วันพฤหัสบดีที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2554

The Borrower Arrietty (2011): ไซส์มิอาจกั้น

The Borrower Arrietty (2011) :
มาแล้วจ้า ผลงานล่าสุดของ Studio Ghibi ขวัญใจมิตรรักแฟนอนิเมชั่นทั้งหลาย หลังจากคราวที่แล้วป๋า ฮายาโอะ มิยาซากิ ทำ Ponyo (2008) ออกมาซะเด๊กเด็ก คราวนี้แกเลยขอถอยฉากแล้วทำหน้าที่เป็นป๋าดันให้เด็กในสังกัด ฮิโรมาสะ โยเนบายาชิ อนิเมเตอร์วัย 36 ขวบ มารับหน้าที่กำกับอนิเมชั่นเรื่องยาวเป็นเรื่องแรก ซึ่งเขาก็ถือเป็น ผกก.ของสตูดิโอนี้ที่อายุน้อยที่สุดเลยทีเดียวนะเนี่ย

ดูลายเส้นก็รู้ว่าเป็นอนิเมชั่นของใคร
สำหรับอนิเมชั่นเรื่องนี้เป็นการดัดแปลงเรื่องราวมาจากหนังสือเด็กที่ชื่อ 'The Borrowers' ของนักเขียนชาวอังกฤษนาม Mary Norton ซึ่งถูกตีพิมพ์มาตั้งแต่ปี 1952 เลยโน่น อันเป็นเรื่องเกี่ยวกับสาว(ตัว)น้อย Arrietty วัย 14 ขวบกับครอบครัวตัวจิ๋วของเธอที่แอบอาศัยอยู่ใต้ถุนบ้านของมนุษย์ ซึ่งพวกเธอก็ประทังชีวิตโดยการ'ขอยืม'ชนิดไม่บอกกล่าวเจ้าของ (ไม่ได้ขโมยน๊า อิอิ) ตอดเล็กตอดน้อยอาหารหรือข้าวของเครื่องใช้จากมนุษย์อยู่เรื่อยมาอย่างสุขีสโมสร


คราวนี้มาพร้อมเรื่องราวของคนพันธุ์จิ๋ว
แต่แล้ววันหนึ่งเธอก็ถูกมนุษย์พบเห็นเข้าโดยบังเอิญ โดยหนุ่มน้อยหน้ามนนามว่า โช ซึ่งมีปัญหาสุขภาพเลยต้องมาพักผ่อนที่นี่กับคุณป้า เพื่อเตรียมตัวจะเข้ารับการผ่าตัดในเร็ววันนี้ และแล้วสวรรค์ก็ดลบรรดาลให้ทั้งคู่ต้องมาเจอะเจอกันอีก จนมิตรภาพต่างไซส์ (มากๆ) ของทั้งคู่ก็เริ่มงอกงามขึ้นทีละนิด ซึ่งท่านจะต้องประทับใจมิเสื่อมคลายไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในหนัง เฉกเช่นที่อนิเมชั่นของสตูดิโอนี้เคยทำให้ท่านหลงใหลได้ปลื้มเสมอมานั่นแล

พระนางของเรื่อง
ถึงแม้จะใช้ ผกก.ใหม่ แต่เอกลักษณ์ความเป็นหนังของสตูดิโอนี้ยังเข้มข้นครบเครื่องอยู่เช่นเดิม ทั้งลายเส้น อารมณ์ เสน่ห์เฉพาะตัว และการสอดแทรกธีมอันว่าด้วยการรักษ์ธรรมชาติ ยิ่งพอได้ดนตรีประกอบแนวเคลติกสุดแจ่มและเสียงร้องหวานๆ ของศิลปินสาวชาวฝรั่งเศสอย่าง Cécile Corbel เข้ามาอีก ก็เลยทำให้หนังดูดีมีมนต์เสน่ห์ ชวนเคลิบเคลิ้ม มากขึ้นไปอีกโขเลยทีเดียว


ลายเส้นละเอียดวางใจได้เลย
แต่สิ่งที่หนังขาดไปคือไม่มีบรรดาตัวประหลาด น่ารักๆ เข้ามาช่วยสร้างสีสัน เพราะส่วนใหญ่ที่มีก็พวก มด จิ้งหรีด แมว อีกา หรือพวกสัตว์ตัวเล็กๆ ที่กลายเป็นใหญ่เบิ้มไปเมื่อเทียบกับไซส์ของนางเอก และเรื่องราวของหนังยังเรียบๆ ไปอยู่บ้าง แต่เอาน่า เท่านี้ก็ถือว่าแจ่มมากๆ แล้ว นี่จึงเป็นอีกครั้งที่สตูดิโอนี้รังสรรค์อนิเมชั่นดีๆ เปี่ยมเสน่ห์ ออกมาฝากแฟนๆ ได้อีกครั้ง แจ่มไปเลยจ้า
  • + สตูดิโอจิบลิไม่ทำให้แฟนๆ ผิดหวังอีกแล้ว ดนตรีประกอบก็เพราะมากๆ ด้วย
  • - เนื้อเรื่องยังเรียบๆ ไปบ้าง และขาดความวิจิตรพิศดาร ตื่นตาตื่นใจ เมื่อเทียบกับผลงานก่อนๆ




*ช่วงเพลงในหนัง*


ศิลปินสาวชาวฝรั่งเศส Cécile Corbel มาทำเพลงประกอบให้หนังเรื่องนี้
นอกจากอนิเมชั่นเรื่องนี้จะเป็นเรื่องแรกของ Studio Ghibi ที่มี ผกก.อายุน้อยที่สุดแล้ว ยังเป็นเรื่องแรกที่ไม่ได้ใช้บริการของ คอมโพเซอร์ขาประจำอย่าง โจ ฮิซาอิชิ และ ทามิยะ เทราชิมะ หรือคอมโพเซอร์ชาวญี่ปุ่นคนอื่นๆ เหมือนที่ผ่านมา แต่คราวนี้ขอใช้บริการของ Cécile Corbel ศิลปินสาวชาวฝรั่งเศสวัย 30 ขวบ ที่ประกาศตัวเป็นแฟนผลงานของ Studio Ghibi ตัวจริง พร้อมกับได้ส่งซีดีผลงานของเธอมาให้ทางสตูดิโอฟัง ซึ่งทางตัว ผกก.ฮิโรมาสะ โยเนบายาชิ ได้ฟังเข้าจนติดใจ และได้เชื้อเชิญเธอมาทำดนตรีประกอบเรื่องนี้ให้ซะเลย

ซึ่งงานเพลงของเธอในหนังก็โดดเด่นด้วยเสียงฮาร์ป (พิณฝรั่ง)
และเครื่องดนตรีเคลติกออกแนวเวิร์ลมิวสิคฟังสบายสุดเพราะพริ้งชวนเคลิ้ม ซึ่งลำพังฟังเพลงอย่างเดียวก็เล่นเอาบรรเจิดแล้ว แต่ยิ่งพออยู่ในตัวหนังด้วยแล้วล่ะก็ยิ่งชวนเคลิบเคลิ้มกันเข้าไปใหญ่ ว่าแล้วเราก็มีบางเพลงจากซาวน์แทร็คมาให้ฟังกันจ้า






*รีวิวอนิเมชั่นของ Studio Ghibi เรื่องอื่นๆ ภายในบล็อก*

วันพุธที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2554

Viy (1967): คืนนี้ผีมาตามฟอร์ม

Viy (1967) :
หนังจากสหภาพโซเวียตความยาว 77 นาทีเรื่องนี้ ได้ชื่อว่าเป็นหนังสยองขวัญเรื่องแรกของโซเวียต แถมยังทำออกมาฉายในช่วงที่คอมมิวนิสต์เรืองอำนาจแบบสุดๆ เสียด้วย ซึ่งเรื่องผีๆสางๆ แบบนี้นั้นอาจสุ่มเสี่ยงต่อการโดนแบนในข้อหาสร้างความงมงายและมอมเมาประชาชนเอาได้ง่ายๆ แต่แล้วก็ผ่านคมกรรไกรอันสุดเข้มงวดมาได้อย่างสะดวกโยธิน เนื่องจากผู้สร้างให้เหตุผลว่านี่เป็นตำนานปรัมปราพื้นบ้านที่เป็นสมบัติของชาติ และควรอนุรักษ์ไว้ให้ลูกหลาน (แถได้ดี อิอิ)


สงสัยหลวงพี่จะเจอดีเข้าซะแล้ว
หนังเล่าเรื่องของบาทหลวงฝึกหัดหนุ่มจอมกะล่อน ที่ถูกขอร้องแกมบังคับจากผู้มั่งมีรายหนึ่งให้ไปสวดส่งวิญญาณเป็นเวลาสามคืนแก่บุตรสาวแสนงามที่เพิ่งเสียชีวิตไปโดยไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งอันตัวหลวงพี่เราก็รู้อยู่เต็มอกว่าตัวสาวคนนี้เป็นแม่มด ว่าแล้วชีลุกขึ้นมาหลอกหลอนต้อนรับเขาตั้งแต่คืนแรกเสียจนฉี่แทบราด ไอ้ครั้นเขาจะหลบหนีไปก็ไม่ได้เพราะโดนชาวบ้านจับขังไว้ในโบสถ์ให้ประกอบพิธีจนถึงเช้าอีกด้วย งานนี้ก็ต้องลุ้นกันต่อไปล่ะว่าเขาจะอยู่รอดปลอดภัยจนผ่านสามคืนสุดทรหืดครั้งนี้ไปได้หรือไม่


มีเล่นขี่ม้าส่งเมืองกันด้วยแฮะ
เห็นปีที่หนังสร้างออกมาก็น่าจะพอเดาออกว่า เทคนิคงานสร้างอะไรๆ คงจะดูไม่สมจริงเช่นทุกวันนี้อยู่แล้ว ซึ่งอันที่จริงแล้วเทคนิคในหนังค่อนข้างพื้นๆ ง่ายๆ แบบเห็นปุ๊บก็รู้ว่าทำยังไงเสียด้วยซ้ำไป แต่เพราะความเก่าของหนังจึงได้อารมณ์ความขลังเข้ามาทดแทน และอันตัวผีสาวที่รับบทโดยคุณ Natalya Varley (ตอนนั้นอายุ 20 ขวบ) ก็ช่างงดงามเหนือกาลเวลายิ่งนัก เธอจึงกลายเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้หนังเรื่องนี้น่าติดตามขึ้นมาอีกแยะเลยทีเดียว (อิอิ)


ผีอะไรจะสวยปานนั้น
ดูหนังผีโบราณแล้วถึงมันจะไม่สมจริง เทคนิคก็ยังบ้านๆ แต่ก็ได้อารมณ์หลอนโบราณๆ ไปอีกแบบ อย่างในกรณีของเรื่องนี้ ถ้าเอาปัจจัยเรื่องยุคสมัย การปกครอง เทคนิคทางภาพยนตร์ เข้ามาพิจารณาด้วยแล้วจะพบว่าทำออกมาได้เท่านี้ก็ถือว่าแจ่มมากมายแล้ว และไม่แปลกที่จะขึ้นหิ้งคลาสสิคไปโดยปริยาย นี่ล่าสุดเห็นว่ากำลังมีเวอร์ชั่นรีเมคที่ทุ่มทุนสร้างเน้นความสยองกันเต็มเหนี่ยว เตรียมจะออกฉายในปีนี้ปีหน้าด้วย ยังไงก็โปรดติดตามดูกันต่อไปเน้อว่าจะสู้ของเก่านี้ได้หรือไม่
  • + เป็นหนังผีคลาสสิคและได้ชื่อว่าเป็นหนังผีเรื่องแรกของรัสเซียเชียวนะ ผีสาวก็สวยโคตร (อันนี้สำคัญเลย) ทุกวันนี้หนังยังพอจะดูหลอนได้อยู่ด้วย
  • - เทคนิคค่อนข้างโบราณตามยุคสมัย ซึ่งอาจจะดูไม่น่ากลัวเอาซะแล้วสำหรับบางคนในทุกวันนี้

ปล.1 เรามีเทรลเลอร์ทั้งเวอร์ชั่นดั้งเดิมและเวอร์ชั่นรีเมคมาให้ดูเปรียบเทียบกันด้วยจ้า

ปล.2 ท่านสามารถหาดูเวอร์ชั่นดั้งเดิมนี้ได้ใน youtube เน้อ (ซับอังกฤษ)

*เวอร์ชั่นปี 1967*


*เวอร์ชั่นรีเมค*



แบ่งปัน

The Wackness (2008): หัวดำหัวหงอก เพื่อนซี้ไม่มีซั้ว

The Wackness (2008) :
ดูเผินๆ แล้วหนุ่มน้อย Luke Shapiro ก็เป็นเหมือนเด็กวัยรุ่นชาวนิวยอร์คยุคปี '94 ธรรมดาๆ ทั่วไป ที่เพิ่งจะเรียนจบ ม.ปลาย และเตรียมต่อมหาวิทยาลัย แต่พอดูกันดีๆ แล้ว ชีวิตของเขานั้นค่อนข้างจะมีปัญหาทีเดียว เพราะนอกจากเขาจะทำตัวเป็นพ่อค้ากัญชารายย่อยแล้ว ยังคิดว่าชีวิตตนเองนั่นแสนจะเส็งเคร็งยิ่งนัก เพราะว่า เอิ่ม.. จนป่านนี้แล้วยังไม่เคยแอ้มสาวสักทีเลยจ้า


หนังมีการนำเสนอเก๋ๆ แนวๆ กำลังดี
ส่วนเพื่อนคนเดียวที่เขามีก็คือ ดร.Jeffery (Ben Kingsley) นักจิตวิทยาสุดเหวอ ที่รับเป็นที่ปรึกษาให้เขาเพื่อแลกกับกัญชาไว้พี้ไปวันๆ (ป๊าด) ซึ่งไปๆ มาๆ ทั้งคู่ก็พบว่าต่างก็มีปัญหาหนักหัวอกลูกผู้ชายไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลย มิตรภาพของคู่ซี้หัวดำหัวหงอกคู่นี้จะเป็นยังไงต่อไปนั้น ก็โปรดติดตามกันต่อไปตามมีตามเกิดบ้านใครบ้านมันได้เลยจ้า


ถึงแก่แล้วแต่ก็ยังเร้าใจสาวได้อยู่นะจ้ะ
หนังแนว'ก้าวพ้นวัย' (Coming of Age) จากฝีมือการกำกับ/เขียนบทของ Jonathan Levine เรื่องนี้แจ่มไม่เบาเลยทีเดียว เพราะมีการนำเสนอที่กิ๊บเก๋มีสีสัน บทที่ลื่นไหลมีแง่คิด เรื่องราวชีวิตของแต่ละคนในหนังที่ค่อนข้างจะบ้านๆ สมจริง ไม่เพ้อฝัน และบรรดาตัวละครที่มีเสน่ห์ โดยเฉพาะในรายของป๋า Kingsley ที่โดดเด่น ได้ใจ จนถึงว่าเป็นบทที่ดีที่สุดบทหนึ่งของแกในระยะหลายปีมานี้เลยทีเดียว (เพราะเดี๋ยวนี้แกชอบไปเล่นเป็นตัวโกงซะเป็นส่วนใหญ่)

หนุ่มสาววัยกำลังหื่น
ถึงเรื่องราวหลักๆ จะเกี่ยวกับชีวิตวัยรุ่นวุ่นรัก แต่สำหรับผู้ที่เลยวัยทีนมาหลายปีแล้วก็ยังดูกันได้กันดี เพราะหนังไม่ได้บ้าบอคอแตกตามประสาวัยมันส์ หากมีแง่คิดคำคมประโยคเด็ดมาฝากอยู่ตลอด เอาแค่ที่พระเอกบอกกับเพื่อนซี้ต่างวัย (มาก) ของตนว่า "โลกนี้มีคนงี่เง่าอยู่เยอะแล้ว ดร. อย่ากลายเป็นแบบนั้นเพิ่มมาอีกคนเลย" (ฮา) หากคราวหน้าท่านจะนึกถึงหนังก้าวพ้นวัยแล้วล่ะก็ เราขอฝากเรื่องนี้เข้าไว้ในอ้อมใจท่านอีกสักเรื่องด้วยก็แล้วกันเน้อ อิอิ
  • + เป็นหนังแนวก้าวพ้นวัยที่ทำได้ดี นำเสนอกิ๊บเก๋ เรื่องราวบ้านๆ สมจริง ไม่เพ้อฝัน นักแสดงก็ล้วนมีเสน่ห์ได้ใจ ดูแล้วเพลิดเพลินยิ่งนัก
  • - มีฉากการค้าและใช้ยาเสพติดอยู่ตลอด และหนังไม่ได้มุ่งเสนอว่ายาเสพติดมันไม่ดี ดังนั้นอาจฝังค่านิยมผิดๆ แก่เยาวชนและคนอ่อนไหวง่ายเอาได้




*ช่วงเพลงในหนัง*

The Notorious B.I.G.
หนังเดินเรื่องย้อนไปในปี 1994 ซึ่งตัวพระเอกเรานั้นเป็นแฟนเพลงแร็พตัวยง ดังนั้นหนังจึงเต็มไปด้วยเพลงฮิพฮอพแร็พทั้งนั้น โดยเฉพาะผลงานของ The Notorious B.I.G. ศิลปินแร็พผู้ล่วงลับ ที่ตอนนั้นกำลังดังมากๆ หนังก็มีพูดถึงและมีให้ฟังอยู่หลายเพลง รวมทั้งงานจากศิลปินอื่นๆ ที่เป็นตำนานในช่วงนั้น และเดี๋ยวจะหาว่าแร็พกันอย่างเดียว หนังก็มีเพลงคลาสสิคจากยุค 60s-70s ซึ่งเป็นสมัยที่ ดร.หนุ่มๆ ให้ฟังด้วย เรียกได้ว่านี่เป็นหนังที่เพลงมีบทบาทสำคัญมากๆ ต่อตัวหนังเลยทีเดียวก็ว่าได้ เพราะใช้ทั้งบ่งบอกยุคสมัย แนวคิดของตัวละคร และเรื่องราวของฉากนั้นๆ แจ่มไปเลยจ้า

MP3: The Notorious B.I.G. - The What? (feat. Method Man)


MP3: Mott the Hoople - All the Young Dudes




*รีวิวหนังแนว coming of age เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจภายในบล็อก*





แบ่งปัน

วันอังคารที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2554

Route Irish (2010): ถนนสายเพชฌฆาต



Route Irish (2010) :
เห็นชื่อเรื่องแล้วอย่าเพิ่งนึกว่าผลงานล่าสุดของ ผกก.Ken Loach ผู้นิยมทำหนังวิพากษ์วิจารณ์การเมืองและสงครามเรื่องนี้จะเกี่ยวกับ ไอร์แลนด์ คนไอริช หรือขบวนการ IRA ซะล่ะ เพราะอันที่จริงแล้ว 'Route Irish' ก็คือชื่อเล่นของถนนที่ทอดยาวเป็นระยะทาง 12 กิโลเมตร ระหว่างสนามบินนานาชาติแบกแดดไปยังเขตกรีนโซน (เขตปลอดภัยของชาวต่างชาติ) ในอิรัก ซึ่งมักจะมีการก่อการร้ายตลอดเส้นทางจนได้ชื่อว่าเป็นถนนสายที่อันตรายที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้


ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นหนังชาติไหน
และด้วยความที่อันตรายซะขนาดนั้น ธุรกิจกองกำลังรักษาความปลอดภัยเอกชน (ทหารรับจ้างนั่นแหล่ะ) จึงได้รับความนิยมจากบรรดาชาวต่างชาติ คนใหญ่คนโตหรือคนมีตังค์ที่ต้องจ้างวานมาอารักขาตนเองให้อุ่นกายสบายใจไว้ก่อน และด้วยสิทธิพิเศษบางอย่าง ทำให้กองกำลังเอกชนเหล่านี้มีสิทธิ์ยิงหรือฆ่าใครก็ตามที่ทำท่าจะเป็นภัยคุกคามต่อนายจ้างของพวกเขาได้โดยไม่ผิดกฏหมาย (ป๊าด!)


ฉากแอ็คชั่นมีเพียบ...ซะเมื่อไหร่
ซึ่งก็เข้าใจว่าต้องปลอดภัยไว้ก่อนเพราะมันจำแนกแยกแยะยากว่าใครจะมาดีมาร้าย นั่นก็เลยทำให้ความซวยตกเป็นของชาวบ้านอิรักตัวดำๆ ทั้งลูกเด็กเล็กแดง สตรีและคนชรา ที่มักจะโดนยิงตายฟรีอยู่ร่ำไป เพราะดันหลงเข้าไปในรัศมี 'เป็นภัย' ของคนพวกนี้ จนตัว ผกก.Loach เล็งเห็นถึงความไม่ชอบมาพากลนี้เข้าและได้นำประเด็นนี้มาสร้างเป็นหนังเพื่อตีแผ่วิพากษ์วิจารณ์กันตามระเบียบจ้า


พระเอกเรารวยเป็นล้าน (ดูหัวก็รู้)
หนังมาในรูปแบบหนังสืบสวน แก้แค้น ที่เต็มไปด้วยบทสนทนาตัดสลับกับภาพการบาดเจ็บล้มตายจริงๆ ของชาวอิรักที่โดนบรรดาทหารต่างชาติเล่นงาน และถึงแม้จะว่าด้วยเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอิรัก แต่ที่จริงหนังดำเนินเรื่องกันที่อังกฤษ (แถบลิเวอร์พูล) แทบจะทั้งหมด ส่วนฉากการยิงกันหรือที่บู๊ๆ น่ะไม่ค่อยมีหรอก (อย่าให้ปกดีวีดีทำให้เข้าใจผิดว่าต้องบู๊กระหน่ำซะล่ะ) ดังนั้นถ้าคาดหวังว่าจะมันส์คงจะผิดหวังกันแน่เชียว


แผนที่เส้นทางสาย Route Irish
นี่จึงไม่ใช่หนังที่ดูเอาสนุก เพราะค่อนข้างจะนิ่งแบบเครียดๆ แต่ถ้าดูกันลึกๆ แล้วจะพบว่าหนังตีแผ่และวิพากษ์วิจารณ์ถึงกรณีที่เกิดขึ้นในอิรักได้อย่างถึงกึ๋น ดูแล้วเข้าใจเลยว่าทำไมชาวอิรักถึงได้เกลียดชังพวกฝรั่งชาวต่างชาตินัก ซึ่งเป็นเพราะหลังจากต้องบอบช้ำกับสงครามมามากพอแล้วก็ยังมาเจอพวกนี้ทำระยำตำบอน ทำตัวกร่างเป็นเจ้าของถนน แสวงหาผลประโยชน์แก่ตนโดยไม่สนใจว่าจะต้องมีชาวบ้านตายไปสักกี่มากน้อยเท่าใดก็ตาม
  • + เป็นหนังที่ตีแผ่เรื่องบัดซบในอิรักและวิพากษ์วิจารณ์พวกฝรั่งกันเองได้อย่างถึงกึ๋น
  • - เต็มไปด้วยบทสนทนา เลยทำให้หนังดูนิ่งๆ เรื่อยๆ ดูเอาสนุกคงไม่เหมาะแน่




*ช่วงเรื่องจริงผ่านจอ*

วีรเวรของทหารรับจ้างรักษาความปลอดภัยในอิรัก
ว่าแล้วเราก็มีภาพเหตุการณ์จริงๆ ของการปฏิบัติหน้าที่ของพวกกองกำลังรักษาความปลอดภัยเอกชนในอิรัก ที่จะเห็นได้ว่ายิงรถทุกคันที่เข้ามาใกล้ในรัศมีไว้ก่อนโดยไม่สนใจว่าคนในรถจะเป็นยังไง ซึ่งพวกเขาบอกว่าเป็นการยิงเตือน หรือยิงให้รถหยุด แต่เท่าที่เห็นนั่นมันค่อนข้างจะเป็นการเล็งไปที่คนขับเลยนะนั่น เรียกได้ว่าเข้าไปอยู่ในประเทศเขาแล้วยังทำตัวกร่างเป็นเจ้าถนนเสียอีก แจ่มไปเลยจ้า พ่อคุ๊ณณณ


*รีวิวหนังเรื่องอื่นๆ ที่ดำเนินเรื่อง ณ อิรักภายในบล็อก*