วันศุกร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2556

Spring Breakers (2012): แก๊งชะนีกับไอ้แสบ




Spring Breakers (2012): แก๊งชะนีกับไอ้แสบ

     ดูจากหน้าหนังแล้วนี่ช่างเป็นหนังที่ดึงดูดสายตา ดึงดูดใจให้อยากดูเสียจริง ด้วยภาพสาวๆ ที่ทำท่าเซี้ยวซ่าในชุดบิกินี่แสนเซ็กซี่และเฮีย James Franco ในมาดจิ๊กโก๋ที่แทบจะจำหน้าไม่ได้ถ้าไม่บอกกันก่อน กับเทรลเลอร์ที่ดูหวือหวา สีสันฉูดฉาด ดึงดูดใจวัยมันส์ (โดยเฉพาะหนุ่มๆ) มันจึงนับเป็นอะไรที่น่าสนใจจริงๆ หนอ

     แต่พอเหลือบไปเห็นชื่อของ ผกก.Harmony Korine ก็เล่นเอาเงิบไป 0.5 วิ เพราะแกมีเครดิตเป็นคนกำกับ Gummo (1997) และเขียนบทหนังตีแผ่ปัญหาวัยรุ่นแรงๆ อย่าง Kids (1995) กับ Ken Park (2002) อีกด้วย ป๊าด!

     ดังนั้นนี่จึงกลายเป็นหนังตีแผ่วัยรุ่นอีกเรื่องซะแล้วสิ แต่ยังดีที่เรื่องนี้แกยังยั้งมือ ไม่ชีช้ำเหมือนบรรดาเรื่องที่กล่าวถึงข้างต้น หนังก็เลยออกมาเป็นหนังวัยรุ่นที่ดูเหมือนจะตลาดแต่ที่จริงมีความเป็นอาร์ตเฮ้าส์ปนเข้ามา เช่นสไตล์การถ่ายภาพเก๋ๆ แบบ MV มีการบรรยายความคิดของตัวละครที่เวิ่นเว้อ กับเนื้อเรื่องช่วงครึ่งหลังที่อย่างกับอยู่ในความฝันก็มิปาน

     หลายคนที่กะดูเอาสนุกจากหน้าหนัง คงต้องเง็งกับช่วงครึ่งหลังของหนังและงงว่าตกลง ผกก.แกต้องการจะสื่ออะไรกันแน่ นอกไปจากภาพของสาวๆ ตัวละครหลักพากันทำทุกอย่างเพื่อที่จะได้ไปเที่ยว ซึ่งในที่นี้มีแต่การ มั่วเหล้ายา ปาร์ตี้ อยู่ในชุดบิกินี่แทบทั้งเรื่อง และเข้าสู่วังวันของโลกอาชญากรรม ซึ่งหากจะสะท้อนปัญหาสังคมอีกมุมหนึ่งของวัยรุ่นสมัยนี้ ก็ถือว่าโอเค แต่ดูเหมือนจะเป็นการสัมผัสอย่างผิวๆ ลอยๆ ไม่จริงจังนัก

     ยังไงก็ตามการได้เห็นบรรดาสาวๆ มานุ่งน้อยห่มน้อย (หนังติดเรทมีนมให้เห็นเกือบตลอด) กับสไตล์เก๋ๆ ของ ผกก. บวกด้วยการแสดงของเฮีย Franco ก็ยังเป็นอะไรที่น่ารื่นรมย์อยู่




หนังมีสไตล์ ดูสาวๆ ก็เพลินดีแต่ไม่ค่อยเก็ตครับ ให้ไป 6/10 เต็มที่แล้วเน้อ




วันศุกร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2556

World War Z (2013): วันซอมบี้พล่านโลก




World War Z (2013): วันซอมบี้พล่านโลก

     ณ เวลานี้นับเป็นยุครุ่งเรืองสุดๆ ของหนังซอมบี้แล้ว และผลงานล่าสุดของเสี่ย Brad Pitt เรื่องนี้นับเป็นหนังซอมบี้ที่ใช้ทุนสร้างสูงที่สุดเท่าที่เคยมีมาคือประมาณ 200 ล้านเหรียญสหรัฐเลยทีเดียว

     ที่ใช้ทุนสร้างขนาดนั้นเพราะเนื้อเรื่องมีสเกลที่ใหญ่ระดับโลก ไม่ใช่ในสถานที่จำกัดหรือในเฉพาะประเทศใดประเทศหนึ่งอย่างหนังซอมบี้ทั่วไป ดังนั้นเราจึงจะได้เห็นพระเอกไปวิ่งหูตูบหนีเหล่าซอมบี้ที่ประเทศโน้นประเทศนี้กันตลอดเรื่อง

     ส่วนบรรดาเหล่าซอมบี้ที่มากันเยอะอย่างกับมด ก็มีคุณลักษณะสายพันธุ์นักวิ่งลมกรดใกล้เคียงกับในหนัง 28 Days Later (2002) แต่ก็เป็นในแบบเวอร์ชั่นเรท PG-13 ที่ไม่มีอะไรโหดๆ แหว่ะๆ มาให้เห็นแต่อย่างใด

     ด้วยสเกลที่ใหญ่กับเวลาเล่าเรื่องหย่อน 2 ชม.ไปนิด ทำให้หนังไม่เสียเวลาปูเรื่องมากมายและกระโจนเข้าสู่ช่วงงานเข้าตั้งแต่หนังฉายไปไม่ถึงสิบนาทีด้วยซ้ำ และก็หยอดความระทึกหลากหลายลีลามาให้ได้ลุ้นตลอดทั้งเรื่อง ซึ่งอันนี้ต้องชม ผกก.Marc Forster ที่ถึงจะต้องรีบเล่าเรื่องแต่ก็ยังคุมจังหวะได้ดีอยู่ไม่เหมือนจะรีบไปไล่วัวไล่ควายที่ไหนแต่อย่างใด รวมทั้งการพยายามแทรกอะไรเล็กๆ น้อยๆ เข้ามาในแบบที่ ผกก.คนอื่นคงไม่คิดจะเสียเวลาทำให้เห็นในหนังแบบนี้แน่ (อย่างการที่พระเอกเมมเบอร์เมียและลูกที่กำลังลี้ภัยบนเรือรบว่า Home)

     ทว่าถึงจะดูสนุกดูเพลินไม่มีเบื่ออย่างนี้ แต่การที่หนังเริ่มเรื่องด้วยหลายฉากที่มันใหญ่โต พอท้ายๆ หนังกลับลดสเกลลงชนิดหนังคนละม้วนและปิดท้ายในแบบนิ่มๆ ก็อาจจะทำให้คนดูรู้สึกว่าหนังยังจบได้ไม่ค่อยอิ่มไม่ค่อยสุดก็ได้ (เข้าใจว่าต้องกั๊กไว้สำหรับภาคต่อ)

     ในฐานะคอหนังซอมบี้แล้วถือว่าหนังก็น่าดูอยู่ (ถึงจะไม่มีอะไรโหดๆ มาให้เห็นก็เถอะ) และค่อนข้างจะโลกสวยไปบ้าง แต่ก็เต็มไปด้วยความหวังในมนุษยชาติดี ซึ่งเราว่าถ้าเกิดเรื่องแบบในหนังขึ้นจริงๆ มนุษย์คงตั้งรับไม่ทัน ผลสุดท้ายคงออกมาเป็นแบบในโลกของ The Walking Dead ซะมากกว่านะ

     ที่น่าสนใจคือในช่วงไตเติ้ลที่มีมาแบบสั้นๆ แต่ก็สามารถสะท้อนอะไรให้เห็นหลายๆ อย่าง เช่นการที่สงครามสุดท้ายของโลกครั้งนี้ไม่ได้เกิดจากน้ำมือของมนุษย์ด้วยกันเอง แต่เกิดจากธรรมชาติ ในขณะที่มนุษย์เรามัวแต่หลงระเริง ทำระยำตำบอนกับโลกนี้และคิดว่าคงจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับมนุษย์เราได้หรอก อย่าลืมว่าช่วงเวลาที่เราชะล่าใจ ภัยร้ายที่อาจร้ายแรงกว่าในหนังก็อาจเกิดขึ้นในโมงยามที่เราคาดไม่ถึงก็เป็นได้ ใครจะไปรู้




เป็นหนังซอมบี้ฟอร์มยักษ์ที่สนุกดูเพลินดีแท้ แต่ยังไม่สุดน่ะ ให้ไป 7/10 ครับ

ปล.ผู้สร้างหวังจะทำออกมาเป็นไตรภาคนะครับ ถ้าเกิดหนังภาคแรกนี้ฮิตขึ้นมา






วันอาทิตย์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2556

Man of Steel (2013): ซูเปอร์แมนมา(อีก)แว้ว



Man of Steel (2013): ซูเปอร์แมนมา(อีก)แว้ว

     เมื่อวานดูรอบแรกในแบบ IMAX ในตอนที่สภาพร่างกายไม่ค่อยจะพร้อม (เหนื่อย) ผลก็เลยดูหนังเรื่องนี้ไม่ค่อยสนุกซะงั้น ทั้งๆ ที่ระบบภาพและเสียงเขาออกจะสุดยอดซะ (เสียงกระหึ่มซะจนปวดหูในบางฉาก) ว่าแล้วก็เลยต้องไปพิสูจน์อีกครั้งที่บิ๊กซีแถวบ้าน ถึงระบบภาพ/เสียงจะง่อยกว่ากันเยอะ แต่เนื่องด้วยสภาวะร่างกายและจิตใจที่พร้อมสุดขีด ดูรอบนี้เลยได้สัมผัสพลังอันแท้จริงของซูเปอร์แมนเวอร์ชั่นสามประสานของ Zack Snyder, Christopher Nolan และ David S.Goyer ในที่สุด (จะดูหนังให้สนุก ใจและกายต้องพร้อมด้วยเน้อ)

     อันตัวหนังนั้นหลายท่านคงได้ไปพิสูจน์กันแล้ว ซึ่งบ้างก็ว่าสนุกมากสนุกน้อยว่ากันไปตามรสนิยมของใครของมัน แต่คงไม่มีใครที่คิดว่าหนังห่วยแน่นอน ด้านดราม่ากับเรื่องราวอันเข้มข้นบ่งบอกถึงตัวตนของ Nolan กับ Goyer อยู่บ้าง แต่สำหรับแอ็คชั่น ความมันส์นั้น Snyder เฮียขอจัดเต็ม ซึ่งเราก็ว่ามันพอเหมาะพอดีทั้งสองด้านนะ แม้ว่าช่วงหลังมันจะดูแบ่งโทนกันอย่างกับหน้ามือกับหลังตีนไปบ้างก็ตาม แต่ก็ถือว่าชนะเลิศทั้งคู่

     ซีนดราม่า อารมณ์ ที่เน้นให้เห็นเรื่องราวความเป็นมาของพระเอกนั้นทำได้น่าประทับใจ ซึ่งเขาเน้นซะจนแทบไม่มีเวลามาเน้นเรื่องราวความรักของพระนางเท่าไหร่ พอรู้ตัวอีกทีพวกตัวโกงก็มาชวนบู๊ซะแล้ว (ภาคต่ออาจมีเวลาจู๋จี๋กันมากขึ้น)

     ส่วนฉากบู๊ที่บู๊กันแหลกนั้นก็คงจะถูกใจแฟนๆ ซึ่งบางคนอาจจะบอกว่าเหมือนดราก้อนบอลซะ ซึ่งนั่นก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก และคงฟันธงลงไปไม่ได้ว่าใครเลียนแบบใคร แต่น่าจะออกแนวต่างฝ่ายต่างได้รับอิทธิพลจากกันและกันมากกว่า เพราะถ้าจะย้อนไปดูจริงๆ แล้ว อ.โทริยาม่า อากิระ แกก็ปลื้มซูเปอร์แมนมาช้านานแล้ว จนถึงกับสร้างคาแร็คเตอร์ 'ซูเปอร์แมนอมบ๊วยเค็ม' ในการ์ตูน 'ดร.สลัมป์กับหนูน้อยอาราเล่' ของแก (ใครแก่พอที่จะจำได้บ้าง?) มาแล้ว ส่วน ผกก.Snyder เองแกก็คงได้รับอิทธิพลจากการ์ตูนญี่ปุ่นมาบ้างแหล่ะ เพราะดูจาก Sucker Punch (2011) ก็รู้ว่าแกบ้าการ์ตูนญี่ปุ่นอยู่พอสมควร

     ด้านดนตรีถึง Hans Zimmer จะตัดสินใจโละทิ้งธีมเดิมอันเป็นที่จดจำของคนทั้งโลกไป และไม่สามารถสร้างธีมใหม่ให้คลาสสิกขนาดนั้นได้ แถมยังจะติดกลิ่นงานเดิมๆ ของตนมาด้วย แต่งานสกอร์ของเขาก็ยังมีความไพเราะ ขลัง อลังการ มีคุณภาพ ส่งเสริมอารมณ์ของหนังได้อย่างดีเยี่ยมไม่เสียชื่อ

     อีกสิ่งที่แทรกเข้ามานั่นก็คือการเป็นอเมริกันแท้ของซุเปอร์แมน ไม่ว่าการจะแทรกภาพธงชาติ การยอมรับอย่างหน้าชื่นว่าข้าเป็นอเมริกันชนเต็มขั้น หรือแม้แต่การเปรียบเปรยซูเปอร์แมนกับพระเยซู ด้วยอะไรที่พ้องกันเช่น ถูกส่งลงมายังโลกเพื่อมาเปลี่ยนแปลงโลกช่วยเหลือผู้คน, มีพ่อแม่บุญธรรมที่เป็นคนธรรมดาสามัญ, ออกค้นหาตัวเองจนพบและเริ่มปฏิบัติภารกิจเมื่ออายุ 30 ต้นๆ และที่จะๆ คือภาพของเขาไปนั่งปรับทุกข์กับบาทหลวงในโบสถ์ ด้วยการแบ่งครึ่งเฟรมระหว่างเขากับกระจกสีภาพพระเยซู ฯลฯ




แฟนซูเปอร์แมน/ดีซี หรือแม้แต่ขาจรทั่วไปคงจะปลื้มกับหนังเรื่องนี้กันถ้วนหน้า เพราะทำออกมาได้อย่างสมศักดิ์ศรี สนุก ครบทุกอารมณ์ (ยกเว้นอารมณ์ขันที่มีมาน้อยไม่เหมือนฮีโร่ฝั่งมาร์เวล) ดูรอบสองสนุกกว่าเดิมเห็นๆ ให้ไปเลย 8/10 เลยครับ






*รีวิวหนังเรื่องอื่นๆ ของ ผกก.Zack Snyder ภายในบล็อก*


วันจันทร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2556

The Broken Circle Breakdown (2012): ชีวิตที่ขาดเธอ



The Broken Circle Breakdown (2012): ชีวิตที่ขาดเธอ

     Didier และ Elise ตกหลุมรักซึ่งกันและกันตั้งแต่แรกพบ เขาคือนักดนตรีคันทรี่แนวบลูกราสผู้โรแมนติกแต่ไม่เชื่อในศาสนา เธอคือช่างสักผู้มองโลกในความเป็นจริงแต่ก็มีศรัทธาในพระเจ้า เขาพูด เธอฟัง แม้ว่าพวกเขาจะแตกต่างกันหลายอย่าง แต่ก็เหมือนแม่เหล็กต่างขั้วที่ยิ่งดึงดูดกันและกัน จนในที่สุดทั้งคู่ก็ตัดสินใจแต่งงานกัน และมีพยานรักเป็นลูกสาวน่ารักคนหนึ่ง ซึ่งทุกอย่างดูเหมือนจะแฮปปี้ดีแทค จนกระทั่งเมื่อลูกสาววัย 6 ขวบของพวกเขาได้รับการวินิจฉัยว่ากำลังป่วยเป็นโรคมะเร็ง นั่นคือจุดเริ่มต้นของการพิสูจน์รักแท้ของพวกเขาที่มีต่อกัน ที่จะทำให้คุณผู้ชมต้องตราตรึงไปอีกนาน

     Felix Van Groeningen ผกก.หนุ่มชาวเบลเยี่ยมกลับมาอีกครั้งหลังจากเคยทำให้เราประทับใจมาแล้วในหนังดราม่า/ตลก The Misfortunates (2009) ซึ่งมาคราวนี้เขามากับหนังดราม่า/ความรัก ที่มีมาครบทั้งความโรแมนติกและความรวดร้าว ปวดหน่วงๆ ที่หัวใจ ยิ่งหนังเล่าเรื่องแบบตัดสลับช่วงเวลาไปมา ยิ่งทำให้นึกถึง Blue Valentine (2010) เข้าไปใหญ่

     ที่น่าสนใจคือหนังเลือกที่จะใช้ดนตรีแนวบลูกราสมาขับกล่อมอารมณ์ (เหมือนในต้นฉบับที่เป็นละครเวที) ซึ่งก็ดูแปลกหูแปลกตาดีสำหรับการที่เห็นคนเบลเยี่ยมมาร้องเล่นเพลงแนวคันทรี่ของคนมะกันแบบนี้ แต่พวกเขาก็ทำหน้าที่ได้ดีและมันก็ออกมาสนุกสนานเศร้าซึ้งมากพอที่จะส่งอารมณ์หนังได้ในยามที่ต้องการ และต้องทำให้บางคนหันมามองเพลงแนวนี้ใหม่อีกครั้งด้วยความสนใจมากขึ้นเป็นแน่ (เช่นเราเป็นต้น)

     หนังอาจจะมากับเรื่องราวบ้านๆ เล่าเรื่องแบบเรื่อยๆ ไม่มีหักมุมให้หงายเงิบ แต่ก็ตัดต่อสลับเหตุการณ์ไปมาอย่างสร้างสรรค์ ไม่ชวนงง ซ้ำยังส่งผลร้อยเรียงทางอารมณ์และเรื่องราวได้อย่างไม่มีสะดุด (ต้องชมเขาในเรื่องนี้เลย) ส่วนบรรดานักแสดงแม้จะหาคนหน้าตาหล่อสวยอย่างในหนังมะกันที่เราคุ้นเคยแทบไม่ได้ แต่ก็เล่นกันได้อย่างมีเสน่ห์ ร้องเล่นดนตรีกันได้ ซีนอารมณ์หนักๆ ก็ไม่หวั่น (ต้องชมเขาในเรื่องนี้ด้วย)

     ที่อวยมาซะเยอะ ก็เพราะหนังเขาดีจริงๆ คอหนังสายดราม่าที่ไม่น้ำเน่าน่าจะพึงพอใจกันมิใช่น้อย ดูหนังมะกัน หนังกระแสเยอะๆ ก็เปลี่ยนบรรยากาศมาดูหนังยุโรปกันบ้างก็ดีเหมือนกันนะ





หนังดีน่าดูแบบนี้ให้ไปเลย 8/10 ครับ








*ช่วงเพลงในหนัง*
     ส่วนที่น่าชื่นชมอีกอย่างของหนังคือดนตรีประกอบ ที่หนังใช้ดนตรีแนวบลูกราสซึ่งเป็นแนวเพลงพื้นบ้านของชาวมะกัน ซึ่งจะเห็นได้ว่าผู้สร้างได้เลือกนักแสดงที่สามารถร้องเล่นดนตรีได้จริงมา (คนที่เล่นเป็นพระเอกเป็นคนเขียนบทของหนังอีกด้วย) ลองดูฉากร้องเล่นเพลงนี้ในหนังดูสิ นอกจากจะเพราะพริ้งแล้ว ยังส่งผลทางอารมณ์ต่อเรื่องราวของหนังได้อีกด้วย






*รีวิวหนังของ ผกก. และหนังเรื่องๆ ที่เกี่ยวข้องภายในบล็อก*
 

วันอาทิตย์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2556

V/H/S/2 (2013): ดูกี่ม้วนก็ยังสยอง



V/H/S/2 (2013): ดูกี่ม้วนก็ยังสยอง

     ภาคแรกที่ออกมาปีที่แล้วประสบความสำเร็จในหมู่คอหนังสยองขวัญไปพอควรสำหรับหนังรวมมิตรสยองที่ใช้การเล่าเรื่องด้วยฟอร์แมต VHS (ไอ้แบบที่ใช้ม้วนวีดีโอนั่นแหล่ะ) ที่ให้ภาพไม่ชัดเจน บิดเบี้ยว เพื่อขับเน้นความรู้สึกหลอนราวกับกำลังดูโฮมวีดีโอจริงๆ มาเป็นจุดขาย ว่าแล้วภาคสองก็ถูกเข็นต่อออกมาแบบทันใจซะ

     มาคราวนี้หนังลดความยาวและลดตอนลงเหลือแค่สี่ตอนย่อยกับหนึ่งตอนหลัก โดยได้ ผกก.ที่ค่อนข้างมีชื่อเสียง(หน่อย)อย่างที่เด่นๆ ก็มี Gareth Evans จาก The Raid: Redemption (2011) และ Eduardo Sánchez หนึ่งในสอง ผกก.หนังสยองในตำนานอย่าง The Blair Witch Project (1999) นั่นไง

     ส่วนการใช้ VHS ของภาคนี้ แทนที่จะใช้การแบกกล้องถ่ายแบบทื่อๆ อย่างเดียวก็เพิ่มมุกการใช้กล้องจากหลากหลายแหล่งอย่างสปายแคม, กล้องติดหมวก ไปยันการติดกล้องในนัยน์ตาเลยทีเดียว (แหม่ ช่างคิดเนอะ) ซึ่งก็โอเค ไม่ซ้ำซากดี ไม่ว่ากัน

     ด้านความสยองนั้นดูเหมือนภาคนี้จะโหดเลือดสาดกันมากขึ้น ที่เข้าท่าก็มีตอนที่ทำให้เราได้เห็นภาพจากมุมมองของซอมบี้บ้าง หรืออีกตอนที่พาไปดูลัทธินรกในอินโดนีเซีย ที่โหดและกดดันไม่ใช่เล่น เสียดายแต่ว่าตอนสุดท้ายที่เกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวนั้นไม่น่ากลัวแถมยังออกจะดูตลกไปด้วยซ้ำ

     ดังนั้นพอจะสรุปกันจริงๆ เรากลับรู้สึกว่าภาคแรกที่ถึงจะไม่โหดเท่า แต่กลับดูกลมกล่อมหลากหลายกว่าภาคนี้อยู่นิด และที่น่าสนใจคือตอนลัทธินรกจากอินโดนีเซียที่ ผกก.Evans ได้กระเตง ผกก.หนุ่มอินโดอีกคนมาด้วย ซึ่งตอนที่สองคนนี้กำกับร่วมกันนั้นก็ได้ตอกย้ำให้โลกประจักษ์แล้วว่าอินโดนีเซีย คือคลื่นลูกใหม่แห่งการทำหนังสยองโหดๆ หรือแม้แต่หนังแอ็คชั่นศิลปะป้องกันตัวลุยๆ นะเฟ้ย







มีบางตอนที่เข้าท่า แต่โดยรวมแล้วเราชอบภาคแรกมากกว่า ดังนั้นจัดไป 5/10 พอก็

ปล.แต่เดิมภาคนี้จะใช้ชื่อว่า S-VHS แต่ตอนหลังเปลี่ยนเป็นอย่างที่เห็นนี่แหล่ะจ้า





*รีวิวภาคแรกและเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องภายในบล็อก*
 

วันจันทร์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2556

The Garden of Words (2013): ฝนนี้หัวใจมีเรา



The Garden of Words (2013): ฝนนี้หัวใจมีเรา

     สำหรับคออนิเมะแล้วถ้าเอ่ยถึงชื่อของ มาโคโตะ ชินไค ย่อมต้องเรียกเสียงซี้ดซ้าดจากพวกเขาได้เสมอ เพราะเขาคือเจ้าของผลงวานอนิเมชั่นจี๊ดๆ อย่าง The Place Promised in Our Early Days (2004) และ 5 Centimeters Per Second (2007) ที่ได้รับเสียงซูฮกจนถึงขนาดที่เขาถูกขนานนามให้เป็น ฮายาโอะ มิยาซากิ คนใหม่เลยทีเดียว (โห)

     ส่วนนี่คืออนิเมชั่นเรื่องล่าสุดของเขาที่ว่าด้วยเรื่องราวของหนุ่ม ม.ปลายคนหนึ่งที่ชอบโดดเรียนไปนั่งขีดๆ เขียนๆ ในสวนสาธารณะเฉพาะเช้าวันฝนตก กับสาวลึกลับที่มานั่งดื่มเบียร์แกล้มช็อคโกแลตที่นี่เช่นกัน ซึ่งยิ่งเมื่อพวกเขามาเจอะกัน ณ ที่แห่งนี้โดยมิได้นัดหมายมากขึ้นเท่าไหร่ หัวใจของพวกเขาก็ยิ่งเปิดรับซึ่งกันและกันมากขึ้นเท่านั้น ส่วนบทสรุปเรื่องราวของพวกเขาจะเป็นเยี่ยงไร ก็เชิญค้นหาเอาเองตามยถากรรมบ้านใครบ้านมัน

     สิ่งที่เราเคยชื่นชมในตัวของ ผกก.ชินไค มาตลอดก็ยังมีมาให้ชื่นชมในเรื่องนี้ ด้วยการทำให้อนิเมชั่นเล่าเรื่องของคนธรรมดาๆ ทั่วๆ ไป ออกมาได้จี๊ด ไม่ได้แฟนตาซีแซ่บเว่อร์อย่างอนิเมชั่นทั่วๆ ไป ครั้นจะแทรกอะไรโม้ๆ ก็ทำได้อย่างเนียนๆ ซึ่งนี่แหล่ะอีกความพิเศษของอนิเมชั่นญี่ปุ่นที่สามารถเล่าเรื่องราวทุกแง่มุมของชีวิตได้อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ใช่จ้องแต่เล่าอะไรที่มันจินตนาการฟุ้งอย่างที่ฝรั่งชอบมองอนิเมชั่นให้เป็นอย่างนั้น

     ตัวอนิเมชั่นมีความยาวแค่ 46 นาที โดยมากับสไตล์การเล่าเรื่องแบบนิ่งๆ แต่เอาอยู่ งานด้านภาพ ด้านดนตรี ละเมียด งดงาม ดูสบายตา ยิ่งมาเจอเรื่องราวจี๊ดๆ ในบรรยากาศหน้าฝนแบบนี้ด้วยแล้วยิ่งทำให้ต่อมโรแมนติกพองโต (ดูตอนฝนตกด้วยยิ่งได้อารมณ์บรรเจิด) แม้ว่าตอนจบจะไม่สุดและไม่เกินคาดหมายไปบ้างก็ตามที




ใครชอบอนิเมชั่นภาพสวย เพลงเพราะ เนื้อหาจี๊ดรัก น่าประทับใจล่ะ โป๊ะเช๊ะ ก็ถูกใจใช่เลย จัดไป 7/10 ครับ




Lesson of the Evil (2012): ครูพันธุ์อำมหิต




Lesson of the Evil (2012): ครูพันธุ์อำมหิต

     คอหนังโหดย่อมจะคุ้นเคยกับชื่อเสียงเรียงนามของ ทาคาชิ มิอิเกะ ผู้กำกับจอมขยันแห่งแดนปลาดิบกันดี ด้วยผลงานคลาสสิกของเขาอย่าง Audition (1999), Visitor Q (2001) ฯลฯ ที่ล้วนได้ใจคอหนังไปเต็มๆ ด้วยสุนทรียภาพแห่งความรุนแรงปนอุบาทว์ แม้พักหลังๆ มานี้ดูแกจะลดดีกรีความแรงของตนลงและหันไปทำหนังหลากหลายแนวแบบนานๆ ทีถึงจะมีหนังโหดหลุดออกมาให้ยลบ้าง

     และนี่คือผลงานหนังโหดเรื่องล่าสุดของแกที่เล่าถึงคุณวิชาภาษาอังกฤษของโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่ง ซึ่งดูเผินๆ เขาคือคุณครูในอุดมคติ ที่ทั้งเฉลียวฉลาด นิสัยดี ผู้พร้อมจะอุทิศตนเพื่อลูกศิษย์เสมอ จนเป็นที่รักของนักเรียนทุกคน และที่สำคัญยังหล่ออีกต่างหาก แต่ภายใต้หน้ากากครูครับเราจะสู้เพื่อฝันนี้แล้วเขาคือฆาตกรโรคจิตจอมอำมหิตที่ชอบฆ่าคนมาตั้งแต่อายุ 14 ขวบแล้ว ซึ่งแน่นอนว่าเหล่าลูกศิษย์ของเขาคือเป้าหมายต่อไปนั่นเอง

     อ่า คอหนังโหดของ มิอิเกะ เตรียมตีปีกได้เลยเพราะหนังจัดเต็มด้านความโหด โดยเฉพาะไฮไลท์สำคัญคือฉากการสังหารหมู่ในโรงเรียนที่ลากยาวกว่าครึ่ง ชม. ชนิดที่หนังอเมริกันไม่มีและไม่กล้าทำออกมาให้ดูแบบนี้แน่ๆ

     แต่ดูเหมือนหนังจะไม่มีนัยซ่อนเร้น เหมือนผลงานคลาสสิกของแกที่ถึงจะโหดแต่ก็มีอะไรให้ขบคิด คือเรื่องนี้ว่ากันแบบตรงๆ โต้งๆ จนถึงขั้นไร้ลีลา (ความเซอร์ความเหวอก็มีนิดเดียว) โดยเฉพาะถ้าเทียบกับหนังครูโหดอีกเรื่องจากญี่ปุ่นอย่าง Confessions (2010) ที่ดูดีมีชาติการ์ตูนกว่าเยอะ

     สำหรับคนที่คิดถึงหนังโหดๆ แรงๆ จาก ผกก.มิอิเกะ คงจะถูกใจกัน แม้ว่าจะไม่ตราตรึงได้เท่ากับผลงานในยุคคลาสสิกของเขาก็ตาม แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีให้ดู และก็ยังดีกว่าแกเลิกทำหนังแนวนี้แล้วหันไปทำหนังตลาดหลากหลายแนวแบบถาวรก็แล้วกันล่ะเนอะ



นานๆ จะทำหนังโหดๆ สไตล์นี้ออกมาซะที ให้ไปโลด 7/10 จ้า







*รีวิวหนังเรื่องอื่นๆ ของ ผกก.ทาคาชิ มิอิเกะ และเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องภายในบล็อก*
    

วันอาทิตย์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2556

Now You See Me (2013): ปล้นแหกตา


Now You See Me (2013): ปล้นแหกตา

     Louis Leterrier ผกก.หนุ่มเลือดฝรั่งเศสเสียรังวัดไปเยอะกับ Clash of the Titans (2010) บัดนี้แกขอกลับมาแก้มืออีกครั้งพร้อมหนังแนวขบวนปล้นเหนือเมฆเรื่องนี้ ซึ่งแตกต่างจากชาวบ้านเขาหน่อยตรงที่ทีมปล้นแต่ละคนเนี่ยคือนักมายากลระดับเซียนในแบบที่ขนาดลุงฟิลิป & ลิซ่ายังต้องอาย

     หนังมาแบบดูเพลินๆ โม้ๆ เว่อร์ๆ สนุกดี และมีการหักมุมเฉลยเรื่องราวให้แบบเคลียร์ใจเคลียร์รังแคในตอนท้าย คือไม่มีอะไรให้คนดูต้องฮือฮาหรือรู้สึกติดค้างเดินเกากบาลออกจากโรง เรียกว่าดูจบแล้วก็จบกันไป ไม่ได้มีอะไรพิเศษให้ต้องจดจำนัก

     ส่วนบรรดาทีมนักแสดงถึงจะมากันมากหน้าหลายตาแต่ดูเหมือนเฮีย Mark Ruffalo แกแทบจะมีบทบาทโผล่หน้ามาสลอนเยอะกว่าชาวบ้านจนแทบจะเรียกได้ว่าแกนี่แหล่ะคือพระเอกตัวจริงเสียงจริงของหนังไปแล้ว ในขณะที่หน้าหนังแทบจะไม่โปรโมทแกเลย (แต่เขามีเหตุผลในเรื่องนี้น่า)

     ส่วนเรา เหตุผลหลักที่ตามไปดูเรื่องนี้เพราะอยากเห็นสองเฒ่า Morgan Freeman กับ Michael Caine มาร่วมประชันบทบาทกันเป็นครั้งที่สี่ (สามครั้งก่อนหน้าคือไตรภาค The Dark Knight)
เท่านั้นแหล่ะ อิอิ





เอาน่ะ หนังดูกันได้เพลินๆ แบบนี้ให้ไปโลด 6/10 จ้า







*รีวิวหนังของ ผกก.Louis Leterrier เรื่องอื่นๆ ภายในบล็อก*