass. designer หรือ ass. painter เลยกลายเป็น ass designer และหลายๆ ass ไปซะงั้น (แหม่ ทำไปได้)
*ข้อมูลจาก imdb จ้า*

วันอาทิตย์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

After.Life (2009): ก็เค้ายังไม่อยากตายนี่นา!


After.Life (2009) :
Liam Neeson (Taken [2008]) นับเป็นนักแสดงประเภท'ตัวประกอบคุณภาพ' ที่งานชุกมากคนหนึ่ง ยิ่งพอสูญเสียภรรยาสุดที่รักไปเมื่อปีที่แล้ว เขากลับยิ่งรับงานไม่ยั้ง(เฉพาะปี 2010 นี้เขามีผลงานปาเข้าไปกว่าห้าเรื่องแล้ว) นัยว่าขอทำงานให้ยุ่งเข้าไว้จะได้ลืมความโศกเศร้าไปเสียบ้าง และนี่ก็คืออีกหนึ่งผลงานของเขา ที่ถึงแม้จะเป็นหนังฟอร์มเล็ก เล่นกันอยู่แค่ไม่กี่คน แต่ก็ถึงคุณภาพไม่ทำให้เสียชื่อของน้าเขาอีกเช่นเคย


เจ๊ Christina Ricci อยู่ในชุดแดงนี้ทั้งเรื่อง
Anna (Christina Ricci จาก Speed Racer [2008])คุณครูชั้นประถม เกิดประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์และฟื้นขึ้นมาก็พบว่าตนกำลังนอนอยู่ในห้องเก็บศพของสถานรับจัดพิธีศพแห่งหนึ่ง โดยเธอเองก็ไม่แน่ใจนักว่าตนเองตายจริงหรือเปล่า เพราะว่ายังสามารถขยับร่างกาย พูดจา หรือหายใจได้ปกติ แต่สัปเหร่อที่นั่นอย่าง Eliot (Neeson) ก็บอกแก่เธอว่าเธอน่ะตายชัวร์ไม่มั่วนิ่ม ไอ้การที่เธอพูดจากับเขาได้ก็เพราะเขามีพรสวรรค์ในการสื่อสารกับคนตายได้ต่างหากล่ะ(ป๊าด)


หนังเดินเรื่องอยู่ในห้องเก็บศพเกือบทั้งเรื่อง
แต่ใครล่ะอยากจะยอมรับว่าตนตายแล้วง่ายๆ เธอจึงพยายามทุกทางที่จะออกไปหาแฟนหนุ่มของเธอ (รับบทโดย Justin Long จาก Drag Me to Hell [2009]) ที่กำลังเศร้าโศกอย่างสุดซึ้งจากการจากไปอย่างกระทันหันของเธอ ซึ่งผลจะออกมาเป็นยังไง เธอยังไม่ตาย? หรือตายไปแล้ว? สัปเหร่อคนนี้เป็นผู้มีพรสวรรค์จริง หรือเป็นแค่คนโรคจิตที่จับตัวเธอไปกักขังหน่วงเหนี่ยวกันแน่? อันนี้ก็ต้องติดตามหาคำตอบกันเองแล้วล่ะนะจ้ะ


ผีฝรั่งต้องใช้มีดเป็นอาวุธด้วยเหรอเนี่ย?
ผกก.สาว Agnieszka Wojtowicz-Vosloo รับหน้าที่กำกับ/ร่วมเขียนบท ในผลงานหนังยาวเรื่องแรกนี้ได้เข้าท่าดีทีเดียว แม้จะมีตัวแสดงเล่นกันอยู่ไม่กี่คนแต่ก็จับความสนใจได้เป็นอย่างดี หนังสามารถสร้างความสงสัยในความเป็นไปได้ว่านี่มันเป็นหนังผีหรือหนังผู้ร้ายโรคจิตกันแน่ได้ดีพอสมควร แม้สุดท้ายจะไม่มีอะไรที่เกินการคาดเดาจากคอหนังมากนักก็ตาม จุดเด่นอยู่ที่คุณ Ricci ที่กล้าโป๊ กล้าเปลือย อล่างฉ่างแบบไม่แคร์สื่อ (แต่ก็โป๊ในแบบที่ไม่ได้จงใจปลุกใจเสือป่าเน้อ) ส่วนคุณ Neeson ก็มาในมาดนิ่งๆ ดูไม่มีพิษมีภัยแต่ก็น่ากลัวอยู่ในที ในขณะที่คุณ Long มาในมาดเดิมๆ แบบเดียวกับที่เราเห็นใน Drag Me to Hell เป๊ะๆ เลยเชียว


ห้องเขาดูสะอาดน่านอนดีจริงๆ
หนังไม่ได้กะขายความตื่นเต้น ระทึกขวัญ หรือมุกต๊กกะใจตุ้งแช่ (แต่ก็ยังมีอยู่บ้าง) ทว่าเน้นเสนอบรรยากาศมาคุ และชวนสงสัยในเรื่องชีวิตกับความตายซะมากกว่า อย่างเช่นมีฉากหนึ่งที่นางเอกถามสัปเหร่อว่า 'ทำไมคนเราต้องตายด้วยล่ะ?' ซึ่งคำตอบที่ได้ก็คือ 'ก็เพื่อจะได้รู้ว่าชีวิตมีค่าแค่ไหนยังไงล่ะ' อืม นี่ก็พอจะบอกแนวคิดของหนังเรื่องนี้ได้แล้วล่ะมั้ง พี่น้องที่รักทั้งหลาย
  • น่าดูเพราะ: หนังสร้างบรรยากาศได้ดี มีแง่คิด การแสดงดี ใครอยากเห็นคุณ Ricci โป๊เปลือย โชว์หรา ล่ะก็พลาดไม่ได้เชียว
  • ไม่น่าดูเพราะ: หนังที่เดินเรื่องส่วนใหญ่ก็อยู่แต่ในสถานฌาปณกิจแบบนี้ คงไม่ชวนให้ดูนักหรอก และถ้าจะดูเอาตื่นเต้น ลุ้นระทึก น่ากลัว ก็คงจะไม่มีให้ดูเท่าไหร่หรอก



*ช่วงเพลงในหนัง*

Radiohead
หนังนำเพลง Exit Music (for a Film) ของ Radiohead มาใช้ในช่วงเอนด์เครดิต ซึ่งถึงแม้จะเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าที่จริงเพลงนี้ถูกแต่งขึ้นมาเพื่อหนัง Romeo + Juliet (1996) เวอร์ชั่นเด็กแนวของ Leonardo DiCaprio ก็ตาม แต่พอมาอยู่ท้ายหนัง After.Life นี้ก็ยังคงฟังได้อารมณ์เหมาะกับตัวหนังอยู่ดีนั่นแล ว่าแล้วเราก็มาฟังกันอีกทีเถอะ...

MP3: Radiohead - Exit Music (for a Film)