วันศุกร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2553

Cell 211 (2009): นักโทษก็คนเหมือนกันนะเฟ้ย!


Cell 211 (2009) :
ใครชอบหนังคุกๆ จากฝรั่งเศสอย่าง A Prophet (2009) คงได้มีเฮ เพราะหนังคุกๆ จากสเปนเรื่องนี้ ก็มาในสไตล์ จริงจัง ขึงขัง เช่นเดียวกัน แถมนอกจากหนังจะทำเงินอย่างงดงามแล้วยังสามารถกวาดรางวัล Goya Awards (รางวัลออสก้าร์ของสเปน) ครั้งล่าสุดในสาขาสำคัญๆ ไปครองได้ตั้ง 8 รางวัล(จากที่เข้าชิงทั้งหมด 16 รางวัล) ข้ามหน้าข้ามตาหนังฟอร์มยักษ์ตัวเต็งหามอย่าง Agora ไปหน้าตาเฉยเลย แบบนี้แสดงว่าไม่ธรรมดาซะแล้วสิเนี่ย


การจราจลในคุกเป็นเรื่องธรรมชาติ
หนังเสนอเรื่องราววุ่นๆ ในเรือนจำแห่งหนึ่ง เมื่อ Juan Oliver (Alberto Ammann) ผู้คุมมือใหม่ถอดด้ามได้เข้าไปดูงานก่อนเริ่มปฏิบัติหน้าที่จริงหนึ่งวัน แล้วงานก็เข้า เมื่อ Malamadre (Luis Tosar) นักโทษขาใหญ่ประจำคุก พาเหล่านักโทษก่อจราจลยึดเรือนจำขึ้นพอดี หนุ่ม Juan เราก็ดันหนีออกมาไม่ทันซะด้วย ถ้าขืนพวกนักโทษจับได้ล่ะซวยเป็นแน่ เลยต้องจับพลัดจับผลูใช้ไหวพริบเคลมว่าตนเองเป็นนักโทษใหม่ซะเลย แล้วเขาก็ต้องพยายามชิงไหวชิงพริบและทำทุกวิถีทางเพื่อเอาตัวรอดออกมาจากเรือนจำแห่งนี้ให้ได้ เพื่อจะได้ออกไปพบหน้าเมียรักที่กำลังท้องแก่ของเขาอีกครั้งเอย


พระเอกเราต้องคอยแอ๊บเป็นนักโทษอยู่ตลอดเรื่อง
แค่เริ่มต้นมาก็มีฉากชวนเสียวซะแล้ว ซึ่งก็สามารถจับความสนใจของคนดูได้โดยทันที และก็ตรึงคนดูได้ตลอดทั้งเรื่องซะด้วย ผกก.Daniel Monzón เสนอภาพเรือนจำแบบที่ดูน่าเชื่อถือ บรรดานักโทษที่เหมือนกับคนทั่วๆ ไป ไม่ได้รอยสักเต็มตัวและหุ่นล่ำบึ้กแบบที่เรามักเห็นในหนังฮอลลีวู้ด หนังเดินเรื่องเร็ว มีลุ้นตลอด ถึงฉากใช้ความรุนแรงจะมีอยู่เยอะแต่ก็ไม่ได้เน้นขายแหว่ะ แต่เน้นเสนอการชิงไหวชิงพริบระหว่างพวกนักโทษกับคนของทางการ ที่ทำออกมาได้ดูสนุก นักแสดงก็เล่นกันได้ดี โดยเฉพาะพี่เหม่ง Tosar เราที่ช่างเป็นตัวละครที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นน่าจดจำเสียจริงๆ


คนเราทำอะไรๆ ได้ทุกอย่างเพื่อเอาตัวรอด
ดูหนังแล้วก็มานึกถึงเรื่องจริง ที่บางครั้งเรามักได้ข่าวว่า ที่เรือนจำโน้น เรือนจำนี้ หรือที่บ้านเมตตา มีการจราจล ประท้วงกันวุ่นวาย ซึ่งส่วนใหญ่ก็เกิดจากความไม่พอใจ ที่ถูกผู้คุม ผู้ดูแล ข่มเหง หรือถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม จริงอยู่ที่นักโทษเหล่านั้นทำผิดกฏหมาย ทำเรื่องที่เลวร้าย แต่ก็อย่าลืมว่าพวกเขาก็เป็นคนเหมือนกัน มีชีวิต จิตใจ มีความคิด แม้จะถูกจำกัดเสรีภาพแต่อย่างน้อยพวกเขาก็ควรได้รับปฏิบัติอย่างที่คนพึงจะได้รับบ้าง ไม่ต้องอะไรมากเลย ในคุกพี่ไทยเรา ผู้ต้องขังยังต้องนั่งยองๆ ลงกับพื้น ยามคุยกับผู้คุม ห้ามยืนตีเสมอ แล้วก็ต้องเรียกพวกเขาว่า'นาย' ไม่ว่าเขาจะเป็นข้าราชการชั้นผู้น้อยแค่ไหนก็ตาม ฟังๆ แล้วนึกว่าเมืองไทยแดนม็อบเรายังไม่เลิกทาสซะอีกนะเนี่ย เหอๆ
  • น่าดูเพราะ: เป็นหนังคุกๆ ที่ทำได้หนักแน่น น่าเชื่อถือ ดูสนุกมีลุ้น การแสดงเด่น แจ่มมากๆ เลย
  • ไม่น่าดูเพราะ: อย่าหวังว่าจะออกแนว Prison Break ซะล่ะ ไม่งั้นผิดหวังแน่ และหนังเกี่ยวกับคุกๆ แบบนี้ ช่างไม่มีอะไรน่าเจริญใจเอาซะเลย


วันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2553

Iron Man 2 (2010): มหาประลัย เศรษฐีเกราะเหล็ก


Iron Man 2 (2010) :
ภาคแรกในปี 2008 ฮิตซะระเบิดระเบ้อ แถมยังทำให้คุณ Robert Downey, Jr.(Sherlock Holmes [2009]) กลับมาโด่งดังแบบเถิดเทิงอีกด้วย เรียกได้ว่าผู้ที่เกี่ยวข้องกับหนังล้วนแฮปปี้ดีแทคกันถ้วนหน้า ว่าแล้วก็เป็นธรรมดาที่ต้องมีภาคต่อออกมาให้ชมกันอีก ที่แน่นอนว่าอะไรๆ ก็ต้องเบิ้ลเข้าไปอีกเท่าตัวหนึ่ง ไม่ว่าตัวละคร ทุนสร้าง แม้แต่ตัว Iron Man ที่มีคู่หูเพิ่มขึ้นมาด้วย แต่ว่าความสนุกจะเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวหนึ่งหรือเปล่านั้นก็ต้องว่ากันอีกทีนะ


คราวนี้เจอตัวโกงผู้นิยมการเฆี่ยนเป็นชีวิตจิตใจ
ภาคนี้คุณ Tony Stark (Downey, Jr.) รับมือกับความโด่งดังในฐานะ Iron Man ได้เป็นอย่างดี แต่ปัญหาก็ตามมาคือ รัฐบาลอยากได้เทคโนโลยีของเขาไปครอบครองจนตัวสั่น คู่แข่งทางธุรกิจที่หมั่นไส้และหาทางเล่นงานเขาให้จงได้ และศัตรูตัวฉกาจที่อยู่ๆ ก็โผล่มาเล่นงานเขาได้จนเกือบเดี้ยง ที่หนักหนาสาหัสที่สุดคือ Arc Reactor แหล่งพลังงานที่ฝังอยู่กลางหน้าอกของเขาค่อยๆ ทำให้เขาใกล้ตายเข้าทุกที งานนี้ Iron Man เราจะจัดการปัญหายุ่งๆ เหล่านี้ยังไงกันหนอ? ก็ต้องตามไปให้กำลังใจกันเอานะจ้ะ


นักแสดงคนใหม่ที่มาเสียบแทนในบทเพื่อนพระเอกและ ผกก.ที่บทบาทเยอะขึ้น
ผกก.Jon Favreau จากภาคแรกกลับมาอีกครั้งด้วยความมั่นใจ และก็สามารถทำภาคต่อที่มีคุณภาพมามอบให้แก่แฟนๆ ได้ ด้วยทุนสร้างที่มากขึ้น บทที่ไม่บ้องแบ๊ว นักแสดงหลักที่มีเสน่ห์ และนักแสดงสมทบที่คุ้นหน้าหลายคน(ตัว ผกก.เราในบทคนขับรถของพระเอกก็มีบทบาทในภาคนี้เยอะขึ้นตรึมเลย) งานสร้างที่ดูดีตามมาตรฐานสูงสุดของฮอลลีวู้ด ก็ล้วนทำให้หนังดูดีมีราศีขึ้นอีกแยะเลย


เจอปัญหารุมเร้าแบบนี้พี่แกก็ต้องนั่งคิดหนักเป็นธรรมดา
ถึงกระนั้นด้วยความที่เป็นหนังซูเปอร์ฮีโร่สำหรับผู้ใหญ่ใจเด็ก บทสนทนาตรึมแบบในภาคแรก เด็กๆ อาจดูแล้วมีเบื่อ หนังได้เปรียบตรงที่ไม่ต้องปูเรื่องให้มากความ มาถึงก็ใส่ชุด Iron Man กันเลย แต่สิ่งที่เสียไปคือ เสน่ห์เล็กๆ น้อยๆ อย่างฉากจำพวกการลองผิดลองถูกในการพยายามเป็นซูเปอร์ฮีโร่ของพระเอกแบบในภาคแรกไปแทน


มีสาวสวยมาทำให้พระเอก(และคนดู)เพ้ออีกคน
ด้านนักแสดง คุณ Downey, Jr.ยังคงเปี่ยมเสน่ห์ในบทซุปเปอร์ฮีโร่ เศรษฐี จอมอัจฉริยะ ผู้มั่นใจในตนเอง ถึงขั้นหลงตัวเอง ซึ่งคนดูคงเกลียดแกไม่ลงหรอก ในขณะที่นักแสดงสมทบหน้าใหม่อย่าง Don Cheadle (Brooklyn's Finest [2009]) ที่มาเสียบแทน Terrence Howard ก็มาแบบเฉยๆ และหน้าตาตอนแกใส่ชุดเกราะบู๊ดูไม่ค่อยอินเลย(ความคิดเห็นส่วนตัว) ส่วนน้องหนู Scarlett Johansson (The Prestige [2006]) เซ็กซี่และทะมัดทะแมงในฉากบู๊ดี อ่อ ตัวโกงอย่าง Mickey Rourke (The Wrestler [2008]) ก็ดูจะทุ่มเทให้กับบทดีมาก แต่ว่าอุตส่าห์มาอย่าง มาดเหลือกิน ดูร้ายกาจดี แต่ไหงแกกลับเดี้ยงง่ายไปหน่อยซะงั้น


คราวนี้มีคู่หูมาช่วยกันบู๊ด้วยอีกตัว
รวมๆ แล้วนี่เป็นหนังภาคต่อที่ทำได้อย่างน่าพอใจ เป็นหนังซัมเมอร์ขนานแท้ ที่เหมาะสำหรับแฟนๆ ตัวละครตัวนี้ และถ้าใครทนทู่ซี้นั่งรอจนเครดิตท้ายเรื่องจบ ก็จะได้เห็นการเกริ่นถึงซุปเปอร์ฮีโร่อีกตัวหนึ่ง ที่จะมีหนังของตนออกมาเป็นรายต่อไป ซึ่งก็นะ อุตส่าห์นั่งรอซะตั้งนาน(รอบที่ผมดู เหลือผมในโรงคนเดียว) พอมาถึงก็มาแบบแป๊บๆ ไม่น่าฮือฮาเอาซะเลย เหอๆ
  • น่าดูเพราะ: เป็นหนังภาคต่อที่ทำได้ดี ดูเพลิน แฟนๆ จากภาคแรกคงไม่พลาดกัน
  • ไม่น่าดูเพราะ: ยังคงเต็มไปด้วยบทสนทนา เด็กๆ ดูแล้วคงไม่สนุกเท่าผู้ใหญ่(ใจเด็ก)ดู



*ช่วงของแถม*

ภาคนี้หันใช้บริการเพลงของวงร็อคชาวออสซี่อย่าง AC/DC
เพลง Iron Man ของวงในตำนานอย่าง Black Sabbath ถูกนำมาใช้ได้อย่างลงตัวสุดๆ ในภาคแรก พอมาถึงภาคสองนี้ผู้สร้างก็หันมาใช้บริการวงฮาร์ดร็อคในตำนานจากแดนจิงโจ้อย่าง AC/DC บ้าง ซึ่งว่าก็ว่าเหอะ ถึงจะเป็นเพลงร็อคคลาสสิคเหมือนกัน แต่พอมาอยู่ในหนังแล้วก็รู้สึกว่าไม่ขลังเท่าเพลงของ Black Sabbath จากภาคแรกเลย(ความคิดเห็นส่วนตัวนะ) ยังไงซะเราก็มีมาให้ฟังกันทั้งเพลงจากภาคแรกและภาคสองเลยจ้า


MP3: Black Sabbath - Iron Man


True Legend (2010): ตำนานจอมยุทธ์หมัดเมาสาด


True Legend (2010):
โกฮอลลีวู้ดไปเป็น ผกก.คิวบู๊ให้หนังฝรั่งจนโด่งดังไปทั่วซะหลายปีดีดัก ในที่สุด ผกก.หยวนหวู่ปิง(ผู้เคยรับผิดชอบคิวบู๊ในหนังดังๆ อย่าง The Matrix, Kill Bill 1&2 และ Crouching Tiger Hidden Dragon) ก็ขอกลับมารับหน้าที่กำกับหนังอีกครั้ง หลังจากที่ทิ้งช่วงจากผลงานเรื่องก่อนอย่าง Iron Monkey 2 (1996) กว่า 14 ปีด้วยกันแน่ะ


คิวบู๊คือสิ่งที่ดีที่สุดในหนังเรื่องนี้
แถมการกลับมาครั้งนี้ไม่ธรรมดาซะด้วย เพราะนอกจากจะเป็นการจับเอาเรื่องราวของจอมยุทธ์ในตำนานอย่าง ยาจกซู มาขึ้นจอเงิน(อีกครั้ง?)แล้ว ยังชูจุดขายของหนังอันแสนดึงดูดความสนใจว่านี่คือหนังกำลังภายในสามมิติเรื่องแรกของโลกซะด้วย(ป๊าด!) ซึ่งก็ได้ผลดีเพราะคอหนังหลายคนรีบไปพิสูจน์ให้เห็นกับตาตนเองในทันใด แต่ผลปรากฏออกมาว่ามีหลายคนพากันบ่นไปตามๆ กันว่าโดนยาจกซูต้มเอาซะแล้ว เพราะหนังมีฉากสามมิติเพียงหยิบมือ แถมไอ้ที่มีก็ดูงั้นๆ ไม่น่าตื่นตาตื่นใจเอาเสียเลย(ฮ่วย)


ดูแต่รูปแล้วอย่าเพิ่งคิดว่าเป็นหวงเฟยหงภาคใหม่ล่ะ
ทางเราได้ดูฉบับสองมิติธรรมดาๆ จึงไม่ขอพูดถึงเรื่องนั้น(แต่คิดว่าฉบับไหนก็คงไม่ค่อยต่างกันนักหรอกมั้ง เหอๆ) จึงขอว่ากันถึงภาพรวมโดยทั่วไปของหนังก็แล้วกัน ซึ่งก็ปรากฏว่า เป็นหนังกำลังภายในที่ออกแบบคิวบู๊ออกมาได้ดูดี ไม่เสียชื่อ ผกก.เขาเลย ส่วนทุนสร้างก็ไม่ใช่จิ๊บๆ ทั้งเสื้อผ้า หน้าผม โลเกชั่น ดูดีทีเดียว (งานซีจีก็พอใช้) เหล่าดาราก็ยกกันมาเพียบ ทั้ง มิเชล โหยว, เจย์ โชว์, เลา เกาเฟย (หรือนักพรตคิ้วขาวใน Kill Bill) หรือแม้แต่ David Carradine ผู้ที่มาตายแปลกในบ้านเราก็ยังอุตส่าห์มาแสดงกับเขาด้วย


พ่อหนุ่ม เจย์ โชว์ มาทำอะไรกับเขาในเรื่องนี้ด้วยเนี่ย?
แต่หนังก็ประสบปัญหาเดิมๆ แบบหนังจีนทั่วๆ ไป คือมีเรื่องที่จะเล่าแยะ แต่เวลาจำกัดจำเขี่ย จึงมักต้องตัดทอนเล่าเรื่องราวอย่างรวบรัด เดินเรื่องเร็ว ฉับๆๆ คนดูจึงขาดความผูกพันธ์กันตัวละครหลัก แถมการมีฉากการต่อสู้อันสุดแจ่มไปตั้งแต่กลางเรื่องแล้ว พอมาถึงฉากบู๊ช่วงท้ายๆ เลยดูกร่อยไปถนัดใจ(น่าจะจบซะตั้งแต่กลางเรื่องละ) ส่วนนักแสดงถึงจะมีเยอะ แต่ก็ไม่ค่อยได้ทำอะไรกันมากนัก ยกเว้นนางเอก โจวซุน ที่สามารถพาความอบอุ่นใจมาสู่หนังได้อยู่


ตัวโกงหน้าขาวว่อกเป็นผีจูออนเชียว
หนังมาในแบบพิมพ์นิยมของหนังจีนที่เน้นในเรื่องการแก้แค้น ครอบครัว และมีแอบปลุกเลือดรักชาติ(จีน)แบบหอมปากหอมคอ นี่ถ้าไม่ได้คิวบู๊แจ่มๆ คงแย่เลย ถ้าดูแบบไม่คิดอะไรมากนี่ก็เป็นหนังกำลังภายในที่ดูได้เพลินๆ เรื่องหนึ่ง แต่ว่าก็ว่าเหอะ ในหนังขณะที่พระเอกเราเอาแต่มุ่งมั่นในการฟื้นกำลังภายในทั้งวันเพื่อไปกู้ลูกคืน ฝ่ายภรรยาต้องคอยทำงานหนักเพื่อหาเลี้ยงตลอด เห็นแล้วก็แปลกๆ ดีนะ นี่ถ้าไม่มีเมียทำงานหาเลี้ยง พระเอกเราคงไม่มีแรงไปฝึกวิทยายุทธ์แน่เลยสิเนี่ย(เหอๆ) หรือหนังเรื่องนี้ต้องการจะบอกเราว่า เบื้องหลังจอมยุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่ ก็คือภรรยาแสนประเสิรฐนั่นเอง(?)
  • น่าดูเพราะ: งานสร้างดูดี คิวบู๊แจ่มมั่กๆ โลเกชั่นก็งดงาม ดารามากมี ดูได้เพลินๆ นะจ้ะ
  • ไม่น่าดูเพราะ: อย่าคาดหวังว่าจะตอบสนองด้านสามมิติได้อย่างน่าพอใจ และนอกจากฉากบู๊แล้วหนังยังทำได้ไม่ดีในการเล่าเรื่องนัก


วันจันทร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2553

The Proposition (2005): น้องรักหักเหลี่ยมโหด



The Proposition (2005) :
หลังจาก ผกก.John Hillcoat มาทำให้ติดใจจากผลงานเรื่องล่าสุดของเขาอย่าง The Road (2009) งานนี้ก็เลยต้องขวนขวายหาผลงานเรื่องก่อนๆ ของเขามาดูซะหน่อยแล้ว ซึ่งนี่ก็เป็นหนังคาวบอยออสเตรเลียที่ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว เพราะนอกจากมีดารามากฝีมือมาร่วมงานอย่างคับคั่งแล้ว ที่น่าสนใจขึ้นไปอีกคือบทหนังนั้นเป็นฝีมือของนักดนตรีรุ่นเก๋าชาวออสเตรเลียอย่าง Nick Cave ซึ่งน้าเขาก็จูงมือ Warren Ellis มาทำดนตรีประกอบหนังให้อีกด้วยแน่ะ (ไม่กำกับเองด้วยซะเลยล่ะจ้ะน้า)


คุณพี่ Guy Pearce กับสภาพโทรมๆ เหมือนใน The Road
หลังจากสองพี่น้องตระกูลโจรอย่าง Charlie (Guy Pearce จาก The Hurt Locker [2008]) และ Mike Burns ถูกทางการบุกมาจับตัวถึงที่กบดาน ผู้กอง Morris Stanley (Ray Winstone จาก The Departed [2006]) ผู้นำการจับกุมได้ยื่นข้อเสนอ(ที่ห้ามปฏิเสธ)ให้ Charlie ต้องไปตามฆ่าโจรจอมโหดที่เป็นพี่คนโตของตระกูลอย่าง Arthur (Danny Huston จาก 30 Days of Night [2007]) ที่กำลังกบดานอยู่ที่ไหนสักแห่งให้จงได้ภายในเก้าวัน(ซึ่งก็จะถึงวันคริสตมาสพอดี) ไม่เช่นนั้นทางการจะแขวนคอน้องคนเล็กที่ถูกควบคุมไว้เป็นตัวประกันให้เดี้ยงซะ งานนี้พี่คนกลางอย่าง Charlie ก็คิดหนักเลยสิครับว่าจะทำยังไง จะปล่อยให้น้องตาย หรือจะหักเหลี่ยมโหดพี่ชายดีหนอ??

ดาราคุณภาพมากหน้าหลายตา
ถึงหน้าหนังจะเป็นหนังคาวบอยแดนจิงโจ้แต่จริงๆ แล้วน่าจะเป็นหนังดราม่าที่กล่าวถึงความเป็นมนุษย์และความรักภายในครอบครัวเหมือนใน The Road เสียมากกว่า เพราะหนังแทบจะไม่มีฉากดวลปืนกันลั่นทุ่งเหมือนหนังคาวบอยมะกันเลย แต่จะออกแนวนิ่งๆ ดูอาร์ตหน่อยๆ เสียด้วยซ้ำ ทว่าบทจะฆ่ากันก็โหดไม่ใช่ย่อย(อันที่จริงโหดสุดๆ เลยล่ะ) ในขณะที่เหล่านักแสดงคุณภาพก็ล้วนทำ หน้าที่ของตนได้อย่างดีเยี่ยมไม่มีใครเด่นเกินใคร


สองศรีพี่น้องต้องมาหักเหลี่ยมโหดกันหรือเนี่ย?
ส่วนงานด้านภาพนั้นก็น่าอเมซิ่งเสียจริง ที่นอกจากจะถ่ายโลเกชั่นถิ่นไกลปืนเที่ยงในออสเตรเลียมาได้สวยงามแปลกตาแล้วยังสามารถเก็บรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ แบบที่หนังส่วนใหญ่คงจะไม่ทำกันมาเสนอได้อย่างเข้าทีอีกด้วย (อาทิการเน้นเสนอภาพฝูงแมลงวันที่แทบจะเป็นประชากรหลักของออสเตรเลียในยุคโน้นเลย) ยิ่งรวมดนตรีประกอบที่แปลกหูแต่มีเสน่ห์เข้าไปอีกก็เลยทำให้หนังดูเข้าทีดีจริงๆ แต่แน่นอนที่หนังนิ่งๆ แบบนี้อาจจะเป็นที่น่าเบื่อเอาได้ง่ายๆ เช่นกัน ดังนั้นถ้าชอบ The Road เป็นทุนเดิมก็น่าจะชอบหนังเรื่องนี้ได้ไม่ยากเช่นกัน


บทจะโหดก็โหดกันเลือดสาดทีเดียว
  • น่าดูเพราะ: เป็นหนังคาวบอยแดนจิงโจ้ที่มุ่งเน้นบุ๋นมากกว่าบู๊ การแสดงเด่น สาระมี งานด้านภาพและดนตรีเยี่ยม คนที่ชอบ The Road คงน่าจะปลื้มหนังเรื่องนี้เช่นกัน
  • ไม่น่าดูเพราะ: หนังนิ่งๆ ไม่ค่อยบู๊ อาจดูน่าเบื่อไม่ใช่เล่น



*ช่วงอันเนื่องมาจากหนัง*

Nick Cave และ Warren Ellis
คอเพลงคงจะคุ้นเคยกับชื่อของ Nick Cave กันเป็นอย่างดีแล้ว แต่น้อยคนนักจะรู้ว่าเขานั้นได้เข้ามาเจ๊าะแจ๊ะกับงานดนตรีประกอบหนังตั้งแต่ยุค 80 แล้ว ซึ่งเขากับตัว ผกก.John Hillcoat ก็ซี้กันมานานและได้ผลัดกันไปทำงานให้กันอยู่เรื่อยๆ วันดีคืนดีน้า Nick ก็ได้แท็คทีมกับ Warren Ellis นักดนตรี/นักแต่งเพลง(ที่ร่วมวง The Bad Seeds ของเขาอยู่) มาทำดนตรีประกอบหนังด้วยกันซะเลย ว่าแล้วก็ขอขยายให้ฟังกันซะหน่อยนะ


อีกสองเรื่องที่น้าๆ ทำดนตรีประกอบให้
สองหนุ่ม(ใหญ่)หนวดเฟิ้มชาวออสซี่คู่นี้ เริ่มแท็คทีมทำดนตรีประกอบหนังจากเรื่องนี้เป็นเรื่องแรก ก่อนที่จะต่อด้วยหนังคาวบอยชื่อย๊าวยาวของ แบรด พิตต์ อย่าง The Assassination of Jesse James by the Coward Robert Ford (2007) ส่วนผลงานล่าสุดก็คือ The Road นั่นไง
ด้วยสไตล์การทำเพลงประกอบหนังที่มีเสน่ห์และเอกลักษณ์เฉพาะตัว เลยพอจะบอกได้ว่าคงจะมีผลงานของคู่หูดูโอ้คู่นี้ออกมาให้ฟังกันอีกแน่นอน เอาแค่หนังของ ผกก.
Hillcoat นี่ทั้งคู่ก็คงจะเหมาสัมปทานไว้ตลอดกาลแล้วมั้ง และสำหรับคนที่ยังนึกไม่ออกว่างานของสองหน่อนี้จะแจ่มสักแค่ไหนกันเชียว ทางเราก็ได้เตรียม MP3 ผลงานของพวกเขาบางเพลงมาให้ฟังกันเป็นตัวอย่างด้วยจ้า



วันศุกร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2553

The Sword with No Name (2009): องครักษ์พิทักษ์เธอ


The Sword with No Name (2009) :
ต้องยอมรับว่าที่หนังเกาหลีมาไกลถึงขนาดนี้ได้ ไม่ได้เพราะมีดีแค่เหล่าดาราหน้าตาน่ารักจิ้มลิ้มหรือความโรแมนติคเต็มล้นมามอบให้เท่านั้น แต่เพราะหนังเกาหลีส่วนใหญ่มีบทที่แข็งแรงและสร้างสรรค์ด้วย ว่าก็ว่าเหอะ ตั้งแต่ดูหนังเกาหลีมาหลายปี ยังไม่เคยเจอเรื่องไหนที่ห่วยเลย (อาจจะมีแต่เรายังไม่เคยดูมั้ง) หนังของพวกเขาอย่างน้อยๆ ก็อยู่ในระดับที่พอใช้ขึ้นไปทั้งนั้น แม้ระยะหลังๆ จะมาในรูปแบบซ้ำๆ จนเริ่มจะจับทางกันได้บ้างแล้วก็ตาม


รักต่างชนชั้นมาอีกแล้วครับพี่น้อง
มาถึงหนังเรื่องล่าสุดของ ผกก.คิม ยอง-จุน (Wanee & Junah [2001]) นี้ ก็ทำออกมาได้น่าสนใจ งานสร้างดูดีมีราคา ถึงหน้าหนังจะดูเหมือนหนังบู๊ฟันดาบย้อนยุคทั่วๆ ไป แต่จริงๆ แล้วเป็นเรื่องราวความรักต้องห้ามระหว่างหนุ่มสาวซะมากกว่า โดยมีเรื่องราวประวัติศาสตร์ การเมือง แม้แต่การปลุกเลือดรักชาติ(เกาหลี) มาผสมผสานได้อย่างค่อนข้างน่าพอใจเลยทีเดียว

ฉากบู๊ก็ใช้ได้เลยทีเดียว
ด้วยเรื่องราวความรักระหว่าง มูเมียว(โช ซังวู) ชายหนุ่มกำพร้าคนรับจ้างแจวเรือที่รับจ๊อบเป็นนักล่าหัวเงินรางวัล กับ แจยัง(ซู-เอ) หญิงสาวผู้สูงศักดิ์ที่กำลังจะเข้าพิธีวิวาห์กลายเป็นราชินีแห่งเกาหลีอยู่รอมร่อ ซึ่งแน่นอนรักนี้ย่อมมีอุปสรรค แต่เขายอมทำทุกอย่างเพื่อได้อยู่ใกล้ๆ เธอ รวมถึงการหาทางเข้ามาเป็นองค์รักษ์หลวงด้วย ในขณะที่ผู้ที่เป็นราชินีเยี่ยงเธอนั้น มีภาระหน้าที่รับผิดชอบอันใหญ่หลวง จนอาจต้องยอมละทิ้งความปรารถนาแห่งหัวใจของตนไป ยิ่งในยามที่สถานการณ์บ้านเมืองครุกรุ่นเช่นนี้ ที่แม้แต่ชีวิตของพระราชินียังแขวนอยู่บนเส้นด้าย เขาอาจจะเป็นเพียงคนเดียวที่ยืนหยัดอยู่ข้างเธอจนถึงที่สุด

นางเอกเราแสดงดีทีเดียว
หนังเริ่มต้นมาในคราบของหนังรักเกาหลีหวานๆ ทั่วๆ ไป(เพียงแต่มาในชุดโบราณ) แต่ในทันทีที่ตัวนางเอกได้เป็นราชินีแล้ว และมีเรื่องการเมือง การช่วงชิงอำนาจ จากทั้งในวังเอง และจากประเทศเพื่อนบ้านที่พยายามครอบงำ(ญี่ปุ่นยังคงเป็นตัวร้ายตลอดกาลสำหรับคนเกาหลี)เข้ามาเกี่ยว ก็ทำให้มีอะไรที่น่าสนใจขึ้นมาเยอะ ในขณะที่ฉากบู๊ ถึงจะไม่ค่อยมีเยอะ แต่ที่มีก็ทำออกมาในระดับที่น่าพอใจ ส่วนแกนหลักของเรื่องในเรื่องราวของความรัก ก็พอจะประทับใจได้อยู่ แม้จะมีฉากที่พยายามเค้นอารมณ์คนดูตามฟอร์มหนังเกาหลีพิมพ์นิยมอยู่ก็ตาม(แต่ถ้าทำได้ถึงก็ทำไปเถอะจ่ะ ไม่ว่าอะไร)

นักแสดงที่โดดเด่นก็คงไม่พ้นคุณนางเอกอย่างคุณ ซู-เอ ที่หน้าตาถึงจะสวยน้อยกว่าดาราไทยหลายๆ คน แต่การแสดงของเธอนั้นไม่เลวเลยทีเดียวกับบทบาทที่ต้องเก็บอารมณ์ตลอด แต่เมื่อถึงเวลาก็ฉายเสน่ห์ได้เต็มที่ บทจะสะเทือนอารมณ์ก็ทำหน้าที่ได้เจ๋ง หนังเกือบจะอยู่ในระดับพอใช้อยู่แล้ว แต่เพราะช่วงท้ายของหนังที่ทำได้น่าติดตามเลยทำให้หนังโดดเด่นขึ้นมาในที่สุด น่าดูครับเรื่องนี้

  • น่าดูเพราะ: เป็นหนังรัก ในคราบหนังโบราณฟันดาบ ที่มีงานสร้างดูดี และสามารถเพิ่มแง่มุมอื่นๆ เข้ามาได้อย่างน่าสนใจทีเดียว
  • ไม่น่าดูเพราะ: ใครเอียนหนังรักเกาหลี ที่มักมีฉากเค้นน้ำตา ก็พึงหลีกเลี่ยง




*ช่วงของแถม*

เพลงประกอบหนังแสนไพเราะที่ร้องโดย Lee Sun Hee
สิ่งที่น่าพอใจอีกอย่างหนึ่งในหนังเรื่องนี้คือดนตรีประกอบที่ไพะเราะมาก สามารถช่วยเสริมสร้างอารมณ์ให้กับตัวหนังได้แยะทีเดียว โดยเฉพาะเพลงช่วง End Title ที่ถึงเราจะฟังไม่ออกว่าเขาร้องอะไรกัน แต่ก็เพราะได้ใจชะมัด เราเลยนำ MV เพลงนี้มาให้ชม และหากท่านชื่นชอบ เราก็ได้เตรียม MP3 ของสองเพลงเด่นจากหนังมากำนัลแก่ท่านด้วย