วันศุกร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

[REC] 3: Génesis (2012): ผีกัดอย่ากัดต่อ

[REC] 3: Génesis (2012) :

จากหนังสยองขวัญเล็กๆ ของสเปนที่นำไอเดียแบกกล้องถ่ายมาใช้ได้อย่างแจ่มแจ๋วเมื่อภาคแรกในปี ค.ศ.2007 จนสามารถปลุกกระแสหนังสยองแนวเรื่องจริงผ่านจอให้ฮ็อตฮิตติดลมบนขึ้นมาอีกครั้งได้ (ซึ่งบัดนี้ก็ยังฮิตอยู่) พอมาภาคสองในปี 2009 ที่ถึงแม้จะออกมาไม่แจ่มเท่าภาคแรก แต่ก็ยังดูสนุกมีลุ้นได้อยู่ และนี่คือภาคสามที่คอหนังสยองขวัญหลายคนรอดูอยู่ว่างานนี้ผู้สร้างเขาจะมีมุกเด็ดอะไรมานำเสนออีกหนอ


ภาคสามนี้ขอตะลุยงานแต่งบ้างล่ะ
เรื่องราวในภาคนี้จะเกิดขึ้นพร้อมๆ กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสองภาคที่แล้วพอดีเป๊ะ เมื่อเชื้อผีกัดยัยผีจ่อยดันไประบาดกลางงานแต่งสุดหรูของ Koldo กับ Clara คู่บ่าวสาวที่รักกันดูดดื่มปานจะแหกตูดดม ซึ่งเหตุการณ์อลหม่านสุดสยองครั้งนี้ได้ทำให้ทั้งคู่ต้องผลัดหลงกัน พวกเขาจึงต้องพยายามเสี่ยงชีวิตตามหาซึ่งกันและกัน และทำทุกอย่างเพื่อเอาตัวรอดจากนรกผีกัดแห่งนี้ให้จงได้


เจองี้ยืนอยู่ข้างหน้าเป็นใครก็ต้องเหวอ
ภาคนี้ ผกก.Paco Plaza แกขอฉายเดี่ยว ไม่ได้ตีคู่กันมากับ ผกก.Jaume Balagueró เหมือนในสองภาคที่ผ่านมาแล้ว ซึ่งแน่นอนว่างานนี้มันได้ส่งผลต่อแนวทางของหนังมากพอสมควร คือในภาคนี้หนังแทบจะละทิ้งสไตล์หนังสยองจริงจังแบกกล้องถ่ายที่ตนเองเป็นคนนำมาใช้จนฮิต แล้วหันไปเป็นหนังสยองแนวโหดมันส์ฮา (นิดๆ) ไปแบบเต็มตัวแทนซะงั้น (ป๊าด!?)


นางเอกเราบางทีหน้าตาน่ากลัวกว่าผีกัดอีก
ที่แสบได้ใจคือการที่เริ่มต้นมาหนังยังใช้สไตล์แบกกล้องถ่ายอยู่ แถมตากล้องยังบอกว่าตนเป็นคนของบริษัท Filmax (สตูดิโอเจ้าของหนังแฟรนไชส์ [Rec] ตัวจริง) เสียด้วย ก่อนที่ในเวลาต่อมาขณะเกิดเหตุพระเอกก็หันไปกระทืบกล้องทิ้งพร้อมกับบ่นอย่างงุ่นง่านว่า "เกิดเรื่องคอขาดบาดตายซะขนาดนี้แกยังจะมีอารมณ์ถ่ายวีดีโออีกเหรอวะ!!" แล้วภาพในกล้องก็ค่อยๆ ดับวูบลง ต่อด้วยไตเติ้ลของภาคสามนี้ ราวกับว่าผู้สร้างกำลังตอกใส่หน้าคนดูด้วยความสะใจว่า "ตูข้าผู้เป็นคนนำสไตล์นี้มาใช้จนพวกเอ็งฮิตกันเกร่อ แต่ตอนนี้ตูจะขอเลิกใช้แม่งแล้วนะเฟ้ย หมั่นไส้นัก!" (ฮา)


ปากกว้างจะได้งับคนได้คล่องๆ
แต่น่าเสียดายที่การเลิกใช้สไตล์แบกกล้องถ่ายแล้วกลับลำกลายเป็นหนังสยองโหดมันส์ฮาทั่วไปในครั้งนี้ ส่งผลให้หนังขาดความจริงจัง ความลุ้นระทึก และไม่มีอะไรแปลกใหม่มาฝาก คือดูจบแล้วก็จบกันไป (แลกกับภาพที่ดูสบายตาขึ้น) ทว่าโดยรวมแล้วถ้าไม่เอาไปเปรียบกับภาคเก่าๆ ที่กลายเป็นคนละเรื่องไปเลย ก็ยังจะพบว่าหนังออกมาดูได้เพลินๆ อยู่ เพราะมีสยอง มีโหด มีลุ้นบ้าง เมคอัพเอฟเฟกต์ดูดี คอหนังสยองน่าจะยังพอใจกับเวลาที่เสียไป 80 นาทีเพราะหนังเรื่องนี้อยู่ล่ะนะ ขอบอก

*ปล.นี่ไม่ใช่ภาคสุดท้ายเน้อ เพราะผู้สร้างบอกว่าจะทำภาคสี่ชื่อ [REC] Apocalypse ที่จะมีนางเอกจากภาคแรกเป็นตัวนำ ซึ่งจะออกมาฉายในอีกปีสองปีข้างหน้านี้แหล่ะจ้า*

  • + ภาคสามที่เปลี่ยนแนวกลายเป็นหนังแนวโหดมันส์ฮา ที่ดูกันได้เพลินๆ มีลุ้น ไม่ต้องคิดมาก
  • - การละทิ้งแนวทางเดิมอาจทำให้แฟนภาคเก่าไม่พอใจ แถมหนังออกมากลายเป็นหนังสยองดาดๆ ที่ไม่ได้มีอะไรโดดเด่นมากมายไปซะงั้น






*รีวิว [Rec] อีกสองภาคภายในบล็อก*


วันพฤหัสบดีที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

The Dark Knight Rises (2012): ปิดตำนานไอ้ค้างคาว




The Dark Knight Rises (2012) :

อ่า... ในที่สุดการรอคอยก็สิ้นสุดลง เมื่อภาคสุดท้ายของหนังไตรภาค Batman เวอร์ชั่นที่แฟนๆ ซูฮกมากที่สุด ได้ฤกษ์ฉายเสียที หลังจากภาคก่อนอย่าง The Dark Knight (2008) ประสบความสำเร็จอย่างงดงามในทุกๆ ด้าน โดยเฉพาะการที่หนังมี Heath Ledger ผู้ล่วงลับมารับบทเป็นตัวร้าย The Joker ได้อย่างยอดเยี่ยมชนิดสุดลิ่มทิ่มประตู ก็ยิ่งส่งผลให้หนังกลายเป็นตำนานไปในที่สุด


สองคนนี้กำลังเต้นลีลาศกลางแจ้งอย่างเพลิดเพลิน
คล้อยหลังมาสี่ปี ผกก.Christopher Nolan เจ้าเก่าก็พานักแสดงหลักชุดเดิมกลับมาอย่าง (เกือบ) พร้อมหน้า และเสริมทัพด้วยนักแสดงชุดใหม่อีกเพียบ ไม่ว่าจะเป็นนักแสดงหนุ่มไฟแรงอย่าง Tom Hardy ที่มาสวมบทตัวโกงสุดถึกอย่าง Bane หรือสาว Anne Hathaway ในบท Catwoman และไหนจะพ่อหนุ่ม Joseph Gordon-Levitt กับสาว Marion Cotillard อีกล่ะ โอ๊ยงานนี้ขนกันมาตรึมชนิดเต็มคันรถสองแถวเลยพะยะค่ะ


แบทแมนกำลังยืนเซ็งที่แว๊นโดนขโมยไปซิ่ง
แต่สำหรับคนที่หวั่นว่าภาคนี้ขนตัวละครใหม่มาซะเยอะ แล้วกลัวหนังจะออกมาเละเทะนั้นก็สบายใจกันได้เลยเพราะบทของสองพี่น้อง Nolan ยังคงถึงคุณภาพเช่นเดิม คือสามารถเกลี่ยบทบาทของแต่ละคนได้อย่างพอเหมาะ ให้มีช่วงเวลาโชว์บทบาทของตัวเอง พล็อตที่ถึงเรารู้ทั้งรู้อยู่แล้วว่าสุดท้ายพวกพระเอกก็ต้องชนะอยู่ดี (ตามประสาหนังซูเปอร์ฮีโร่) แต่ก็สามารถทำออกมาให้น่าติดตามได้ตลอดและมีบทสรุปที่เข้าท่า เมื่อมาเจอการเล่าเรื่องของ ผกก.Nolan ที่ทำหน้าที่อย่างลื่นไหล รู้จังหวะจะโคน เวลาของหนัง 2 ชม. 44 นาที จึงไม่มีช่วงไหนที่ดูอืดหรือน่าเบื่อเลย หากแต่เข้มข้น ดูเพลิน มีลุ้น มีซึ้ง มีมันส์ มีสาระ มียิ่งใหญ่ ครบทุกรสชาด หรือจะเรียกว่าเป็นหนังศูนย์รวมความบันเทิงแบบครบวงจรเลยก็ว่าได้แหล่ะ


นาย JGL ขวัญใจสาวๆ กับบทที่เด่นใช่เล่น
แต่ถึงหนังจะออกมาดูสนุกปานนี้ เราก็ยังพบว่ามีบางช่วงที่เหมือนหนังจะตัดต่อเดินเรื่องฉับๆ ปุบปับไปอยู่บ้าง เนื่องจากมีเหล่าตัวละครกับเรื่องเล่าที่ยุบยั่บยั้วเยี้ย ถ้าเล่ากันเนิบๆ เกรงว่าหนังจะยาว 4 ชม.น่ะสิ อันตัวโกงภาคนี้ที่แม้พ่อหนุ่ม Hardy จะแสดงผ่านท่าทางแววตาน้ำเสียงได้อย่างดีเยี่ยม แต่ยังอาจจะไม่เด็ดมากพอ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับภาคที่แล้วจะพบว่าตัว The Joker มีสีสันความร้ายกาจน่าจดจำมากกว่าเยอะ ส่วนคนที่ได้ใจเราไปเต็มๆ ในภาคนี้กลับเป็นคุณปู่ Michael Caine ที่ถึงแม้บทบาทจะน้อยนิด แต่โผล่มาทีไรก็เล่นดีจนเห็นแล้วน้ำหูน้ำตาจะไหลขอแชร์นะคะไปซะทุกที


สองสาวงามประจำเรื่อง
หนังอัดฉากแอ็คชั่นมาให้ดูกันตลอดแต่ก็ไม่มีเฝือ เอาแค่ฉากแรกเปิดตัวมาก็เล่นเอาคนดูตาลุกกับความเจ๋งแล้ว เพราะ ผกก.Nolan ยังคงยึดมั่นที่จะทำฉากแอ็คชั่นเล่นจริงแบบที่พยายามใช้ซีจีให้น้อยที่สุด จนได้ฉากบู๊ต่างๆ ที่แสนน่าตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างยิ่ง และที่ฟินสุดๆ คือฉากที่ Batman ยกพวกตำรวจนับพันไปตีกันกับเหล่าโจร ณ ใจกลางเมืองกลางวันแสกๆ ที่ดูเหมือนหนังจะสื่อให้เห็นว่าในที่สุด Batman ก็สามารถเคลียร์ตนเองไม่ต้องต่อสู้เหล่าร้ายตามลำพังหรือเท่แบบหลบๆ ซ่อนๆ ในเงามืดอีกต่อไปแล้ว นี่จึงนับเป็นการปิดท้ายไตรภาคหนัง Batman ชุดนี้ได้อย่างงดงามยิ่งนัก


คุณตา Michael Caine แก่ปูนนี้แล้วยังเล่นหนังดีใจหาย
จากเดิมที่เราชื่นชอบหนัง Batman เวอร์ชั่น ผกก.Nolan เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่อมาเจอผลลัพธ์ของหนังที่ออกมายอดเยี่ยมปานนี้ (แม้จะมีอะไรสะดุดๆ อยู่บ้าง) จึงต้องขอบอกอย่างหน้าชื่นตาบานไม่แคร์สื่อเลยล่ะว่า งานนี้ขอลำเอียงไม่เป็นกลางแบบเห็นๆ ด้วยการยกให้นี่เป็นหนังดีที่เราชอบที่เราซูฮกที่สุดที่ได้ดูในปีนี้เลย (จะหาว่าเว่อร์ก็ยอมล่ะ อิอิ) ผกก.Nolan เขาไม่ทำให้ผิดหวังอีกแล้ว ชนิดที่ว่าหลายคนที่ได้ดูถึงกับฟันธงเลยว่างานนี้ถ้าใครคิดจะมาทำหนัง Batman อีกล่ะก็คงจะออกมาไม่ได้ดีเท่านี้อีกแล้วล่ะครั่บ จบข่าว

  • + เป็นภาคปิดท้ายที่ทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม ดูสนุกมากๆ ถึงคุณภาพมากๆ แฟนๆ ไม่มีผิดหวังแน่นอน
  • - บางช่วงเดินเรื่องปุบปับอยู่บ้าง และถึงจะดูสนุก ยอดเยี่ยม แต่ก็ไม่คลาสสิกเท่ากับครั้ง The Dark Knight หรอกเน้อ






*รีวิวหนังเรื่องอื่นๆ ของ ผกก.Christopher Nolan ภายในบล็อก*


วันพฤหัสบดีที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

Silent House (2011): บ้านกระตุกหลอน (โครงการสอง)



Silent House (2011) :

จากต้นฉบับที่เป็นหนังสยองขวัญไอเดียเด็ดเมดอิน อุรุกวัย ซึ่งโดนฮอลลีวู้ดสวมวิญญาณเป็นไอ้เสือปืนไวคว้ามารีเมคชนิดคล้อยหลังกันแค่ปีเดียวเอง โดยยังคงชูจุดขายเดียวกับต้นฉบับคือ หนังใช้การถ่ายทำแบบลองเทคลากยาวไปจนจบเรื่อง (โอ้ว!?) และเอิ่ม...ได้รับแรงบันดาลใจจากเหตุการณ์จริง (ของอุรุกวัยเมื่อ 70 ปีก่อน) อีกต่างหาก


หนังสยองรีเมคมาอีกแล้วจ้า
เวอร์ชั่นรีเมคนี้อยู่ในความรับผิดชอบของ ผกก.แพ็คคู่ Chris Kentis และ Laura Lau ที่เคยแจ้งเกิดตัวเองมาแล้วในหนังสยองกลางทะเลอย่าง Open Water (2003) โดยเจ๊ Lau ยังขอรับหน้าเขียนบทตีความปรับปรุงเปลี่ยนแปลงบางอย่างอีกด้วย ซึ่งเรื่องราวหลักๆ ยังคงเป็นเรื่องของสาวน้อย Sarah (Elizabeth Olsen) ที่ติดสอยห้อยตามพ่อกับอาไปซ่อมแซมบ้านพักประจำครอบครัวเพื่อกะจะขาย แต่แล้วเธอกลับต้องพบกับเรื่องราวสุดระทึกแบบเรียลไทม์นันสต็อปลากยาวไปทั้งเรื่องเลยทีเดียว


นางเอก Elizabeth Olsen ส่อแววนักแสดงมีฝีมือในเรื่องนี้
นอกจากเทคนิคการนำเสนอแบบถ่ายลองเทคที่หนังนำมาใช้อย่างเข้าท่าแล้ว (แต่จริงๆ แล้วหนังใช้วิธีถ่ายยาวเทคละ 12 นาทีแล้วค่อยมาตัดต่อให้เป็นเนื้อเดียวกันแบบเนียนๆ) สิ่งที่น่าชื่นชมอีกอย่างคือน้องหนู Olsen ที่รับบทหนักโผล่บนจอตลอดทั้งเรื่อง เสียดายแต่ว่าโดยรวมแล้วหนังยังทำออกมาได้ไม่แจ่มสักเท่าไหร่ แถมออกจะชวนหลับมากกว่าชวนลุ้นเสียด้วยซ้ำ ยิ่งมาเจอบทของเจ๊ Lau ที่ดัดแปลงและเติมตัวละครบางตัวเข้ามาก็ยิ่งแล้วไปกันใหญ่


หนังเล่นกันไม่กี่คนในบ้านหลังเดียวทั้งเรื่อง
แน่นอนที่เวอร์ชั่นรีเมคมักหลีกเลี่ยงการถูกนำไปเปรียบเทียบกับต้นฉบับไม่ได้ ถึงแม้ว่าในกรณีนี้ตัวต้นฉบับเองจะไม่ถึงกับดีเด่นอะไรมากมาย แต่ก็ยังถือว่าดูดีกว่าเวอร์ชั่นนี้อยู่หลายขุม ยังไงเสียถ้าหากท่านไม่เคยดูต้นฉบับมาก่อนก็อาจจะสนุกกับเวอร์ชั่นนี้ได้พอสมควรอยู่ (มั้ง) อย่างน้อยการเห็นหนู Olsen ใส่เสื้อรัดๆ มาวิ่งวุ่นสติแตกให้ดูทั้งเรื่องก็ยังเป็นอะไรที่น่าดูน่าชมอยู่มิใช่น้อยนะ อิอิ

  • + หนังระทึกที่เคลมว่าถ่ายเทคเดียวลากยาวไปทั้งเรื่อง ฟังดูเข้าท่าน่าดูดี แถมนางเอกก็น่ารักแสดงดีอีกต่างหาก
  • - ถ้าเทียบกับต้นฉบับจะพบว่าไม่ระทึกเท่า ถึงขั้นชวนหลับ ไม่ได้มีความน่ากลัวอะไรเล๊ย







*ย้อนรอยหนังต้นฉบับ*

The Silent House (2010) :
หนังสยองขวัญเล็กๆ จากอุรุกวัยเรื่องนี้ ได้ไปโลดแล่นตามเทศกาลหนังทั่วโลก เนื่องด้วยหนังมาพร้อมไอเดียเด็ด เคลมว่าตนเป็นหนังสยองขวัญถ่ายลองเทคเรื่องแรกของโลก ซึ่งถึงแม้จะไม่ถึงกับลองเทคจริงๆ และเนื้อเรื่องยังไม่ถึงกับเด็ดขาดอะไรมากมาย แต่ก็โดดเด่นมากพอจะถูกฮอลลีวู้ดนำไปรีเมคชนิดทันควันเยี่ยงนี้ และส่งผลให้หนังอุรุกวัยเริ่มเป็นที่จับตามองจากวงการหนังระดับนานาชาติขึ้นมาบ้าง เจ๋งไปเลยจ้า


*รีวิวหนัง The Silent House เวอร์ชั่นต้นฉบับแบบเต็มๆ*


วันจันทร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

The Road (2009): ตะลอนทัวร์หลังวันสิ้นโลก


The Road (2009) :
หนังดราม่าไซไฟแนว "ยุคหลังวันสิ้นโลก"(Post-Apocalyptic) ที่สร้างจากนวนิยายระดับรางวัลพูลิตเซอร์ของ Cormac McCarthy (ซึ่งเป็นผู้แต่ง No Country for Old Men อีกด้วย) โดยเวอร์ชั่นหนังได้ ผกก.ชาวออสเตรเลีย John Hillcoat (The Proposition [2005]) มารับผิดชอบ ซึ่งนำแสดงโดยนักแสดงคุณภาพอย่าง Viggo Mortensen (Eastern Promises [2007]) และนักแสดงสมทบที่ดังๆ อีกหลายคน


สองพ่อลูกพากันตะลอนทัวร์ในหนังเรื่องนี้
ชายคนหนึ่ง (Mortensen) ได้พาลูกชาย (Kodi Smit-McPhee) ออกเดินทางตะลอนทัวร์เพื่อหาทางเอาชีวิตรอด ท่ามกลางโลกที่ไร้ซึ่งพืชพันธุ์ สิ่งมีชีวิต ผู้คนก็แทบจะสูญพันธุ์หลังเกิดหายนะครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อน ส่วนคนที่เหลืออยู่ก็ประสบปัญหาขาดแคลนอาหารอย่างหนัก จนถึงกับมีคนบางกลุ่มที่ลุกขึ้นมาจับคนด้วยกันเองมากินเลยก็มี เรียกได้ว่าโลกอยู่ในสภาวะที่สิ้นหวังสุดๆ แต่สองพ่อลูกคู่นี้ก็ยังมีความหวัง คือการเดินทางลงใต้ไปยังริมทะเล โดยหวังว่าจะเจอ อาหาร ที่พักพิง และผู้คนที่เป็นมิตร ซึ่งกว่าจะไปถึงที่หมายได้ พวกเขาก็ต้องเผชิญสิ่งต่างๆ มากมาย งานนี้นอกจากพวกเขาจะต้องพยายามรักษาชีวิตของตนเองแล้ว ยังต้องพยายามรักษาความเป็น "มนุษย์"ของตนเอาไว้ให้ได้ด้วย


คุณ Mortensen เล่นดีมากจนอยากปูผ้ากราบงามๆ
ผู้สร้างประสบความสำเร็จในการสร้างโลกหลังหายนะที่ดูหดหู่และสิ้นหวังดีแท้ ในหนังเต็มไปด้วยผู้คนที่หน้าตามอมแมมแบบที่คงลืมไปแล้วว่าตนเองอาบน้ำครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ และยังมีฉากระทึกๆ ของการหนีตายจากพวกกินคนที่แทรกมาเป็นระยะๆ แต่สองพ่อลูกที่เป็นหัวใจของหนังก็ล้วนทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยม โดยเฉพาะคุณ Mortensen ที่แสดงได้ดีโคตร ทั้งสีหน้า แววตา น้ำเสียง ที่ทำให้เชื่อหมดใจเลยว่าเขารักลูกจริงๆ ในขณะที่เหล่านักแสดงสมทบที่มีชื่อเสียงก็ผลัดกันมาทำหน้าที่ของตนได้อย่างดี (แต่มาในสภาพหน้าตามอมแมมซะจนจำไม่ได้) และสุดท้ายที่จะลืมไม่ได้ก็คือภาคดนตรีประกอบที่ได้ซี้ของ ผกก.อย่างศิลปินชาวออสซี่ Nick Cave และ Warren Ellis มาทำซาวน์แทร็คที่แสนจะไพเราะและส่งเสริมอารมณ์ของหนังได้แจ่มยิ่งนัก


นักแสดงสมทบล้วนแต่เป็นคนที่เราคุ้นหน้ากันดี
ถึงจะเป็นหนังที่ดูสิ้นหวัง แต่กลับมีประเด็นเด่นชัดในเรื่อง "ความหวัง"เป็นอย่างยิ่ง ในสภาพของโลกเช่นนั้น บางคนได้ละทิ้งความหวังที่จะมีชีวิตอยู่ของตน และได้ตัดสินใจฆ่าตัวตายไป หลายคนที่ถึงแม้จะยังมีความหวังในการมีชีวิตอยู่ แต่ก็ได้ละทิ้งความเป็นมนุษย์ของตนไป แล้วหันมากินกันเองเพื่อความอยู่รอด ในขณะที่สองพ่อลูกที่หวังจะอยู่รอดเพื่อวันที่ดีกว่า ก็ต้องประสบกับการทดสอบความเป็นมนุษย์ด้วยเช่นกัน ในหนังเราจะเห็นได้ว่าหลายครั้งที่ผู้พ่อถูกลูกชายวีนใส่ ที่ได้ขาดความรักและความกรุณาแก่เพื่อนมนุษย์ นี่กระมังที่หนังพยายามจะบอกเราว่า ความหวังที่แท้จริงนั้นต้องมาพร้อมกับความกรุณาด้วยเสมอ นั่นแหล่ะที่ทำให้เรายังคงความเป็นมนุษย์อยู่ได้

  • + เป็นหนังดราม่าไซไฟที่เปี่ยมคุณภาพ ให้แง่คิด ที่มาพร้อมการแสดงดีเยี่ยม
  • - หนังดูหดหู่ ไม่มีอะไรน่ารื่นรมย์ ดูแล้วชีช้ำเปล่าๆ น่า




Jiro Dreams of Sushi (2011): เจาะตำนานซูชิขั้นเทพ


Jiro Dreams of Sushi (2011) :

หากจะพูดถึงอาหารญี่ปุ่นยอดนิยมอันดับต้นๆ ของคนไทยเราแล้ว แน่นอนเป็นต้องนึกถึง มาม่า...อาหร่อย ไม่ใช่สิ ต้อง 'ซูชิ' หรือ 'ข้าวปั้นมีหน้า' ที่ได้รับความนิยมสุดๆ ขนาดที่ว่าเวลาไปห้างเดินผ่านร้านอาหารญี่ปุ่นเป็นต้องเห็นคนไปใช้บริการจนแน่นร้านอยู่เกือบตลอด แม้ว่าสนนราคาเมนูซูชิจะไม่ใช่ถูกๆ ก็ตาม ส่วนคนเบี้ยน้อยหอยน้อย (อย่างเรา) ก็ไม่ต้องกลัวตกเทรนด์เพราะเดี๋ยวนี้เขามีทำขายแถวตลาดนัดชิ้นละห้าบาท สิบชิ้นแถมหนึ่งให้ได้เลือกหม่ำด้วยนะ ขอบอก เหอๆ


ปรมาจารย์ซูชิอันดับหนึ่งของญี่ปุ่น (และของโลก)
พล่ามมาซะยืดยาว เรื่องของเรื่องก็คือหนังสารคดีเรื่องนี้นั้นจะพาท่านไปพบกับยอดปรมาจารย์ซูชิชาวญี่ปุ่นนาม จิโร่ โอโนะ วัย 85 ขวบ (ในขณะถ่ายทำ) แห่งร้าน สุกิบายาชิ จิโร่ ที่ถึงเป็นร้านเล็กๆ มีความจุแค่สิบที่นั่งแต่ก็ขึ้นชื่อเรื่องความอร่อยจนสามารถคว้าสามดาวจาก Michelin Guide มาครอง ซึ่งมีเพียงแค่ 14 ร้านในโตเกียว (และแถบใกล้เคียง) เท่านั้นที่ได้สามดาวหมึกดำชวนชิมนี้มาครอง จากบรรดาร้านอาหารทั้งสิ้นกว่า 266 แห่งและโรงแรมอีก 46 แห่ง รัฐบาลญี่ปุ่นเลยยกย่องให้แกเป็น 'บุคคลผู้เป็นสมบัติของชาติ' ส่งผลให้ประชาชีแห่แหนไปกินร้านแกจนต้องจองล่วงหน้ากันถึงสองเดือนกว่าจะถึงคิวอร่อยเลยทีเดียว (ส่วนสนนราคาก็แพงหูฉี่เหยียบหมื่นบาทต่อหัวเลยล่ะครั่บ)


นี่คือสารคดีเพื่อคนที่ชอบกินซูชิ
David Gelb ผกก.หนุ่มวัย 29 ขวบรับหน้าที่ถ่ายทอดเรื่องราวของปู่จิโร่ได้อย่างน่าชื่นชม ด้วยการพาไปดูทุกขั้นตอนการทำซูชิที่ใส่ใจในทุกรายละเอียดแบบสุดๆ ของปู่และบริวาร จนออกมาเป็นซูชิที่อร่อยแสงออกปากเงินหมดกระเป๋า พร้อมกับเจาะเรื่องราวชีวิตของปู่และลูกชายทั้งสอง และปรัชญาการทำงาน การดำเนินชีวิตของปู่ที่มองการทำซูชิเปรียบดั่งงานศิลป์ เป็นงานที่แกมอบถวายชีวิตให้กับมันแบบไม่มีลิมิตชีวิตเกินร้อยมาตลอดหลายสิบปี จนไม่มีทีท่าว่าแกจะยอมปลดเกษียณให้ลูกชายมารับช่วงต่อซะที (จะขอทำจนตายว่างั้นเหอะ)


สองพ่อลูกช่วยกันทำมาหากิน
งานนี้คนที่ชอบกินซูชิคงจะถูกใจกันเป็นพิเศษ เพราะหนังจัดซูชิมายั่วน้ำลายแบบเต็มๆ หลากหลายหน้า ชนิดที่ว่าอย่าได้ดูสารคดีเรื่องนี้ในขณะท้องว่าง เพราะหากดูแล้วต้องทำให้ท่านน้ำลายยืดอยากกินซูชิขึ้นมาอย่างสุดๆ เป็นแน่ ตัวสารคดีทำออกมาแบบเรียบง่าย นุ่มนวล แต่ดูเพลินไม่น่าเบื่อ เต็มไปด้วยข้อคิดดีๆ จากคุณปู่ รวมทั้งให้สาระความรู้ในเรื่องวิถีชิวิตอีกมุมหนึ่งของชาวญี่ปุ่น แม้ว่าจะยังเจาะชีวิตของปู่และครอบครัวได้ไม่ค่อยลงลึกเกินไปกว่าเรื่องที่ทำงานก็ตามที (คือไม่ยักพาไปดูบ้านปู่ซะหน่อยว่าแกนอนที่ไหนยังไง)


ขายซูชิจนรวยแทบแย่ยังปั่นจักรยานไปซื้อปลาอยู่เลย
จริงๆ แล้วหนังมีประเด็นที่น่าสนใจมานำเสนอเยอะแยะ แต่ตัวสารคดีเลือกที่จะเน้นไปที่ความลุ่มหลงในซูชิของปู่จิโร่ ที่ความทุ่มเทอุตสาหะของแกตลอดทั้งชีวิตที่ผ่านมาก็ได้ส่งผลให้แกมีชื่อเสียงระดับโลกและกลายเป็นตำนานที่ยังมีลมหายใจไปแล้วในทุกวันนี้ ซึ่งสารคดีเรื่องนี้ก็แสดงให้เห็นอีกครั้งว่าชาวญี่ปุ่นเนี่ยเวลาจะทำอะไรก็ทุ่มเทตั้งใจโคตรๆ ซึ่งเป็นวิธีคิดและค่านิยมที่น่าเอาเยี่ยงอย่างจริงๆ ว่าแล้วก็ไปตลาดนัดหาซื้อซูชิชิ้นละห้าบาทมากินตามยถากรรมต่อดีกว่าเรา หุหุ


นี่ไม่ใช่ขบวนการพาวเวอร์เรนเจอร์หรือวงบอยแบนด์ที่ไหนเน้อ
  • + สารคดีสำหรับคนชอบกินซูชิ (แต่ไม่ชอบก็ยังดูเอาสาระได้อยู่) ที่นอกจากจะน่ากิน น่าดูแล้วยังให้ความรู้ ข้อคิดอีกตรึม
  • - ยังเจาะชีวิตของปู่ไม่ครบทุกด้าน และสำหรับคนที่เฉยๆ กับซูชิก็อาจจะเบื่อสารคดีเรื่องเอาได้ง่ายๆ นะ





*รีวิวสารคดีที่เกี่ยวกับญี่ปุ่นเรื่องอื่นๆ ภายในบล็อก*


วันเสาร์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

Being Flynn (2012): พ่อลูกหัวใจร่อนเร่


Being Flynn (2012) :

หนังดราม่าเล็กๆ เรื่องนี้สร้างจากหนังสือ 'Another Bullshit Night in Suck City' ของนักเขียนชาวมะกันนาม Nick Flynn ที่เล่าเรื่องราวชีวิตบัดซบของเขาซึ่งต้องสูญเสียแม่ไปจากการฆ่าตัวตาย และได้มาเจอพ่อที่ทิ้งเขาไปตั้งแต่ยังเด็กอีกครั้งที่สถานพักพิงคนจรจัดในนิวยอร์คซึ่งเขาทำงานอยู่ จนเล่นเอาเขาตั้งตัวแทบไม่ทันเหวอรับประทานไปเลยทีเดียว

ป๋า De Niro กับผลงานที่เข้าท่าอีกบทของเขา
เวอร์ชั่นหนังนี้ได้ ผกก.Paul Weitz ที่เคยทำหนังขวัญใจของใครหลายคนอย่าง About a Boy (2002) มารับหน้าที่เขียนบทและกำกับโดยได้สองนักแสดงมากฝีมือแต่ต่างรุ่นอย่าง Robert De Niro และ Paul Dano มารับบทสองพ่อลูกประจำเรื่อง และมี Julianne Moore มาร่วมแจมในบทแม่ของพระเอกเรา ส่วนอีกคนที่น่าสนใจคือ Lili Tayler ภรรยาตัวจริงเสียงจริงของ Flynn ที่มาร่วมแสดงในบทสมทบของหนังอีกด้วยแล


มีนักแสดงระดับฝีมือมารับประกันความแจ่ม
คนที่ชื่นชอบกับสไตล์หนังของ ผกก.Weitz อยู่แล้วคงได้เฮ เพราะในเรื่องนี้เขาก็ยังมากับสไตล์เดิมอันเป็นเอกลักษณ์คือ หนังมาด้วยบรรยากาศดราม่าเนื้อหาเหมือนจะซีเรียสแต่กลับอบอุ่นและแฝงไปด้วยอารมณ์ขันนิดๆ พ่วงด้วยการนำเสนอที่เก๋หน่อยๆ ผสมเข้ากับบรรดาเพลงเพราะๆ ที่คัดกันมาได้อย่างเข้าท่า และที่ได้ใจไปเลยคือการที่ได้ Badly Drawn Boy ศิลปินเพลงชาวอังกฤษมาดูแลดนตรีประกอบให้ทั้งเรื่องอย่างเช่นที่เคยทำมาแล้วในหนัง About a Boy นั่นไง


Paul Dano กำลังหลีหญิง
แต่ถึงหนังจะมีนักแสดงยอดฝีมือ การเล่าเรื่องที่เข้าที แต่ตัวพล็อตและเรื่องราวของสองพ่อลูกคู่นี้เองที่ยังไม่ค่อยสามารถสร้างความประทับใจแก่คนดูได้มากเท่าไหร่ ถึงกระนั้นสำหรับคนที่ชอบดูหนังที่พูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูก หรือเรื่องราวชีวิตต้องดิ้นรน ก็ยังน่าจะดูหนังได้อย่างพอใจได้อยู่หรอก โดยเฉพาะข้อคิดต่างๆ น่ะมีมาให้เก็บเกี่ยวอยู่เพียบเชียว

คนซ้ายคือเมียตัวจริงของคนเขียนเรื่อง
หลายครั้งชีวิตคนเราต้องประสบพบเจอกับวันร้ายๆ เรื่องร้ายๆ จนรู้สึกย่ำแย่ท้อถอยไม่ว่าจะเกิดจากการตัดสินใจของเราเองหรือไม่ก็ตาม แต่ถ้าหากเรามีทัศนะคติที่ถูกต้องและยืนหยัดอดทนมากพอ เวลาแย่ๆ เหล่านั้นก็จะผ่านพ้นไป เหมือนคำพูดที่เราเคยได้ยินมานักต่อนักแล้วว่า "หลังฝนตกยังมีฟ้าที่สดใสรออยู่เสมอ" ซึ่งเราก็ต้องยอมรับล่ะว่ามันเป็นสัจธรรมอีกอย่างของชีวิตคนเราล่ะนะ
  • + หนังดราม่าจากชีวิตจริงที่ทำได้น่าดู นักแสดงแจ่ม เพลงเพราะ ให้แง่คิดดี
  • - หนังเสนอความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกได้ยังไม่ค่อยโดนใจมากเท่าไหร่






*ช่วงเพลงในหนัง*

Badly Drawn Boy
เมื่อครั้งหนัง About a Boy ผกก.Weitz ตัดสินใจใช้บริการของศิลปินชาวอังกฤษผู้มากฝีมืออย่าง Badly Drawn Boy ให้ทำดนตรีประกอบ ซึ่งผลปรากฏว่าทั้งหนังทั้งคนทำดนตรีประกอบกอดคอดังด้วยกันทั้งคู่ จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ทั้งคู่จะกลับมาร่วมงานกันอีกครั้ง โดยดนตรีประกอบของหนังเรื่องนี้ก็ยังออกมาเพราะน่าฟังส่งเสริมอารมณ์ให้ตัวแก่หนังสุดๆ โดยเฉพาะเพลง Let it Rain ในช่วงเอนด์เครดิตที่เล่นเอาเราตกหลุมรักแทบจะทันทีที่ได้ฟัง ว่าแล้วก็ลองมาฟังดูกันเลยจ้า

MP3: Badly Drawn Boy - Let it Rain



*รีวิวหนังของ ผกก.Paul Weitz เรื่องอื่นๆ ภายในบล็อก*