วันพฤหัสบดีที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

Project X (2012): ก๊วนเกรียนเห่ย ชวนเมากลิ้ง




Project X (2012) :

Todd Phillips เจ้าพ่อหนังตลกเรทอาร์เจ้าของผลงานอย่าง The Hangover ทั้งสองภาค กลับมาอีกครั้งพร้อมหนังแนวถนัดของเขา ที่แม้ว่าจะมาแค่ในฐานะผู้อำนวยการสร้าง แล้วโยนลูกให้ Nima Nourizadeh ผกก.มิวสิกวีดีโอ/โฆษณา มารับหน้าที่เปิดซิงกำกับเป็นเรื่องแรกก็ตามที แต่รับประกันว่างานนี้ต้องห่ามถึงใจพระเดชพระคุณไม่แพ้ท่าน Phillips แกมาเองเลยล่ะ


สามเห่ยขอจัดปาร์ตี้ให้สุดฮิพ
หนังเสนอเรื่องราวของสามวัยรุ่น ม.ปลายสุดเห่ยแถมสาวเมิน ที่อาศัยจังหวะที่ผู้ปกครองไม่อยู่ ริจะจัดปาร์ตี้สุดมันส์ในตำนานขึ้นมา (โดยใช้วาระดิถีวันเกิดตนเป็นข้ออ้าง) เพื่อหวังว่าจะทำให้พวกตนป็อปขึ้นมาบ้างแถมเผื่อจะได้แอ้มสาวอีกต่างหาก ซึ่งด้วยความก้าวล้ำทางเทคโนโลยีการสื่อสารของยุคนี้ ทำให้ข่าวการจัดปาร์ตี้ครั้งนี้กระจายไปทั่วทุกหัวระแหง คลื่นมหาชนคนมันส์ (และอยากจะมันส์) แห่แหนกันมาเพียบ จนความสนุกชักเลยเถิดขึ้นไปเรื่อยๆ ซะแทบจะเกิดจลาจลขึ้นมาแทน งานเข้าเลยสิครั่บนั่น

สาวๆ โชว์เต้าเพียบเลยงานนี้
ฟังพล็อตดูก็น่าจะพอเดาได้ว่างานนี้คงจะห่ามกันเต็มเหนี่ยว เพราะเป็นเรื่องของการจัดปาร์ตี้ล้วนๆ หนังเสนอวิธีการจัดปาร์ตี้อย่างเป็นขั้นเป็นตอน และใช้วิธีถ่ายทำแบบแบกกล้องถ่ายโฮมวีดีโอตามถ่ายตลอดงาน สลับด้วยภาพจาก กล้องมือถือ กล้องถ่ายรูป หรือภาพจากแหล่งต่างๆ ตามแบบหนังแนวเรื่องจริงผ่านจอกำมะลอที่นิยมทำกันในยุคนี้ ภาพที่เห็นในหนังจึงให้อารมณ์เหมือนเข้าไปอยู่ในปาร์ตี้จริงๆ ก็มิปาน ถูกใจวัยมันส์นักเชียว


นี่คือปาร์ตี้ที่เละเทะที่สุดในสามโลก
แต่นอกนั้นหนังก็ไม่มีอะไรนอกจากภาพของวัยรุ่นที่พากันมั่วสุมเมาปลิ้น ทำเรื่องบ้าบอ พยายามมีเซ็กส์กับสาวๆ ทำข้าวของเสียหาย หลายคนจึงต้องมองว่าหนังช่างไร้สาระเสี่ยนี่กระไรได้เช่นกัน แต่ถ้าจะมองอีกแง่ว่าหากเราหวังดูวิธีคิด ดูรูปแบบการใช้ชีวิตของวัยรุ่นอเมริกันยุคนี้ มันก็ยังพอจะสะท้อนอะไรให้ได้เห็นอยู่บ้าง อีกทั้งถึงแม้หนังจะบอกว่าปาร์ตี้เกิดจากแรงขับที่ว่าเพราะต้องการเป็นที่ยอมรับ ต้องการแอ้มสาว ซึ่งเราอาจจะเห็นว่าเป็นความคิดโง่ๆ ของวัยรุ่น แต่มันก็เป็นเรื่องจริงที่วัยรุ่นเท่านั้นที่เข้าใจ และครั้งหนึ่งเราก็อาจจะเคยคิดแบบนั้นเช่นกัน (มีใครไม่เคยเป็นวัยรุ่นบ้างเนี่ย? อิอิ)

น้องหมาก็เลยได้ปาร์ตี้กับเขาด้วย
แม้หนังจะพยายามแสดงให้เห็นว่าสิ่งที่พวกเขาทำไปมันไม่ดี ส่งผลให้ต้องได้รับโทษกันถ้วนหน้า ไม่ได้เดินตัวปลิวลอยนวลจากสถานการณ์ที่พวกตนก่อไว้แต่อย่างใด แต่มันก็ได้กลายเป็นอิทธิพลแบบอย่างแก่วัยรุ่นให้เกิดความพยายามจะจัดปาร์ตี้ในตำนานอย่างในนี้ขึ้นมาจริงๆ แล้ว แม้ว่าสุดท้ายจะโดนสะกัดดาวรุ่งหมดเสียก่อนก็ตามที ที่น่าสนใจคือการสื่อสารสมัยนี้ ทั้งทางอินเตอร์เนท เฟสบุ้ค ทวีตเตอร์ โทรศัพท์มือถือ ทำให้ข่าวสารแพร่ไปอย่างรวดเร็ว ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะเกณฑ์คนมาปาร์ตี้กันได้เยอะอย่างที่เห็นในหนัง ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ ถ้าเรารู้จักนำมันมาใช้ให้เกิดประโยชน์ก็คงจะดีไม่น้อยเนอะ
  • + หนังตลกวัยรุ่นห่ามๆ ปาร์ตี้ๆ ดูเพลินๆ ถูกใจวัยรุ่น และผู้ที่อยากเรียนรู้วัฒนธรรมการปาร์ตี้ของฝรั่งเขาล่ะ
  • - หนังออกแนวไร้สาระ คนที่ชอบน่าจะเป็นกลุ่มวัยรุ่นเท่านั้น ส่วนบรรดาผู้ใหญ่และผู้ปกครองทั้งหลายคงจะดูไปส่ายหัวไปด้วยความเอือมระอาเป็นแน่




วันอังคารที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

The Raid: Redemption (2011): ปิดตึกลุย




The Raid: Redemption (2011) :

หาก องค์บาก (2003) เคยสร้างความฮือฮาแก่ชาวโลกให้เห็นถึงความเจ๋งของ 'มวยไทย' ศิลปะป้องกันตัวประจำชาติเราไว้อย่างไร หนังแอ็คชั่นบู๊กระจายที่ชูศิลปะป้องกันตัว 'ปันจักสีลัต' จากอินโดนีเซียเรื่องนี้ ก็สามารถสร้างความฮือฮาได้ในระดับนั้นเช่นเดียวกัน จนถ้าจะเรียกว่านี่คือ 'องค์บากแห่งอินโดนีเซีย' ก็คงจะไม่น่าเกลียดสักเท่าไหร่เลย


หนังบู๊กระหน่ำจากอินโดนีเซียมาแล้วจ้า
Gareth Evans ผกก.หนุ่มไฟแรงชาวเวลส์ ที่ไปปักหลังทำมาหากินในอินโดนีเซีย กลับมาพร้อมผลงานหนังแอ็คชั่นปันจักสีลัตเรื่องที่สองของเขา ซึ่งว่าด้วยเรื่องราวของตำรวจหน่วยสวาทจำนวน 20 นายที่ยกพลมาบุกตึกแห่งหนึ่งในย่านเสื่อมโทรมของจาการ์ต้าเพื่อทะลายซ่องโจรขนาดใหญ่และจับกุมตัวเจ้าพ่อขาโหดที่คุมอยู่ที่นั่นมาจงให้ได้ แต่พวกเขาหารู้ไม่ว่านี่มันถิ่นเสือสิงห์กระทิงดุที่เหล่าโจรก็ได้เตรียมการรับมือชนิดตาต่อตาฟันต่อฟันไว้พร้อมสรรพแล้ว ซึ่งงานนี้บอกได้เลยว่ามีบู๊สนั่นนันสต็อปกันทั้งเรื่องเลยทีเดียวล่ะ

หน้าตาพวกเขาบอกว่าคนไทยก็เชื่อ
โอ้ว พี่น้องครั่บ หนังที่กะขายฉากบู๊มันส์ๆ แบบนี้นั้นพล็อตเขาคงไม่มีอะไรยุ่งยากซับซ้อนซ่อนเงื่อนอยู่แล้ว คือหนังลุยกันตั้งแต่ยังไม่ถึงสิบนาทีเลยด้วยซ้ำ และก็ลากยาวไปจนจบ ซึ่งด้วยความที่พล็อตธรรมดาแบบนี้ ถ้าหากทำฉากบู๊ได้ไม่ถึงใจวัยโจ๋ละก็หนังคงจบเห่แน่ แต่ผลที่ออกมาหนังดันสามารถประเคนฉากบู๊ดุเดือดเลือดพล่านฉากแล้วฉากเล่าแก่คนดูได้อย่างเข้าท่า ดูเพลิน ไม่น่าเบื่อเลย ชนิดที่ว่าคอหนังแอ็คชั่นคงได้ซู้ดปากครางฮือด้วยความพอใจกันทุกคราที่ได้เห็นคิวบู๊เจ็บตัวทั้งหลายในหนังแน่ๆ

คิวบู๊แจ่มทีเดียวเชียว
แม้หนังจะทุนน้อย ฉากเฉิก และอะไรๆ ดูก๊อกแก๊กไปบ้าง แต่ด้านสเปเชียลเอฟเฟกต์ฉากโดนยิง โดนเสียบ เลือดสาดเนี่ยเขาทำได้เด็ดขาด เข้าท่าดีจริง เลยช่วยเสริมความมันส์ให้กับหนังได้ไม่น้อย นี่เห็นฝรั่งพากันเห่อหนังเรื่องนี้มากถึงขนาดเตรียมเอาไปรีเมคกันแล้ว (ส่วนหนังต้นฉบับก็เตรียมทำเป็นไตรภาคเลย) ก็ต้องดีใจกับเขาล่ะ ในฐานะคนเอเซียด้วยกัน แม้จะยังแอบคิดอยู่ว่า ถ้าวัดกันจริงๆ แล้ว หนังบู๊ไทยเราก็ไม่น้อยหน้าเขาเลยล่ะ ขอบอก

บอกแล้วให้เติมน้ำมันก่อนมา
  • + บู๊กระหน่ำซัมเมอร์เซล คิวบู๊คิวเจ็บเข้าท่า จริงจัง ถูกใจคอหนังแอ็คชั่นเตะต่อยแน่นอน
  • - เรื่องราวไม่มีอะไรนอกจากกะขายบู๊กันอย่างเดียว และจะว่ากันจริงๆ ด้วยสายตาที่ลำเอียง คิวบู๊หนังไทยเราแจ่มกว่านะ





วันเสาร์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

Safe House (2012): สองระห่ำล่าเกินพิกัด




Safe House (2012) :

ถ้าช่วงปี ค.ศ.1995 - 2005 คือยุคทองของบรรดานักแสดง/ผกก.ชาวเอเซีย (โดยเฉพาะจากฮ่องกง) ที่ได้โกฮอลลีวู้ดกันเป็นว่าเล่นแล้วล่ะก็ (รวมทั้งบรรดาหนังผีเอเซียที่ถูกคว้าไปรีเมคอีกเพียบด้วยนะ) ยุคนี้ก็คือยุคทองของบรรดานักแสดง/ผกก.ชาวยุโรปบ้างล่ะ โดยเฉพาะจากประเทศในแถบสแกนดิเนเวียนที่นอกจากบรรดาหนังเด็ดๆ จะถูกนำไปรีเมคกันให้รึ่มแล้ว เหล่านักแสดง/ผกก.ยังถูกดึงตัวไปทำงานยังฮอลลีวู้ดกันเป็นที่เอิกเกริกอีกด้วย และหนังแอ็คชั่นเรื่องนี้ก็คือผลงานโกฮอลลีวู้ดเรื่องแรกของ Daniel Espinosa ผกก.หนุ่มไฟแรงจากสวีเดน เจ้าของผลงานหนังอาชญากรรมที่กำลังจะโดนฮอลลีวู้ดนำมารีเมคเหมือนกันอย่าง Easy Money (2010) นั่นเอง


จารชนต้องมีความสามารถในการตัดผมตัวเองให้ออกมาดูดีด้วย
หนังว่าด้วยเรื่องราวสุดบู๊ของพ่อหนุ่ม Matt Weston (Ryan Reynolds) จนท.ซีไอเอชั้นผู้น้อยที่ประจำการแบบเบื่อๆ เซ็งๆ อยู่ที่เซฟเฮ้าส์ของซีไอเอ ใน เคฟทาวน์ แอฟริกาใต้ ซึ่งอยู่ๆ วันหนึ่งก็งานเข้าเมื่อมีการควบคุมตัวอดีตซีไอเอตัวเก๋าอย่าง Tobin Frost (Denzel Washington) เข้ามาสอบสวน เท่านั้นไม่พอยังมีกลุ่มชายฉกรรจ์พร้อมอาวุธครบมือบุกเข้ามายิงดะหวังชิงตัว Frost ไปอีก จน Weston เองต้องเหวอกินว่าจะเอายังไงกับชีวิตต่อดีวะเนี่ย และนั่นคือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวอันบู๊สุดระห่ำไม่หวั่นแม้วันมามากของหนังเรื่องนี้นั่นเองจ้า

เต็มไปด้วยนักแสดงฝีมือหน้าคุ้นๆ
หนังมาด้วยพล็อตพิมพ์นิยมที่คอหนังแนวนี้น่าจะคุ้นเคยและคาดเดากันได้เป็นอย่างดี เช่นตัวโกงผู้อยู่เบื้องหลังที่แค่เห็นหน้าแต่แรกก็รู้แล้วว่าไอ้หมอนี่มันเป็นตัวการแน่เลย ทั้งยังมีอะไรที่ในความเป็นจริงแล้วคงไม่มีใครเขาทำกันตอนแอบตามไล่จับโจรอย่างการตะโกนเรียกชื่อให้หยุด (แล้วใครจะไปอยู่ให้จับล่ะวุ้ย) แต่ยังดีที่หนังมีหน้าหนังที่แข็งแรง (ไม่ใช่หนังหน้าที่แข็งแรงนะครั่บ) เพราะมีนักแสดงดังๆ เด็ดๆ มาร่วมประชันบทบาทกันหลายคน ฉากไล่ล่า ฉากบู๊ ที่ดูเด็ดขาด จริงจัง ชวนลุ้นระทึกไม่ใช่เล่น (ในบางฉากบางอารมณ์แล้วช่างชวนให้นึกถึงหนัง เจสัน บอร์น ขึ้นมาเลย)

สองหน่อนี้ล่ากันทั้งเรื่อง
อีกอย่างที่น่าสนใจคือการที่หนังไปปักหลักบู๊กันที่แอฟริกาใต้ ทำให้ได้บรรยากาศแปลกหูแปลกตาเข้าท่าดีไปอีกแบบ โดยรวมแล้วหนังเลยกลายเป็นความบันเทิงที่ดูกันได้เพลินๆ มันส์ๆ ถูกใจคอหนังแอ็คชั่นไล่ล่าดีแท้ การโกฮอลลีวู้ดของ ผกก.Espinosa ครั้งนี้จึงถือว่าค่อนข้างเป็นที่น่าพอใจทีเดียว นี่เห็นว่าหนังกวาดเงินไปได้กว่า 200 ล้านทั่วโลกแบบนี้ด้วยแล้วเนี่ย ชะรอยว่าเราคงจะได้เห็น ผกก.Espinosa ปักหลักหากินอยู่ฮอลลีวู้ดอีกสักพักแหล่ะนะ ขอบอก

  • + ดารามากมี แอ็คชั่นเร้าใจ เปลี่ยนบรรยากาศไปแอฟริกาใต้ก็ไม่เลวเหมือนกันนะ
  • - พล็อตเดิมๆ ไม่มีอะไรใหม่ แบบที่ว่าเดาออกแต่แรกเลยว่าใครคือตัวการใหญ่ และจะจบยังไง




วันอาทิตย์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

John Carter (2012): มหาสงครามเจ๊งสนั่นดาวอังคาร




John Carter (2012) :

จากนิยายชุดแนวไซไฟ-แฟนตาซีสุดคลาสสิคของ Edgar Rice Burroughs นักประพันธ์ชาวมะกัน ที่ออกตีพิมพ์ระหว่างปี ค.ศ.1912-1943 ซึ่งฮอลลีวู้ดเขาเล็งว่าจะเอาไปสร้างเป็นหนังตลอด 79 ปีที่ผ่านมา (ป๊าด!) แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีใครที่สามารถทำได้สำเร็จเสียที จนเมื่อหนังตกมาอยู่ในมือของ Walt Disney Pictures นั่นแหล่ะถึงได้ทำสำเร็จเสร็จสมอารมณ์หมายเข็นหนังออกมาฉายในที่สุด เมื่อเดือน มี.ค.ที่ผ่านมานี่เอง


มาดเขายังกับ Prince of Persia ก็มิปาน
และไหนๆ ก็สร้างออกมาทั้งทีแล้ว จึงได้รับการวางโครงการให้เป็นหนังมหากาพย์ไตรภาคฟอร์มซูเปอร์ยักษ์กันเลยทีเดียว โดยในภาคแรกนี้ได้ Andrew Stanton กุนซือด้านอนิเมชั่นจาก Pixar เจ้าของผลงานอนิเมชั่นสุดแจ่มอย่าง Finding Nemo (2003) และ WALL·E (2008) มารับหน้าที่กำกับ ซึ่งนี่ก็เป็นหนังคนแสดงเรื่องแรกของเขาเสียด้วยสิ และยังได้พ่อหนุ่ม Taylor Kitsch (Battleship [2012]) ที่กำลังมาแรง ณ ชม.นี้มารับบทพระเอกผมยาวประจำเรื่องอีกด้วย


เจอหล่อล่ำอย่างนี้นางเอกก็ต้องเหล่เป็นธรรมดา
แต่อนิจาพอหนังออกฉายกลับทำเงินไม่ตูมตามอย่างที่คาดคิด คือ ณ เวลานี้หนังยังทำเงินในอเมริกาไปได้เพียง 71 ล้านเหรียญเท่านั้น (จากทุนสร้างกว่า 250 ล้านเหรียญ รวมงบโฆษณาอีก 100 ล้านเหรียญ) ทำให้ผู้ที่เกี่ยวข้องพากันเหวอแดกและควานหาแพะกันให้ควั่ก นี่ยังดีที่ตลาดนอกอเมริกาหนังยังไปได้ฉิวอยู่ เพราะทำเงินไปได้กว่า 200 ล้านเหรียญ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ยังถือว่านี่เป็นหนังยักษ์ล้มตึงของฮอลลีวู้ดเรื่องล่าสุดไปจนได้ แถมยังสร้างความร้าวฉานดราม่าระหว่าง Disney และ Pixar ขึ้นมาอีกต่างหาก

แต่งตัวออกแนวลิเกอวกาศ
จะโทษว่าหนังเจ๊งเพราะการตลาดที่ผิดพลาดหรืออะไรก็แล้วตามแต่ ถ้าจะว่ากันถึงตัวหนังโดยรวมแล้ว มันก็ถือว่าไม่ได้เลวร้ายอะไรนักนะ เพราะนอกจากหนังจะอลังการงานสร้าง เอฟเฟกต์ตระการตาแล้ว ยังเล่าเรื่องออกมาได้ค่อนข้างดูเพลินในระดับหนึ่งเลยทีเดียวล่ะ แม้ว่าหนังอาจจะดูยาวไปหน่อย เลยมีช่วงชวนน่าเบื่อบ้างเป็นระยะ และไอเดียในฉากต่างๆ ของหนังที่ชวนให้นึกถึงหนังดังๆ เรื่องโน้นเรื่องนี้ไม่ว่าจะเป็นหนังชุด Star Wars หรือแม้แต่กระทั่ง Avatar (2009) ก็ตามที

นางเอกเราสวยแบบแปลกๆ
เราคิดว่าความผิดพลาดใหญ่อีกข้อหนึ่งที่ทำให้หนังเจ๊งก็คือการที่ 'หนังมาช้าไปหลายปี' ไอเดียจุดขายต่างๆ จากตัวนิยายต้นฉบับ (ที่เล่มแรกตีพิมพ์มา 100 ปีพอดี) เลยถูกคนอื่นๆ หนังอื่นๆ หยิบยืมแรงบันดาลใจไปใช้จนหมดแล้วตลอดหลายปีที่ผ่านมา เลยไม่เหลือแง่มุมอะไรใหม่ๆ เด็ดๆ ให้คนดูหนังสมัยนี้ได้ฮือฮา หรือดึงดูดให้คนอยากเข้าไปดู แถมยังถูกอาจถูกเขาหาว่าลอกไอเดียเรื่องอื่นๆ มาใช้อีกต่างหาก ทั้งที่จริงๆ แล้วนี่แหล่ะต้นฉบับตัวพ่อเลยครับทั่น


เจ้า Woola หมาปนกิ้งก่า ขวัญใจประจำหนัง
ครั่บ หนังเจ๊งก็ใช่ว่าจะเป็นหนังห่วย และหนังห่วยก็ใช่ว่าจะเจ๊งเสมอไป นี่เป็นสัจธรรมอีกข้อของฮอลลีวู้ด ซึ่งสำหรับเรื่องนี้ก็แค่มาผิดที่ผิดเวลาไป (ไม่) นิดหน่อย ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วหนังก็โอเคเลยทีเดียวนะ คอหนังผจญภัยแฟนตาซีคงจะยังดูกันได้เพลินๆ อยู่หรอก นี่เห็นว่าผู้สร้างเตรียมสร้างภาคสองเอาไว้ แต่พอหนังเจ๊งเลยต้องเบรคโครงการไว้ก่อนจนหัวทิ่มตัวตำ ก็น่าเสียดายที่ไม่รู้ว่าจะได้ดูการผจญภัยของยอดชายนาย John Carter กันอีกเมื่อไหร่สิครั่บ พ่อแม่พี่น้องที่รัก
  • + อลังการงานสร้าง ดูกันได้เพลินๆ คอหนังผจญภัย/แฟนตาซี คงจะถูกใจกัน
  • - หนังมีช่วงน่าเบื่อเป็นพักๆ และไม่มีไอเดียหรือแง่มุมแปลกใหม่มาฝาก (เพราะเรื่องอื่นเขายืมไปใช้หมดแล้ว)




*รีวิวหนังเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องภายในบล็อก*


วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

Star Watching Dog (2011): ตามรอยซึ้งเจ้าโฮ่งฮับ



Star Watching Dog (2011) :
เห็นญี่ปุ่นส่งออกแต่หนังแนว ซาดิสม์, โหดๆ, โป๊ๆ, ตลกบ้าๆ บอๆ แล้วอย่าเพิ่งคิดว่าคนญี่ปุ่นเขาโรคจิตซะหมดประเทศล่ะ เพราะที่จริงยังมีดราม่าดีๆ หรือหนังที่สร้างสรรค์อีกเยอะ โดยเฉพาะหนังอีกแนวที่เป็นที่นิยมของคนญี่ปุ่นก็คือหนังแนว 'หมาๆ' ที่มีสร้างออกมาเอาใจบรรดาคนรักหมาอยู่ทุกบ่อยๆ จนถือว่าญี่ปุ่นเนี่ยเขาเป็นประเทศที่รักหมาไม่ใช่เล่นเลยนะเนี่ย


วิวสวยหมาน่ารัก แต่นางเอกน่ารักกว่านะ อิอิ
และหนังหมาๆ เรื่องนี้ก็สร้างมาจากหนังสือการ์ตูนขายดีของ ทาคาชิ มุราคามิ อันเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับมิตรภาพอันแสนงดงามของเจ้า Happy น้องหมาพันธุ์อากิตะ กับคุณลุงคนหนึ่งที่ตัดสินใจละทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลังแล้วออกเดินทางตะลอนทัวร์ด้วยรถตู้ไปทั่วญี่ปุ่นจนเกิดเรื่องราวสุดประทับใจตามมาเป็นคันรถบรรทุก ซึ่งบอกเลยว่างานนี้บรรดาคนรักหมาทั้งหลายมีสิทธิ์น้ำตานองหน้าอีกแล้วครับท่าน!


น้องหมายังเล็กใครๆ ก็เอ็นดู
ผกก.โทโมยูคิ ทาคิโมโต้ (Ikigami [2008]) ผู้ถนัดสร้างหนังดราม่าจากหนังสือการ์ตูน ยังคงทำหน้าที่ได้อย่างดีในผลงานของเขาเรื่องนี้ เพราะถึงหนังจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับหมาๆ ที่เน้นประทับใจเยี่ยงหนังแนวนี้ทั่วๆ ไป แต่ก็ออกมาดูมีชั้นเชิงในการเล่าเรื่องอยู่พอสมควร เพราะใช้วิธีการนำเสนอแบบตามรอย ย้อนรอย ตัดสลับไปมาระหว่างสองเหตุการณ์สองยุค (แต่เกี่ยวเนื่องกัน) โดยไม่ดูสับสน และยังรู้จักใช้ความเป็นไปที่เกิดขึ้นในอดีตของประเทศญี่ปุ่นทั้งการเมือง เศรษฐกิจ มาเป็นสิ่งที่มีผลกระทบต่อเรื่องราวของหนังอีกด้วย

พอโตแล้วใครๆ ก็หน่าย
ไอ้เราที่ไม่เคยอ่านการ์ตูนต้นฉบับมาก่อน (ตามฟอร์ม) ก็เลยไม่สามารถล่วงรู้ได้ว่าตัวหนังได้เพิ่มลดอะไรไปมากแค่ไหน แต่เท่าที่เห็นหนังก็เดินเรื่องในแบบเรื่อยๆ นุ่มๆ แต่แอบเศร้า ขายวิวทิวทัศน์อันสดใสและชีวิตความเป็นอยู่แบบบ้านๆ ของคน ตจว.ประเทศเขา ที่ช่างดูแล้วเพลินตาเพลินใจดีแท้ แม้ว่าหนังอาจดูเหมือนจะลากยาวไปบ้างกับระยะเวลา 2 ชม. แต่ถึงช่วงท้ายแล้วเนี่ยก็เศร้าซึ้งถึงขั้นเอาตายเลยทีเดียว โดยเฉพาะสำหรับบรรดาคนรักหมาทั้งหลาย (ส่วนขาจรทั่วไปอาจจะรู้สึกเฉยๆ กับหนัง)

แต่ยกเว้นเจ้า Happy ในหนังนะฮับ
หนังตอกย้ำครั้งแล้วครั้งเล่าถึงการที่ผู้คนนิยมเอาน้องหมามาเลี้ยงเพราะเห็นว่ามันน่ารักดีในตอนเล็กๆ แต่พอมันโตไปก็เริ่มจะเป็นที่น่าเบื่อหน่าย และเห็นมันเป็นภาระที่ควรผลักไสไปให้พ้นๆ เราซะงั้น ทั้งๆ ที่สำหรับพวกมันแล้ว เราคือผู้เดียวบนโลกนี้ที่มันจะรักและจงรักภักดีอย่างสุดหัวใจไปจนวันตาย ดังนั้นก่อนจะเอาน้องหมามาเลี้ยงโปรดคิดตรองดูให้ดี ว่าเราพร้อมแล้วหรือไม่ที่จะมีพันธะผูกพันระยะยาวกับน้องหมาเช่นนี้ น้องหมาก็มีหัวใจเน้อ ขอบอก


ปกหนังสือการ์ตูนต้นฉบับของหนัง
  • + หนังดราม่าสุดประทับใจสำหรับบรรดาผู้รักหมาทั้งหลาย วิวทิวทัศน์ญี่ปุ่นก็แสนงดงามดูเพลินตายิ่งนัก
  • - หนังเดินเรื่องเรื่อยๆ จนรู้สึกว่ายาวไปนิดสำหรับเวลาสอง ชม. และสำหรับคนที่เฉยๆ กับน้องหมาก็คงจะเฉยๆ ไปกับเรื่องนี้ตามระเบียบ





*รีวิวหนังของ ผกก.ทาคิโมโต้ และหนังหมาๆ เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจภายในบล็อก*