วันอาทิตย์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

The Green Hornet (2011): คู่หูฮีโร่ป่วน



The Green Hornet (2011) :
เป็นฮีโร่รุ่นเก๋า (และเก่า) อีกรายที่ฮอลลีวู้ดร่ำๆ อยากจะสร้างขึ้นจอเงินมานานโขแล้ว คือนับตั้งแต่ปี 1992 หนังผ่านมือนักแสดงดังๆ มาแล้วหลายคนทั้ง Jake Gyllenhaal, George Clooney, Mark Wahlberg, Vince Vaughn, Nicolas Cage หรือแม้แต่ โจวซิงฉือ (ที่ก็เกือบจะได้ควบหน้าที่ทั้งแสดงและกำกับด้วย) แต่จนแล้วจนรอดก็เพิ่งจะได้สร้างออกมาฉายในปีนี้เอง


คู่หูฮีโร่รายใหม่มาแล้วจ้า
ด้วยการผนึกกำลังภายในกันระหว่าง ผกก.ชาวฝรั่งเศสขวัญใจเด็กแนว Michel Gondry (Eternal Sunshine of the Spotless Mind [2004]) และนักแสดงตลกรุ่นใหม่มาแรง Seth Rogen ที่ขอเหมาหน้าที่ทั้งเขียนบทและ Executive Producer เองด้วย พ่วงด้วยพ่อหนุ่ม เจย์ โชว์ ซุปเปอร์สตาร์ตาตี่จากไต้หวันที่มารับบทคู่หูของพระเอก โดยมีกองหนุนเป็น Cameron Diaz และ Christoph Waltz ที่มาคอยสร้างสีสันให้อีกคำรบหนึ่ง


อย่างนี้เขาเรียกยิงทีเดียวได้สองรู
เห็นรายนามผู้ที่เกี่ยวข้องข้างต้นย่อมส่งผลให้หน้าหนังดูดีมีชาติการ์ตูนมากๆ ทีเดียว ดังนั้นความคาดหวังจึงเกิดตามขึ้นมาจากบรรดาคอหนังทั้งหลายแน่ แต่น่าเสียดายที่บทหนังของพ่อหนุ่ม Rogen (ที่เขียนร่วมกับเพื่อน) ไม่ค่อยจะชวนให้คนดูส่วนใหญ่ปลื้มฮีโร่รายนี้ได้นัก โดยเฉพาะตัวละครของ Rogen ที่ถึงโดยพื้นฐานจะเป็นคนดี แต่ภาพพจน์ที่ออกมากลับดูไม่ค่อยฉลาด ชวนหมั่นไส้ และง่อยมากในยามออกปฏิบัติการ นี่ถ้าไม่มีผู้ช่วยอย่าง Kato (โชว์) คอยมาช่วยทำเท่ให้เห็นบ้าง เขาคงจะปราบผู้ร้ายไม่ได้สักรายแน่

เจ๊ Cameron Diaz ในบทนางเอก?
ส่วนข้อดีจริงๆ ของหนังนั้นคงต้องยกให้ ผกก.Gondry เขาอยู่ดี เพราะถึงพระเอกเราจะไม่ใจนัก แต่ ผกก.ก็ยังสามารถเล่าเรื่องออกมาได้อย่างลื่นไหล มีอารมณ์ขันกวนๆ มีมุมกล้องเก๋ๆ มาให้ยล (ไม่เสียชื่อ ผกก.MV สุดแนวจริงๆ) หนังโดยรวมเลยออกมาดูได้เพลินๆ สนุกพอได้ ไม่ต้องซีเรียส ไม่ต้องคิดมากอะไร ซึ่งนี่ถึงหนังจะไม่ค่อยตูมตามในอเมริกา แต่รายรับทั่วโลกก็ยังไปได้ฉิว (รายรับรวม 217 ล้านเหรียญ) จนเห็นท่าว่าเราคงจะได้ดูคู่หูฮีโร่รายนี้ออกมาวาดลวดลายปราบเหล่าร้ายอีกในภายภาคหน้าแน่นอนจ้า


ลีลาตะบันหน้าโจรของพระเอก
  • จุดเด่น: เป็นหนังฮีโร่คู่หูที่ดูได้เพลินๆ ไม่ต้องคิดมากอะไร ฉากบู๊สนุกใช้ได้เลยทีเดียว
  • จุดด้อย: ตัวพระเอกมาพร้อมนิสัยที่ไม่ค่อยจะได้ใจคนดูนัก เลยลดทอนอารมณ์ร่วมลงไปเยอะเลยทีเดียว

ฉากแอ็คชั่นยังพอจะสนุกได้อยู่





*ย้อนรอยหนังต้นฉบับ*

มาด The Green Hornet เวอร์ชั่นหนังทีวีในช่วงยุค 60
The Green Hornet คือฮีโร่คู่หูที่สร้างสรรค์ขึ้นมาโดย George W. Trendle และ Fran Striker เพื่อใช้ออกอากาศในรายการวิทยุของอเมริกาเมื่อปี 1936 และต่อมาก็ถูกนำไปสร้างเป็นหนังสั้นฉายปะหัวหนังยาวในโรงหนังและหนังสือการ์ตูนในยุค 40, รายการทีวีที่ออกอากาศได้สองปีซึ่งมีนักบู๊ในตำนานอย่าง Bruce Lee ในบท Kato และล่าสุดก็หนังของพ่อหนุ่ม Seth Rogen เรื่องนี้นั่นเอง ซึ่งก็แน่นอนว่านี่คงไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่เราจะได้เห็น The Green Hornet โลดแล่นบนสื่อแขนงต่างๆ แน่นอนจ้า ขอบอก

*คัดข้อมูลจาก wikipedia*


*ช่วงเพลงในหนัง*

Jay Chou
ผกก.Michel Gondry เขามาจากสาย mv อยู่แล้ว ดังนั้นเรื่องการเลือกใช้เพลงในหนังของเขานั้นหายห่วงได้เลย ซึ่งในหนังเรื่องนี้ก็มีเพลงดังๆ เด็ดๆ ให้ได้ยินกันตลอด (รวมถึงบรรดาเพลงคลาสสิคที่ตัวละคร Kato ชอบฟังด้วย) ทั้งเพลงที่ออกแนวร็อคๆ ของ The White Stripes, The Rolling Stones, Van Halen หรือเพลงแร็พเคยดังของ Coolio แต่ที่เด็ดสุดก็คือหนังเลือกเพลงของ Jay Chou ที่อยู่ในอัลบั้มชุด Fantasy (2001) มาใช้ในช่วงเอนด์เครดิตแบบที่ร้องจีนโช๊งเช๊งให้ฝรั่งงงเล่น (แต่ก็น่าฟังดี) ว่าแล้วเราก็มีมาให้ฟังตามฟอร์มจ้า





*หนังเรื่องอื่นๆ ของ Seth Rogen ภายในบล็อก (คลิกเพื่ออ่านรีวิว)*




วันเสาร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

Morning Glory (2010): เรื่องวุ่นเช้านี้



Morning Glory (2010) :
ถ้าดูจากผลงานที่ผ่านๆ มาของลุง Harrison Ford พระเอกชื่อดังจากยุค 80-90 แล้วก็จะพบว่าลุงแกแทบจะไม่ค่อยได้เล่นหนังตลกสักเท่าไหร่ และในรอบสิบปีที่ผ่านมานี้แกก็มีหนังตลกออกมาเพียงแค่เรื่องเดียวเท่านั้นคือ Hollywood Homicide (2003) ที่ก็ล้มเหลวทั้งด้านรายได้และคำวิจารณ์ซะอีกต่างหาก วันดีคืนดีแกก็เลยขอกลับมาพร้อมหนังตลกอีกสักครั้ง โดยควงแขนสาว Rachel McAdams และป้า Diane Keaton มาเรียกรอยยิ้มจากบรรดามิตรรักแฟนหนังด้วย


ลุง Harrison Ford กับหนังตลกเรื่องแรกในรอบ 7 ปี!
จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อ Becky Fuller (McAdams) โปรดิวเซอร์รายการข่าวรอบเช้าสไตล์'เรื่องเล่าเช้านี้' ต้องมารับมือกับนักข่าว/ผู้ประกาศข่าวระดับตำนานซึ่งมีอีโก้สูงสุดๆ อย่าง Mike Pomeroy (ลุง Ford) ที่แกก็ดันเกาเหลากันกับผู้ประกาศข่าวรุ่นเก๋าซึ่งทำหน้าที่ด้วยกันอย่าง Colleen Peck (ป้า Keaton) เสียอีก นางเอกเราก็เลยต้องคอยงัดเอาทุกกลเม็ดเด็ดพรายออกมาใช้เพื่อทำให้รายการออกอากาศได้อย่างราบรื่น และยังต้องเจียดเวลามาบริหารความรักของตนให้ลงตัวอีกด้วยต่างหาก


สาว McAdams น่ารักได้ใจมากๆ ในหนังเรื่องนี้
ผกก.Roger Michell (Notting Hill [1999]) กลับมาทำหนังตลกเอาใจคุณสาวๆ อีกครั้งได้อย่างน่าพอใจทีเดียว หนังทั้งดูสนุกและตลก แต่ก็ในแบบที่กำลังพองาม ไม่ได้บ้าบอแต่อย่างใด ที่สำคัญคือหนังได้กลุ่มผู้แสดงนำที่ได้ใจคนดูไปเต็มๆ ทั้งคุณ McAdams ในบทโปรดิวเซอร์สาวผู้กระตือรือร้นและทุ่มเทกับงานสุดๆ แต่กลับตกม้าตายเอาง่ายๆ ในเรื่องความรัก ซึ่งเธอทำหน้าที่ได้อย่างน่าชื่นชม ทั้งยังดูสวยขึ้นกล้อง น่ารักน่าชัง และสามารถพาความสดใสชื่นมื่นมาสู่หนังในทุกวินาทีที่มีเธออยู่บนจอ ซึ่งนั่นก็หมายถึงตลอดทั้งเรื่องเลยล่ะมั้ง


ลุง Jeff Goldblum ก็มากับเขาด้วย
ด้านลุง Ford ก็มาในบทอิตาลุงที่ปากร้าย นิสัยแย่ แต่ที่จริงแล้วแอบน่าสงสารและมีความน่ารักแฝงอยู่ ซึ่งลุงเขาก็มาด้วยมาดนิ่งๆ หน้าตาเบื่อโลก แต่ก็แฝงด้วยเสน่ห์ในแบบที่คอหนังคงจะให้ใจลุงแกได้ไม่ยาก ส่วนป้า Keaton ก็เล่นได้แจ่มแจ๋วและมาเพื่อเรียกรอยยิ้มได้อย่างเต็มที่ แม้ว่าป้าจะค่อนข้างมีบทบาทน้อยกว่าสองคนเมื่อกี้ก็ตามที ในขณะที่ส่วนประกอบด้านอื่นๆ ก็ล้วนช่วยกันพาความสดใสซาบซ่ามาสู่หนังได้เป็นอย่างดีทั้งสิ้น โดยเฉพาะบรรดาเพลงแนวป็อปร็อคที่เพราะๆ ติดหูทั้งนั้น


จะดูกี่มุมๆ นางเอกเราก็ยังน่ารักอยู่ดี อิอิ
โดยรวมแล้วถึงจะไม่ได้เป็นหนัง Chick flick ที่ดีเด่นถึงขั้นได้โล่ และอาจจะเป็นเหมือน The Devil Wears Prada (2006) เวอร์ชั่น'เรื่องเล่าเช้านี้' แต่ก็มีดีมากพอที่จะมอบความบันเทิงเริงใจให้แก่ท่านผู้ชมได้ สาระดีๆ ก็ยังพอมีให้เก็บตกไปขบคิด โดยเฉพาะในเรื่องการทุ่มเทชีวิตให้หน้าที่การงาน ซึ่งอะไรที่มันมากเกินไปก็ต้องไม่ส่งผลดีแน่ๆ นี่จึงเป็นหนังฟีลกู้ดซ่อนสาระอีกเรื่องที่จะทำให้ท่านดูไปอมยิ้มแก้มตุ่ยไปตลอดทั้งเรื่องเลยทีเดียวจ้า อวยๆ
  • จุดเด่น: เป็นหนังดราม่า/ตลก ที่ดูสนุกเพลิดเพลินอุรา นักแสดงก็ล้วนมีเสน่ห์ได้ใจ ถูกใจจริงๆ
  • จุดด้อย: ยังคงเป็นหนังที่คุณผู้หญิงจะชอบได้มากกว่าคุณผู้ชายอยู่เช่นเดิม ไม่งั้นเขาจะเรียกว่า chick flick เร๊อะ (แต่ผมชอบนะ อิอิ)






*ช่วงเพลงในหนัง*

The Weepies
หนังที่ดูเพลินดูสบายใจถูกใจคุณสาวๆ เช่นนี้ก็ต้องเต็มไปด้วยเพลงป็อปเพราะๆ อยู่แล้ว ซึ่งเมื่ออยู่ในหนังแล้วก็ส่งเสริมอารมณ์ฟีลกู้ดให้กับหนังได้ดีมากๆ อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นเพลงของคู่รักอินดี้โฟล์คจากอเมริกาอย่าง The Weepies กับเพลง Same Changes ที่เป็นเพลงขายจากหนัง หรือ Natasha Bedingfield ที่มากับเพลง Strip Me ที่ถูกใช้ในตอนจบของหนัง และแม้แต่เพลงโคตรเก่าแต่น่ารักจากปี 1938 ของ Hoagy Carmichael ก็ยังมีมาให้ฟังเลย แจ่มจริงๆ จ้า



MP3: Hoagy Carmichael - Two Sleepy People



*รีวิวหนังเรื่องอื่นๆ ของ Rachel McAdams ภายในบล็อก (คลิกเพื่ออ่านรีวิว)*

วันศุกร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

Cold Prey 1-3: ไตรภาคไอ้โหดเชือดลืมหนาว


ถ้าเป็นเมื่อก่อน พอเอ่ยถึงหนังนอร์เวย์ขึ้นมา หลายคนคงจะนึกไปถึงหนังอาร์ต, หนังดราม่าหรือหนังอะไรก็ตามที่มันห่างไกลจากคำว่าหนังตลาดสไตล์ฮอลลีวู้ด แต่พักหลังๆ มานี้ประเทศนี้มีหนังหลากหลายแนวโผล่ออกมาให้คอหนังทั่วโลกได้ฮือฮากันบ่อยๆ โดยเฉพาะกับหนังแนวสยองขวัญที่มาแรงแซงทางโค้งเอามากๆ ยกตัวอย่างเช่นหนังซอมบี้นาซีโหดมันส์ฮาอย่าง Dead Snow (2009) หนังวัยรุ่นหนีตายอย่าง Manhunt (2008) และหนังเชือดไตรภาคสุดฮิตชุดนี้ ว่าแล้วเราก็เลยขอรีวิวทั้งสามภาคแบบรวบยอดไว้ด้วยกัน ณ ที่นี้เสียเลยจ้า



Cold Prey (2006) :
ภาคแรกโดยฝีมือการกำกับของ Roar Uthaug นี้นั้นได้รับคำชื่นชมจากบรรดานักวิจารณ์และคอหนังสยองขวัญเอาการ เรียกได้ว่าได้ทั้งเงินทั้งกล่องเลยก็ว่าได้ ด้วยเรื่องราวเกี่ยวกับวัยรุ่นห้าคนที่ชักชวนกันไปเล่นสโนว์บอร์ดแถวเทือกเขา Jotunheimen แต่ว่าต่อมาดันไปติดพายุหิมะก็เลยต้องระเห็จเข้าไปหลบหนาวในโรงแรมร้างแถวนั้นจนเจอดีเข้า (ต้องเรียกว่าเจอไม่ดีสิ) เมื่อฆาตกรจอมโหดเชือดไม่ทักที่อาศัยอยู่ในนั้นออกมาตามไล่ฆ่าพวกเขาทีละคนๆ ซะงั้น


เจออะไรเข้าล่ะถึงได้อ้าปากหวอแบบนั้น
หนังเดินตามขนบหนังแนวเชือดแบบเป๊ะๆ มันก็เลยค่อนข้างจะมีอะไรๆ ที่ซ้ำๆ พอคาดเดาได้ ไม่ว่าจะเป็นตัวโกงที่แข็งทื่อ พูดไม่เป็น และตั้งหน้าตั้งตาจะฆ่าคนอย่างเดียว แต่ว่าหนังก็ยังเจ๋งได้อยู่ตรงที่ไม่มีตัวละครทำอะไรงี่เง่าๆ ให้เห็นเลย ยิ่งพามาเจอทิวทัศน์อันขาวโพลนเพราะถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ ก็เลยทำให้ได้บรรยากาศสุดลุ้นที่ดูเข้าท่ามิใช่น้อย ซึ่งสำหรับคอหนังสยองขวัญแล้ว การที่หนังนอร์เวย์เรื่องนี้ทำได้ถึงขนาดนี้ก็ถือว่าแจ่มมากมายแล้วล่ะเนอะ


ขาดสาวๆ นุ่งน้อยห่มน้อยไม่ได้เลยเชียว
  • จุดเด่น: เป็นหนังแนวเชือดจากนอร์เวย์ที่ทำได้เข้าท่า มีลุ้น ไม่มีอะไรที่งี่เง่าๆ ให้เห็น
  • จุดด้อย: มาตามขนบหนังแนวนี้แบบเป๊ะๆ ไม่มีอะไรแปลกใหม่







Cold Prey 2 (2008) :
หนังภาคแรกฮิตซะ ว่าแล้วก็เลยต้องมีภาคต่อตามมา โดยคราวนี้ถึงจะเปลี่ยน ผกก.เป็น Mats Stenberg แต่หนังก็ยังได้นางเอก Ingrid Bolsø Berdal จากภาคแรกมารับบทเดิมอีกครั้ง ซึ่งเรื่องราวก็จะเล่าต่อจากภาคแรกกันเลย และแน่นอนว่าก็ต้องหาทางให้เจ้าวายร้ายได้มีโอกาสกลับมาปฏิบัติการจองเวรนางเอกกันอีกครั้ง เพียงแต่คราวนี้เปลี่ยนโลเคชั่นจากโรงแรมร้างบนเขามาเป็นโรงพยาบาลในเมืองเล็กๆ กันบ้างล่ะ


นางเอกภาคแรกกลับมาอีกครั้ง
มาภาคนี้หนังมีฉากแอ็คชั่นเพิ่มมากขึ้น โหดกันจะๆ มากขึ้น แต่เมื่อเทียบกับภาคแรกแล้วก็ยังถือว่ายังดูด้อยกว่านิดหนึ่ง โดยเฉพาะในเรื่องบรรยากาศ ซึ่งผู้สร้างก็ขอทดแทนด้วยการเล่าถึงปูมหลังที่มาที่ไปของวายร้ายในสมัยยังเด็กเพิ่มขึ้น ว่าทำไมเขาถึงได้กลายเป็นไอ้โหดในทุกวันนี้ ก็เลยช่วยชดเชยในส่วนที่ขาดหายไปได้อยู่บ้าง และส่งผลให้หนังยังมีคุณภาพพอฟัดพอเหวี่ยงกับภาคแรกทีเดียวเชียว


ขาดไม่ได้ที่ต้องมีสาวๆ มาแหกปากกรีดร้อง
  • จุดเด่น: เป็นหนังภาคต่อที่คุณภาพไม่ด้อยไปจากภาคแรกมากนัก แถมยังจะบู๊กระจายและโหดมากกว่าอีก แฟนๆ คงจะไม่ผิดหวังกัน
  • จุดด้อย: ขาดความชวนลุ้นและเสน่ห์บางอย่างลงไปนิดเมื่อเทียบกับภาคแรก







Cold Prey 3 (2010) :
แม้ในตอนจบภาคสองเจ้าตัวร้ายจะถูกนางเอกยิงหัวแบะไปแล้ว (อุ๊บส์!) แต่ผู้สร้างก็หาทางให้มันกลับมาเรียกเงินเข้ากระเป๋าอีกครั้งจนได้ ซึ่งก็ไม่ได้ปลุกให้มันลุกขึ้นมาจากหลุมแบบ เจสัน ศุกร์ 13 หรอกนะ ทว่าภาคนี้จะเป็นการพาย้อนไปในสมัยกลางยุค 80 เพื่อเล่าเรื่องสมัยมันยังหนุ่มๆ เอ๊าะๆ ตอนที่กำลังฝึกวิชาโหดอยู่ต่างหาก ซึ่งก็มีเหยื่อวัยรุ่นเอ๊าะๆ หลงมาให้เชือดถึงที่ซะตั้ง 6 คน สบายใจเฉิบไอ้โหดไปเลยเชียว


อย่าทำให้สาวคนนี้โกรธเข้าล่ะ
แค่การที่ไม่มีนางเอก Ingrid Bolsø Berdal ที่ถือเป็นเครื่องหมายการค้าของหนังแฟรนไชส์นี้แล้ว มันก็เลยชักจะทะแม่งๆ ชอบกล (แถมเปลี่ยนผกก.อีกครั้งเป็น Mikkel Brænne Sandemose) และภาคนี้ก็เปลี่ยนบรรยากาศสภาพแวดล้อมมาเป็นช่วงที่ยังไม่ถึงหน้าหนาวบ้าง ดังนั้นเราจึงจะได้เห็นการไล่ฆ่ากันในป่าแทนที่จะเป็นการไล่ล่ากันในที่แคบๆ โดยที่มีหิมะหนาเตอะเป็นพื้นหลังอย่างที่เคย ซึ่งก็ชวนให้นึกถึงหนังพวก Wrong Turn หรือหนังบ้านเดียวกันอย่าง Man Hunt ไปซะงั้น ตรงนี้แฟนเก่าๆ ที่ชอบบรรยากาศจากสองภาคแรกก็อาจจะมีเคืองได้


วิ่งหนีกันหน้าตั้งเชียว
มาว่ากันด้านลุ้นระทึกหรือด้านโหดก็ดูจะด้อยกว่าสองภาคแรก เพราะหนังออกมาค่อนข้างธรรมดาและซ้ำซากไปนิด ตัวละครหลักก็ไม่ได้ใจคนดู ไม่น่าเอาใจช่วยอย่างที่นางเอกคนเก่าเคยทำได้ ภาคนี้ก็เลยดูจะผิดกลิ่นจากภาคก่อนๆ ไปพอสมควร ถึงหนังจะไม่ได้ถึงขั้นเลวร้ายจนเกินทน แต่ก็ถือว่าเป็นการปิดท้ายไตรภาคหนังแฟรนไชส์ชุดนี้ได้อย่างค่อนข้างน่าผิดหวัง ซึ่งก็ต้องรอดูกันต่อไปว่าทางผู้สร้างจะเข็นภาคสี่ออกมาอีกหรือไม่และอย่างไรกันล่ะเน้อ
  • จุดเด่น: หนังภาคสามที่ย้อนไปเล่าเรื่องราวความเป็นมาของตัววายร้ายในสมัยเอ๊าะๆ ที่แฟนๆ จะได้รู้ว่ามันไปฝึกวิชาโหดมาจากสำนักไหนมาหนอ
  • จุดด้อย: หนังธรรมดามากๆ ถ้าเทียบกับสองภาคแรก แถมยังผิดกลิ่นแทบจะกลายเป็นเรื่องอื่นไปเลยด้วยซ้ำ





*รีวิวหนังสยองขวัญจากนอร์เวย์และหนังเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องในบล็อก*

วันพฤหัสบดีที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

Jackass 3D (2010): ก๊วนซ่ากล้าเสื่อม



Jackass 3D (2010) :
Jackass คือรายการของช่อง MTV ที่ออกอากาศในช่วงปี 2000-2002 โดยจะเป็นการออกมาเล่นอะไรๆ แผลงๆ ห่ามๆ ชวนเจ็บตัว แถมยังออกแนวอุบาทว์ของเหล่าชายฉกรรจ์แสนบ้าบิ่นที่นำโดยยอดชายนาย Johnny Knoxville ซึ่งรายการก็ฮิตเอามากๆ จนได้อัพเกรดเป็นเวอร์ชั่นหนังโรงในปี 2002 และตามมาด้วยภาคสองในปี 2006 ที่ก็ทำเงินไปได้อื้อทั้งคู่ และแล้วพวกเขาก็ได้กลับมาอีกเป็นครั้งที่สามโดยขอชูนโยบาย'จะห่วยหรือดีก็ขอ 3D ไว้ก่อน' ซึ่งบรรดาแฟนๆ ก็ยังคงตามมาให้การสนับสนุนกันเป็นอย่างดีจนหนังฟันเงินไปได้กว่า 169 ล้านเหรียญเลยทีเดียว (ป๊าด!)


พวกเขากลับมาห่ามกันอีกครั้ง
ภาคนี้พวกเขาก็ยังกลับกันมาครบทีม และขนเอามุกอะไรแผลงๆ เสื่อมๆ มากำนัลท่านผู้ชมกันเต็มเหนี่ยวเช่นเดิม ซึ่งก็คงไม่พ้นการทำอะไรบ้าบิ่นให้เจ็บตัวเล่นๆ การแกล้งชาวบ้าน (แบบขำๆ) การแกล้งกันเอง (แบบแรงๆ) และการเล่นสัปดนกับอวัยวะเพศ ฉี่ อึ เหงื่อ ตด เช่นการแกล้งฉี่ราดใส่กันเอง, เอาจู๋หวดลูกกอล์ฟให้อีกคนคอยคาบ, อึขึ้นฟ้าให้ดูกันสดๆ, เข้าไปในห้องน้ำเคลื่อนที่ซึ่งเต็มไปด้วยอึแล้วก็จับห้องน้ำเขย่าๆ จนเละตุ้มเป๊ะใส่คนข้างใน ฯลฯ ซึ่งมันเป็นอะไรที่อุบาทว์ชวนอ้วกดีแท้ ดังนั้นจึงขอเตือนว่าอย่ากินอะไรในขณะดูหนังเรื่องนี้เด้อ


การแกล้งกันหนักๆ คืองานของพวกเขา
ถึงจะทำอะไรกล้าบ้าบอและไร้สาระสุดๆ แบบนี้ แต่ก็ต้องยอมรับว่าพวกเขากล้าในสิ่งที่คนอื่นไม่ทำ และเราก็คงหาดูอะไรที่สุดขั้วแบบนี้ที่ไหนไม่ได้อีกแล้วนอกจากในหนังของพวกเขา ซึ่งตรงนี้ก็แล้วแต่รสนิยมของแต่ละท่านด้วยว่าจะรับพวกเขาได้แค่ไหน เพราะอาจจะชอบหรือไม่ก็เกลียดไปเลย ส่วนสำหรับเรานั้น แรกๆ ก็ดูขำๆ ดีอยู่หรอกแต่พอหลายๆ มุกไป ก็เริ่มเฝือ เริ่มไม่ค่อยสบายใจและนึกในใจว่า 'นี่ตูกำลังดูอะไรอยู่ฟะเนี่ย?' แต่ก็ดูต่อจนจบ (อิอิ) ซึ่งนี่ล่ะมั้งเป็นอะไรที่เขาเรียกว่า 'Guilty Pleasure' ของแท้เลยล่ะครับพ่อแม่พี่น้อง


กล้าเสี่ยงกล้าเจ็บตัวคือหน้าที่ของพวกเขา
มีคนเคยบอกว่ามีเส้นบางๆ ที่คั่นกลางระหว่างความกล้ากับความโง่ ซึ่งพวกเขาก็คือตัวอย่างที่ดีของคนที่ยืนอยู่บนเส้นบางๆ เส้นนั้น แถมยังเรียกตัวเองว่าเป็น 'Jackass' อย่างหน้าชื่นตาบานซะด้วยสิ แต่ว่าก็ว่าเหอะ ถึงหนังจะไร้สาระแถมยังอุบาทว์สุดขั้วแบบนี้ แต่เห็นจากรายได้ที่ฟันไปเกือบ 200 ล้านเหรียญแล้ว สงสัยว่าพวกเขาก็คงจะยินดีโง่ปนบ้าบิ่นแบบนี้กันต่อไปล่ะมั้ง ดังนั้นเราคงจะได้ดูวีรเวรวีรกรรมของพวกเขาอีกในอนาคตแน่ๆ เลยจ้า ขอบอก เหอๆ
  • จุดเด่น: การได้เห็นพวกเขาทำอะไรกล้าบ้าบิ่นแบบที่หาดูที่ไหนไม่ได้และคงไม่มีใครกล้าทำอย่างนี้อีกแล้ว
  • จุดด้อย: ไร้สาระ ซึ่งดูช่วงแรกๆ ก็สนุกดีอยู่หรอก แต่พอนานๆ เข้าชักเริ่มเฝือ แถมช่วงหลังๆ นี่ออกแนวอุบาทว์ชวนอ้วกมากกว่าจะดูสนุกซะอีกต่างหาก

*ของแถม*

พลพรรค Jackass เวอร์ชั่น(พยายาม)เซ็กซี่





*ช่วงเพลงในหนัง*

วง Weezer มีเพลงในหนังเรื่องนี้ด้วย
หนังที่บ้าๆ บอๆ ไร้สาระ กะให้ดูเอาสนุก (และอุบาทว์) เช่นนี้ ก็ต้องเต็มไปด้วยเพลงจังหวะคึกคัก สนุกสนานแน่นอน แต่มีอยู่สองเพลงที่เรารู้สึกติดใจเป็นพิเศษ นั่นก็คือเพลงของวงอัลเทอร์เนทีฟร็อคจาก แอลเอ อย่าง Weezer ที่ชื่อ Memories ที่ทางวงก็ชวนนักแสดงในหนังไปช่วยร้องจริงๆ ดังที่จะได้เห็นในช่วงเอนด์เครดิต ส่วนอีกเพลงก็เป็นของสาว Karen O สาวมะกันลูกครึ่งฝรั่ง/เกาหลีนักร้องนำวง Yeah Yeah Yeahs ที่คัฟเวอร์เพลงเก่าของ Roger Allan Wade ชื่อ If You're Gonna Be Dumb, You Gotta Be Tough ออกมาได้อย่างน่ารักน่าชังจริงๆ เชียว