วันพุธที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2553

Monsters (2010): ปิ๊งรักกลางดงสัตว์ประหลาด

Monsters (2010) :
หกปีที่แล้วองค์การนาซ่าได้ค้นพบว่ามีสิ่งมีชีวิตอื่นอาศัยอยู่นอกโลกชัวร์เลยส่งยานสำรวจไปจัดเก็บตัวอย่างเอเลี่ยนมา แต่ทว่าขากลับยานที่พวกเขาส่งไปดันตกแถบเม็กซิโกตอนบนถึงอเมริกา ไม่นานนักก็เกิดสัตว์ประหลาดร่างยักษ์สัณฐานคล้ายปลาหมึกเรืองแสงออกอาละวาด ทั้งสองประเทศเลยต้องกันพื้นที่ส่วนนี้ไว้เป็น "เขตติดเชื้อ" พร้อมกับสร้างกำแพงยักษ์ไว้ตลอดแนวชายแดนเพื่อป้องกันสัตว์ประหลาดเหล่านั้นเล็ดรอดเข้าประเทศ


สองพระนางของเรื่อง
แล้วเรื่องราวก็เริ่มขึ้นในเม็กซิโกเมื่อตากล้องหนุ่ม Andrew Kaulder (Scoot McNairy) ถูกนายจ้างขอร้อง(แกมบังคับ)ให้ส่ง Samantha Wynden (Whitney Able) ลูกสาวแสนสวยของตนที่ไปเที่ยวที่นั่นให้ขึ้นเรือเฟอร์รี่กลับอเมริกาให้ได้ก่อนที่ทางสหรัฐจะปิดพรมแดนไปอีกหกเดือน ซึ่งแรกๆ ทุกอย่างก็ดูเหมือนจะไม่มีปัญหาอะไร ถ้าเกิดว่าฝ่ายชายจะไม่เผลอทำทั้งพาสปอร์ต(ของฝ่ายหญิงด้วย)และเงินหายไปหมดซะก่อน จนในที่สุดพวกเขาเลยต้องตัดสินใจเดินทางผ่านเขตติดเชื้อกลับบ้านมันซะเลย ซึ่งงานนี้ทั้งคู่จะกลับไปถึงบ้านมั้ยนั้น ก็ต้องลุ้นกันเอาเองแล้วล่ะจ้า


พระเอกกำลังเครียดเพราะต้องลุยป่า
ฟังพล็อตเรื่องแล้วเอื้อแก่การเป็นหนังไซไฟสุดระทึกเอามากๆ แต่ ผกก.Gareth Edwards ขอเลือกที่จะทำเป็นหนังรัก+โรดมูวี่+ไซไฟ นิ่งๆ ซะมากกว่า ดังนั้นอย่าได้หวังว่าจะเจออะไรระทึกๆ มากมายเลย(แต่ก็มีบ้างประปราย) หนังเด่นตรงทิวทัศน์ป่าเขาอันงดงามของเม็กซิโกและซากปรักหักพังของบ้านเมืองอันรกร้างที่พระนางต้องตะลอนทัวร์ผ่าน รวมทั้งไอเดียต่างๆ ที่เกี่ยวกับเอเลี่ยนที่แม้จะไม่ใช่ของใหม่แต่ก็ทำออกมาได้จริงจังเข้าท่าดี ส่วนสองพระนาง(ที่เป็นแฟนกันจริงๆ)ก็ทำหน้าที่ได้ดี ดูมีเสน่ห์ทั้งคู่(โดยเฉพาะนางเอก อิอิ)


ถึงใส่หน้ากากก็ยังน่ารักอยู่ (อิอิ)
ที่เด็ดคือสุดเบื้องหลังงานสร้างของหนังเรื่องนี้ ที่ใช้งบสร้างแค่หมื่นห้าพันเหรียญ (เท่ากับหนัง Paranormal Activity เลย) แต่ก็สามารถเนรมิตสภาพบ้านเมืองอันรกร้างว่างเปล่าและปรักหักพังจากการรบกับเอเลี่ยนได้อย่างน่าเชื่อถือ รวมทั้งงานวิช่วลเอฟเฟกต์ก็ไม่ได้ออกมาขี้ริ้วขี้เหร่เลย (เพราะ ผกก.ทำงานด้านนี้มาอยู่แล้วด้วย) ทั้งยังทราบมาว่าตอนถ่ายทำก็ใช้ทีมงานแค่สองคนตะลอนๆ ไปกับนักแสดงนำทั้งคู่ แล้วก็ถ่ายทำแบบกองโจรตามมีตามเกิด ไม่ได้ขออนุญาตถ่ายทำให้เป็นเรื่องเป็นราวอะไรเลย ส่วนตัวประกอบก็หาใช้คนแถวนั้นเอานั่นแหล่ะ


สีเข้มๆ คือเขตติดเชื้อ
พอรู้ดังนั้นก็เลยกลายเป็นว่าต้องซูฮกหนังเรื่องนี้ไปในที่สุด เพราะด้วยเงินแค่นั้นก็สามารถทำได้ถึงขนาดนี้แล้ว(แล้วถ้าหากผู้สร้างมีเงินทุนมากกว่านี้จะทำได้ถึงขนาดไหนเนอะ) เพียงแต่เราต้องรู้เสียก่อนว่าหนังเรื่องนี้จะออกมาประมาณไหนแล้วเวลาดูจะได้ไม่ผิดหวัง เพราะหน้าหนังและเทรลเลอร์ชวนให้คิดไปว่าหนังคงจะระทึกมากๆ สุดท้ายแล้วก็โปรดจำชื่อ ผกก.คนนี้ไว้ให้ดี ว่าคราวหน้าเขาจะมีทีเด็ดอะไรให้ได้ทึ่งกันอีกมั้ย เอาแค่หนังรักในคราบหนังไซไฟเรื่องนี้ก็เด็ดพอดูแล้ว นับถือจริงๆ จ่ะ พ่อคุ๊ณณ


โปสเตอร์อีกแบบของหนัง
  • น่าดูเพราะ: เป็นหนังรักนิ่งๆ ในคราบหนังไซไฟสัตว์ประหลาดที่ทำได้ดี วิวสวย เอฟเฟกต์เข้าท่าทั้งที่มีทุนสร้างน้อยนิด น่าดูๆ
  • ไม่น่าดูเพราะ: หนังนิ่งๆ เรื่อยๆ ขาดแคลนฉากระทึก ดังนั้นถ้าหวังว่าจะเหมือน Cloverfield (2008) ล่ะก็มาผิดเรื่องแล้วเน้อ


วันจันทร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2553

A Nightmare on Elm Street (2010): เฟรดดี้ผี(ไม่)น่ารัก


A Nightmare on Elm Street (2010) :
ถ้าจะพูดถึงตัวละครจากหนังผีฝรั่งที่ดังๆ แห่งยุค 80 ล่ะก็ คงต้องนึกถึงเจ้าผีหน้ากากฮอกกี้สุดทื่อ Jason Voorhees จากแฟรนไชส์ Friday the 13th หรือไม่ก็เจ้าผีหน้าเละจอมฟ้อนเล็บ Freddy Krueger จากแฟรนไชส์ A Nightmare on Elm Street ขึ้นมาเป็นแน่เชียว และในยุคที่นิยมนำเอาหนังสยองในอดีตกลับมารีบู้ทสร้างใหม่เช่นทุกวันนี้(นำโดยอิตา Michael Bay เจ้าเก่า) เราก็ได้ดูเจ้า Jason เวอร์ชั่นใหม่กันไปเรียบร้อย ทีนี้ก็มาถึงคิวของเจ้า Freddy เวอร์ชั่นใหม่ที่ขอเน้นซีเรียสจริงจังไม่ติดตลกคาเฟ่แบบตัวเก่ากันบ้างล่ะ


เอาเล็บขูดกระดานดำซะจนสาวคนนี้เสียวฟันเลย
ก็เพราะว่าขึ้นชื่อเป็นหนังรีบู้ทเนื้อเรื่องเลยยึดเกาะจากตัวภาคหนึ่งในอดีตเป็นหลัก เมื่อเหล่าวัยรุ่นสี่ห้าคนต่างถูกเจ้าเฟรดดี้ก่อกวนหลอกหลอนยามฝันจนแทบไม่เป็นอันหลับอันนอน และที่หนักข้อกว่านั้นก็คือมันฆ่าพวกเขาทิ้งทีละคนซะด้วยสิ เล่นเอาพวกเขาต้องเร่งสืบหาความจริงก่อนที่จะสายเกินไป ว่าทำไมผีหน้าเละที่ใส่ถุงมือเหล็กที่มีกรงเล็บแหลมเฟี้ยวตัวนี้ถึงได้ตามจองล้างจองผลาญพวกเขานักหนอ


สาวๆ เรื่องนี้โชกเลือดกันน่าดู
สิ่งแรกที่ต้องกล่าวถึงเลยก็คือคนที่มาสวมบทเฟรดดี้ตัวใหม่แทนที่ Robert Englund ซึ่งก็คือ Jackie Earle Haley ผู้เคยวาดลวดลายชนิดเข้าตาคอหนังมาแล้วจาก Watchmen (2009) โดยผู้สร้างต้องการให้เขาเป็นเฟรดดี้ที่ไม่ติดตลก และเน้นเมคอัพหน้าของเขาให้เหมือนคนที่ถูกไฟไหม้จริงๆ ด้วย ซึ่งตรงนี้แทนที่จะส่งผลดี แต่กลับทำให้เฟรดดี้เวอร์ชั่นนี้ขาดเสน่ห์ดั้งเดิมที่แฟนๆ รักไป อีกทั้งเมคอัพที่หน้าเตอะก็ทำให้ตัว Haley ดูแข็งทื่อไม่สามารถแสดงอารมณ์ทางสีหน้าได้ ส่วนการใช้เสียงของเขาก็ดันออกมาเหมือนเสียงของ Chirstian Bale ในหนัง The Dark Knight (2008)ไปอีกซะงั้น ซึ่งไม่น่ากลัวเอาซะเลย ดังนั้นจึงถือว่าเฟรดดี้ตัวใหม่นี้สอบไม่ผ่านไปในที่สุด


คนจะอาบน้ำยังตามไปหลอกหลอนซะนี่
พอมาเจอทั้งบทและการกำกับของ Samuel Bayer ผู้กำกับมิวสิควีดีโอซึ่งเป็นเด็กปั้นของ Bay (หมอนี่ชอบปั้นคนสายอาชีพเดียวกันจริงๆ) ที่แสนจะธรรมดาขาดความสร้างสรรค์เข้าไปด้วย โดยเฉพาะการทำให้เฟรดดี้กลายเป็นพวกชอบมีเซ็กซ์กับเด็กแทนที่จะเป็นพวกโรคจิตชอบฆ่าเด็กเช่นเดิมก็ยิ่งทำให้ชวนยี้เข้าไปอีก ทั้งยังลดลวดลายลีลาล่อหลอกเหยื่อในความฝันหลากหลายรูปแบบ เหลือแต่การเดินดุ่มๆ มาฆ่าแบบทื่อๆ เท่านั้น ทั้งหนังยังเสียเวลาไปกับการออกตามสืบที่มาของเฟรดดี้ด้วย ซึ่งก็ทำให้ทุกอย่างดูกระจ่างเกินไป ลดความคลุมเครือน่ากลัวของมันลงไปแยะ


เปรียบเทียบโฉมหน้าเฟรดดี้เวอร์ชั่นเก่าและใหม่
ถึงกระนั้นหนังก็ยังพอมีดีอยู่บ้างตรงด้านเอฟเฟกต์ที่ดูดีตามมาตรฐานของหนังสยองขวัญทุนสูง และยังมีฉากโหดๆ ให้คอซาดิสม์ได้สะใจกันอยู่บ้าง แต่ตัวหนังโดยรวมนั้นธรรมดาเกินไป และยิ่งพอนำไปเปรียบเทียบกับของเดิมก็ยิ่งแล้วไปใหญ่ (ซึ่งก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว) ถึงหนังจะทำเงินไปกว่าร้อยล้าน แต่ก็ตามมาด้วยเสียงก่นด่าจากแฟนหนัง จนทำท่าว่าอนาคตของเฟรดดี้ยุคใหม่นี้จะไม่สดใสซะแล้ว เอาเป็นว่าถ้าอยากดูหนังเฟรดดี้ล่ะก็หาเวอร์ชั่นเดิมมาดูยังจะดีกว่าเยอะ เชื่อผมเต๊อะ
  • น่าดูเพราะ: ใครอยากรู้ว่าผีเฟรดดี้เป็นใคร มาจากไหน ก็เชิญทำความรู้จักได้เลยจ้า
  • ไม่น่าดูเพราะ: เป็นหนังรีบู้ทที่ทำได้ธรรมดาเกินไป แม้จะไม่นำไปเปรียบเทียบกับของเดิมก็ตามที




*ช่วงเพลงในหนัง*

สองศรีพี่น้อง The Everly Brothers
หนังสยองหลายเรื่องนิยมเอาเพลงเก่าๆ เพราะๆ สุดคลาสสิคมาแปะไว้ช่วงเอนด์เครดิต ซึ่งก็ให้อารมณ์ประชดประชันยังไงชอบกล รวมทั้งเรื่องนี้ที่เอาเพลงฮิตแสนเพราะที่ใครๆ ก็คงจะคุ้นหูกันดีของสองศรีพี่น้องชาวมะกัน The Everly Brothers อย่างเพลง All I Have to Do Is Dream ที่เคยฮิตกระหน่ำเมื่อปี 1958 มาใช้ได้อย่างประชดประชันแถมยังลงตัวซะด้วยสิ ซึ่งถ้าใครยังนึกไม่ออกว่าเพลงไหนก็ลองฟังดูแล้วจะ อ๋อ ขึ้นมาทันทีเชียว ลองดู

MP3: The Everly Brothers - All I Have to Do Is Dream




Knight and Day (2010): พ่อสายลับพาท่องโลก

Knight and Day (2010) :
ผกก.James Mangold นับว่าเป็นคนที่(ชอบ)ทำหนังได้ไม่ซ้ำแนวเลยจริงๆ เพราะเฮียแกทำมาหมดแล้วทั้งหนังรักข้ามภพ (Kate & Leopold [2001]), หนังทริลเล่อร์สุดหักมุม (Identity [2003]), หนังเพลงดราม่าระดับออสก้าร์ (Walk the Line [2005]), หรือแม้กระทั่งหนังคาวบอยโคตรแมน (3:10 to Yuma [2007]) และคราวนี้ก็มาถึงคิวหนังแอ็คชั่นคอมเมดี้บ้างล่ะ ซึ่งก็ได้ดาราใหญ่อย่าง Tom Cruise และ Cameron Diaz มาเป็นตัวเรียกแขกเชียวนะ


ป๋าครูสขอสวมวิญญาณเด็กแว้นอีกสักครั้ง
ส่วนเรื่องราวก็เป็นการหาทางให้นางเอกสุดโก๊ะได้ไปผจญภัยท่องโลกกับพระเอกสายลับสุดเท่ที่ทั้งเก่งทั้งเก๊ก(แต่แอบรั่วอยู่นิดๆ) โดยพวกเขาถูกทั้งทางการและไม่ทางการคอยตามล่าชิงถ่าน(จริงๆ นะเอ้า) ทำให้หนังมีฉากแอ็คชั่นหวือหวาเข้ามาเป็นระยะ และแซมฉากตลกกุ๊กกิ๊กขำๆ เข้ามาพอเป็นกระสัย ซึ่งก็เปิดโอกาสให้พระนางได้ขายเสน่ห์กันเต็มที่เลยล่ะ(เพราะทั้งเรื่องก็เด่นกันอยู่แค่สองคนนิ)


สี่สิบกว่ากันแล้วยังดูดี(เกินวัย)อยู่
ในส่วนของคิวบู๊ ถึงจะเว่อร์แต่ก็เข้าท่าดี ไม่หน่อมแน้ม ด้านนักแสดงนำทั้งคู่ก็ทำหน้าที่กันได้ดี แม้จะเริ่มดูโรยรากันแล้วอย่างเห็นได้ชัด(เห็นชัดมากโดยเฉพาะตีนกาของนางเอก)แต่ถ้าเทียบกับคนวัยเดียวกันแล้ว ก็ถือว่าพวกเขายังดูดีมากๆ อยู่ ป๋าครูสก็ดูจะทุ่มเทให้กับการเล่นคิวบู๊อย่างเต็มที่ ดังจะเห็นได้ว่าเขาพยายามเล่นสตั้นท์เองในหลายๆ ฉาก พอมาเสริมทัพด้วยวิวสวยๆ จาก สเปน ออสเตรีย เข้าไปก็เลยนับเป็นหนังที่ดูได้เพลินๆ ไม่เลวเลยทีเดียวเชียว


แล้วแบบนี้ใครจะกล้ามาตอแยกับเด็กเฮียครูสแกล่ะ
แต่ถ้านับเรื่องราวความเข้มข้นของหนังแล้วยังถือว่าทำได้ธรรมดาไป ทั้งความโม้ที่อยู่ๆ นางเอกเราก็เกิดเก่งขึ้นมากระทันหัน และอะไรๆ อีกหลายอย่าง แต่ถ้ารู้ว่ากว่าหนังจะออกมาอย่างที่เห็นได้เนี่ยเคยผ่านการแข้ไขบทจากมือเขียนบทมาแล้วเป็นสิบคน(12 คนแน่ะ) กับทั้งปัญหาอะไรๆ เยอะแยะมากมาย (น่าแปลกใจที่เฮียครูสไม่ใช่ตัวเลือกแรกของผู้สร้างแต่ทว่าเป็น เอิ่ม...นาย Adam Sandler ก่อนข้อเสนอจะตกมาถึง Chris Tucker และ Gerard Butler ในเวลาต่อมา) ดังนั้น ผกก.Mangold เขาทำออกมาได้ดูเพลินเท่านี้ก็ถือว่าเก่งแล้วนะจ้ะเนี่ย


เฮียครูสกำลังสาธิตการขี่แว้นไล่วัวไล่ควายให้ดูเป็นขวัญตา
ถึงหนังจะไม่ได้ดีเด่นอะไรมาก แต่ถ้าจะดูกันจริงๆ แล้วหนังเขาทำออกมาเพื่อสนองจินตนาการของคุณผู้ชมสาวๆ (และไม่สาว)ผู้ที่มีชีวิตธรรมดาๆ แสนน่าเบื่อ แต่อยากผจญภัยไปในประเทศต่างๆ ได้ตีคู่บู๊ตื่นเต้นหวือหวาไปกับสายลับหนุ่มโสดรูปหล่อ ได้ทำในสิ่งที่ไม่เคยทำและไม่คิดว่าจะทำได้ ซึ่งถือว่าหนังตีโจทย์เหล่านี้ได้แตก สนองจินตนาการส่วนนี้ได้ดีพอสมควร จนกวาดเงินทั่วโลกไปสองร้อยกว่าล้านเหรียญอย่างนี้ไงล่ะจ้ะ ซึ่งทางเราคิดว่าป๋าครูสคิดถูกแล้วที่ปฏิเสธหนัง Salt แล้วยอมลดค่าตัวมาเล่นหนังเรื่องนี้น่ะนะ
  • น่าดูเพราะ: เป็นหนังแอ็คชั่นตลก ขายเสน่ห์ดารานำ ที่ดูได้เพลินๆ ฉากบู๊เข้าที วิวสวย น่าดูชมทีเดียวจ้า
  • ไม่น่าดูเพราะ: โม้เว่อร์แบบให้จับได้ไล่ทัน และโดยรวมแล้วเรื่องราวยังธรรมดาไปนิด โดยเฉพาะช่วงท้ายของหนัง


วันเสาร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2553

Machete (2010): อย่าแหย่ให้ลุงสับ

Machete (2010) :
เล่นหนังแต่ในบทประเภทลูกน้องตัวโกงมาก็นับร้อยเรื่องแล้ว แต่ป๋าหน้าเหี้ยม Danny Trejo ก็เพิ่งจะมีโอกาสได้เป็นพระเอกเต็มตัวกับเขาซะทีก็ในวัย 66 ขวบนี่แหล่ะ ซึ่งผู้ที่เปิดโอกาสทองให้เขาครั้งนี้ก็ไม่ใช่ใครนอกจาก ผกก.Robert Rodriguez (Sin City [2005]) ผู้ที่นิยมทำหนังโปรความเป็นเม็กซิกันนั่นเอง โดยได้ดาราดังๆ มาสมทบเพียบ อาทิเช่น Robert De Niro, Lindsay Lohan, Jessica Alba, Michelle Rodriguez และ Steven Seagal เชียวนะ


ลุงเขาไม่ได้กำลังเอามีดมาเสนอขายหรอกเน้อ
และอย่างที่ทราบกันดีว่านี่เป็นหนังที่ทำมาจากเทรลเล่อร์กำมะลอที่สร้างมาฉายคั่นระหว่างหนังควบอย่าง Planet Terror กับ Death Proof ซึ่งก็ทำออกมาได้ใจคนดูจนมีเสียงเรียกร้องให้ทำเป็นหนังยาวจริงๆ เลย อันตัว ผกก.ก็ไม่ขัดศรัทธาอยู่แล้ว ในเรื่องราวของอดีตตำรวจเม็กซิกันที่ผันตัวมาเป็นนักฆ่ารับจ้าง โดยเขามีความแค้นจุกอกกับเจ้าพ่อค้ายา Rogelio Torrez (Steven Seagal กับบทตัวโกงเรื่องแรกในชีวิต) ที่ฆ่าลูกเมียเขาไปต่อหน้าต่อตา ซึ่งแน่นอนที่การล้างแค้นอันบรรเจิดย่อมเกิดขึ้นตามมาแน่นอน ชนิดที่ว่างานนี้นอกจากหน้าลุงจะโหดได้ใจแล้วยังจะได้วาดลวดลายโหดกระฉูดใช้มีด Machete สับเหล่าร้ายฉัวะๆ ซะอย่างกับตัดหยวกเลยเชียว


สาวงามเพียบเชียวเรื่องนี้
ถึงหน้าตาลุงเขาจะไม่ค่อยเรียกแขกสักเท่าไหร่(แต่ออกแนวไล่แขกซะมากกว่า) แต่หนังก็ชดเชยด้วยการอัดดาราดังทั้งรุ่นเก่ารุ่นใหม่มาเรียกแขกซะมากมายซึ่งก็คงถูกใจคอหนังแน่นอน(ใครอยากเห็นสาว Lindsay Lohan โป๊เปลือยยกมือขึ้น) ในขณะที่ตัวหนังเองก็ทำออกมาสไตล์หนังเกรดบี(ที่มาด้วยดาราระดับเกรดเอ)เต็มที่ คือเน้นเอาโหด เอามันส์ เอาโป๊ โดยไม่สนความสมเหตุสมผล หลายมุกในหนังเข้าใจว่าทำมาเพื่อบูชาครูหนังแนวนี้ที่ ผกก.ชื่นชอบ ซึ่งเป็นอะไรที่คอหนังคัลต์คงจะเก็ทและดูสนุกไปด้วยได้แน่นอน แต่สำหรับคอหนังแอ็คชั่นดูเอามันส์ทั่วไปก็ยังสนุกไปด้วยได้อยู่ดี


ป๋า Robert De Niro ก็มากับเขาด้วย
แต่ด้วยความเน้นเอามันส์สไตล์หนังเกรดบีนี่เองก็เลยทำให้หนังดูมั่วๆ เชยๆ ยังไงชอบกล และถึงหนังจะมีฉากบู๊โหดๆ แบบเรี่ยราดมากมาย(ซึ่งไม่เหมาะสมกับการดูพร้อมลูกหลานเป็นอย่างยิ่ง) แต่กลับรู้สึกว่าหนังมันเล่นๆ ยังไงไม่ทราบ(ความคิดเห็นส่วนตัว) ทว่าโดยรวมแล้วนับเป็นหนังบู๊เลือดสาดดูเอามันส์ที่น่าดู เต็มไปด้วยดาราคับคั่ง สาวสวยมากมี และสำหรับการที่ได้เห็นลุงในหนังเรื่องต่างๆ มานานก็รู้สึกดีใจกับแกด้วยจริงๆ ที่ได้เป็นพระเอกกับเขาซะที แถมได้คั่วสาวสวยซะหลายคนเชียวนะลุ๊ง น่าอิจฉา อิอิ


ดาราสาวขาประจำขังหญิงอย่าง Lindsay Lohan ก็ขอมาโชว์เต้ากับเขาด้วย
สิ่งที่แฝงมากับหนังของ ผกก.Robert Rodriguez ตลอดก็คือ 'การโปรเม็กซิกัน'ซึ่งเป็นเพราะเขาเป็นคนเชื้อชาติเม็กซิกันนั่นเอง เราเลยมักได้เห็นเขาทำหนังที่เกี่ยวกับเม็กซิกัน เพื่อคนเม็กซิกัน ดาราก็เม็กซิกัน อย่างเช่นในเรื่องนี้ก็เด่นชัด ในเรื่องราวของคนเม็กซิกันในอเมริกา ที่ถูกคนเจ้าถิ่นมองว่าเป็นแมลงสาบน่ารังเกียจ(งานนี้คนมะกันเป็นตัวโกงแสนเลว) จนเหล่าชาวเม็กซิกันที่ไปทำงานใช้แรงงานต้องออกมาลุกฮือเรียกร้องความเป็นธรรมในท้ายที่สุด ซึ่งเขาคงไม่ได้เสี้ยมให้พี่เม็กลุกฮือขึ้นมาจริงๆ หรอก เพียงแต่ตีแผ่ความในใจของพี่เม็กในอเมริกาออกมาเท่านั้นแหล่ะ ซึ่งนี่แหล่ะที่ทำให้เขาคงเป็น ผกก.ขวัญใจของพี่เม็กไปเลย แต่สำหรับในวงกว้างแล้ว อย่างน้อยที่สุดเขาก็ทำให้คนทั้งโลกได้รู้จักมีดพร้าเม็กซิกัน(Machete) ล่ะเนอะ เลือดรักชาติแรงจริงๆ นะพ่อคุ๊ณณ
  • น่าดูเพราะ: บู๊เลือดสาด ดูเอามันส์ ดารามากมี ใครอยากเห็นสาว Lohan โป๊ ยกมือขึ้น
  • ไม่น่าดูเพราะ: โหดเรี่ยราดไปหน่อย พระเอกไม่ดึงดูดให้อยากดู และที่สำคัญคือหนังออกแนวมั่วๆ นะ



30 Days of Night: Dark Days (2010): ล่าหัวนางพญาแวมไพร์

30 Days of Night: Dark Days (2010) :
ก็เพราะว่าภาคแรกเมื่อปี 2007 ที่กำกับโดย David Slade ประสบความสำเร็จพอสมควรเลยทีเดียว(ก่อนที่เขาจะหันมาทำหนังแวมไพร์หวานย้วยอย่าง The Twilight Saga: Eclipse [2010]ในเวลาต่อมา) มีหรือที่ทางผู้สร้างจะไม่เข็นภาคต่อออกมาหากินอีกคำรบ ว่าแล้วก็เลยนำหนังสือการ์ตูนตอนต่อชื่อ Dark Days มาสร้างส่งตรงลงแผ่น โดยได้ Steve Niles เจ้าของเรื่องมาร่วมเขียนบทเช่นเดิม


โฉมหน้าก๊วนนักล่าแวมไพร์(จะไหวเหร๊อ?)
สำหรับเรื่องราวในภาคนี้ก็ต่อจากภาคที่แล้วเมื่อ Stella Oleson (Kiele Sanchez จาก A Perfect Getaway [2009] มาเล่นแทน Melissa George นางเอกภาคแรก) หันมาเขียนหนังสือแฉเหตุการณ์ที่เมือง Barrow Town ให้โลกได้รับรู้(แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครเชื่อชีเลยนะ) นั่นเลยทำให้เธอถูกก๊วนนักล่าแวมไพร์ซึ่งก็คือบรรดาคนที่เคยสูญเสียคนอันเป็นที่รักไปเพราะแวมไพร์ ชักชวนเข้าร่วมก๊วน โดยพวกเขามีเป้าหมายสูงสุดคือการตามเด็ดหัวนางพญาแวมไพร์นาม Lilith(Mia Kirshner จากซีรี่ส์ The L Word) ให้จงได้

นางพญาแวมไพร์ซึ่งก็คือเมียของหัวหน้าแวมไพร์ภาคแรกนั่นเอง
หนังใช้บริการของ ผกก.Ben Ketai ผู้เคยคลุกคลีกับซีรี่ส์ 30 Days of Night: Dust to Dust (2008) มาก่อน(ว้าว มีด้วยเหรอ?) และเพราะเป็นหนังแผ่น งบก็เลยน้อยนิด อะไรๆ ก็เลยพลอยดูด้อยลงไปจากภาคแรกหมด ไม่ว่าจะด้านเอฟเฟกต์ ด้านเมคอัพ(ธรรมดามาก)แต่ยังดีนะที่ยังมีอะไรสยองๆ ให้ได้สะใจคอซาดิสม์อยู่บ้าง ในขณะที่การเปลี่ยนนางเอกเป็นคุณ Sanchez นั้นก็ไม่ใช่ปัญหาเพราะเธอทำหน้าที่ได้ดี(แม้จะดูสวยน้อยกว่าคนเดิมนิดหน่อยก็เถอะ อิอิ)

ดูเหมือนแวมไพร์ตัวนี้จะลืมทาครีมกันแดดมานะ
หนังต่างจากภาคแรกตรงที่นอกจากจะเปลี่ยนสถานที่มาว่ากันในเมืองแล้ว(ในที่นี้คือ แอลเอ) สองเผ่าพันธุ์ยังเปลี่ยนบทบาทกันด้วย คือในภาคแรกคนเป็นผู้ถูกล่าแต่ภาคนี้คนเป็นฝ่ายล่าแวมไพร์ซะเอง ซึ่งก็โอเค ไม่ว่ากัน แต่ดูๆ แล้วหนังก็มีหลายอย่างที่รู้สึกว่า'อ่ะนะ' เช่นการที่เหล่านักล่าแวมไพร์ที่มีกันแค่สามสี่คนกับปืนคนละกระบอกสองกระบอก แต่ดันอาจหาญเดินดุ่ยๆ เข้าไปถล่มแวมไพร์ถึงในรังซะได้ ดังนั้นจึงถือว่าเป็นการรนหาที่แท้ๆ ดูแล้วไม่น่าเอาใจช่วยเท่าภาคแรกเลย รวมทั้งอะไรอีกหลายอย่างที่ชวนตะหงิดๆ ไม่ได้ใจเจ๊เล้ย


โปสเตอร์หนังและตัวหนังยืมไอเดียมาจาก The Descent (2005)หรือเปล่าหนอ?
แต่ก็เอานะ รวมๆ แล้วหนังก็ไม่ได้ห่วยอะไร ถึงงานสร้างจะดูเกรดบี แต่ฉากสยองมีให้ดู นักแสดงสวยๆ ก็มีให้ยล ติดแค่เพียงว่ามีบางอย่างที่ไม่ได้ใจ ทั้งยังขาดอะไรเด็ดๆ เลยดูสนุกน้อยลงไปบ้างเท่านั้นเอง คอหนังสยองก็ยังดูกันได้เพลินๆ อยู่นะจ้ะ ส่วนสำหรับคนที่ติดใจภาคแรกแล้วอยากจะรู้เรื่องราวต่อไปก็เชิญโลด ขอสปอยล์นิดนึงว่าตอนจบดูแล้วมี "อ่ะนะ" นะจะบอกให้ เหอๆ (??)
  • น่าดูเพราะ: คอหนังสยองที่ชอบดูแวมไพร์โหดมากกว่าแวมไพร์นุ่มนิ่มและคนที่เคยติดใจภาคแรกแล้วอยากลุ้นภาคต่อคงไม่พลาดกัน
  • ไม่น่าดูเพราะ: ด้วยเพราะเป็นหนังแผ่นงานสร้างเลยด้อยกว่าภาคแรกเยอะ รวมทั้งความสนุกที่ด้อยลงไปด้วยน่ะสิ



วันพุธที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2553

Get Him to the Greek (2010): เพื่อนผมเป็นร็อคสตาร์(จอมป่วน)

Get Him to the Greek (2010):
ดูเหมือนว่ายอดชายนาย Russell Brand จะสวมบทร็อคสตาร์สุดมั่นใน Forgetting Sarah Marshall (2008) ได้อย่างโดดเด้ง จนเล่นเอาบรรดาคอหนังพากันติดใจ ทาง ผกก.Nicholas Stoller เลยปิ๊งไอเดียกระฉูดสร้างหนังสปินออฟให้เขาและตัวละครสุดแนวตัวนี้ขึ้นมาเป็นตัวนำบ้างซะเลย โดยได้นักแสดงหนุ่มตุ้ยมาแรงอย่าง Jonah Hill (Superbad [2007]) มาเป็นลูกคู่ ซึ่งพอหนังออกฉายก็ประสบความสำเร็จทั้งด้านรายได้และคำวิจารณ์พอสมควรเลยทีเดียว


คู่หูคู่ฮาประจำเรื่อง
จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อ Aaron Green (Hill) แมวมองร่างตุ้ยของบริษัทแผ่นเสียงจาก แอลเอ ต้องถูกส่งไปลอนดอนเพื่อรับตัว Aldous Snow (Brand) ร็อคสตาร์ชื่อดังจากเกาะอังกฤษแห่งวง Infant Sorrow ให้มาเล่นคอนเสิรต์ใหญ่ที่แอลเอ ซึ่งทางต้นสังกัดหวังว่าคอนเสริต์ครั้งนี้จะกอบกู้สภาวะฝืดเคืองของทางบริษัทแผ่นเสียงได้ ส่วน Green เองก็หวังว่ามันจะสามารถปลุกชีพ Snow ที่เขาชื่นชอบให้กลับมาฮ็อตฮิตอีกครั้งได้ด้วย แต่แน่นอนว่าอะไรมันคงไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดเมื่อ Snow พาเขาให้เข้าสู่โลกของ Sex, Drug & Rock n' Roll เลยได้ปาร์ตี้จนเมาปลิ้นหัวทิ่มหัวตำ อ้วกกระฉูด แถมยังลากเขาแวะไปผจญภัยที่โน่นที่นี่ซะจนงานนี้คงต้องลุ้นกันแฮ่กซะแล้ว ว่าทั้งคู่จะกลับไปทันเล่นคอนเสิร์ตครั้งสำคัญนี้ได้หรือไม่หนอ?


ใครๆ ก็ต้องกรี๊ดแต๋วแตกเมื่อเจอร็อคสตาร์สุดเท่ขวัญใจของพวกเขา
หนังเริ่มต้นมาได้อย่างน่าสนใจด้วยการทำเป็นภาพข่าวจากรายการทีวีต่างๆ ถึงความล้มเหลวของอัลบั้มล่าสุดของ Snow ที่เพิ่งออกมา (แถมเขายังโดนเมียที่อยู่กินกันมาหลายปีทิ้งไปคบกับมือกลองวง Metallica อีกต่างหาก) หนังใช้ประโยชน์จากการเชิญบรรดาคนบันเทิงดังๆ ทั้งนักร้อง นักแสดง นักข่าว ให้โผล่มาร่วมแจมกันคนละนิดละหน่อย ซึ่งก็ช่วยสร้างสีสันให้กับหนังขึ้นมาเยอะทีเดียว ในขณะที่นักแสดงนำทั้งคู่ก็เล่นเข้าขากันได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะนาย Brand ที่ยังวาดลวดลายได้ใจเช่นเดิม เมื่อรวมทั้งอารมณ์ขันกวนๆ แบบติดเรทเข้าไปอีก เลยเป็นหนังตลกที่ใช้ได้เลยทีเดียวเชียว


นักแสดงและคนดังคุ้นหน้าโผล่กันมาเพียบ
แต่น่าเสียดายที่หนังยิ่งฉายไปก็ดูเหมือนยิ่งหมดเรื่องจะเล่าขึ้นทุกที การผจญภัยของทั้งคู่ก็หนักไปทางปาร์ตี้เมาหัวทิ่มซะมากกว่าอย่างอื่น(โดยเฉพาะการที่พากันไปเมาที่ลาสเวกัสก็ชวนให้นึกถึง The Hangover (2009)ชอบกล) และการที่มีแต่มุกเกี่ยวกับอ้วกแตก, การเมาเหล้ายา, ทวารหนัก, การมีเซ็กซ์หมู่แบบเราสองสามคน มันก็ดูไม่ค่อยตลกนักหรอกสำหรับหลายๆ คน(แต่ก็แล้วแต่รสนิยมของแต่ละคนด้วยเนอะ) นี่ถ้าไม่ได้ตัวละครนำที่มีเสน่ห์ และการได้เห็นคนดังๆ มาร่วมแจมเยอะๆ แบบนี้ด้วยล่ะก็ หนังคงจะฝืดขึ้นเยอะทีเดียวเชียว


ตาเหลือกกันเชียวนะหนุ่มๆ
ถึงจะเป็นหนังตลกมุกห่ามติดเรท แต่ก็ยังอุตส่าห์มีข้อคิดสาระให้อีกด้วย เช่นที่ว่าถึงเราจะมีชื่อเสียง เงินทอง ลาภยศสรรเสริญ ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องมีความสุขในชีวิตเสมอไป ดังเช่นตัวของ Snow เองที่ไม่ขาดสิ่งที่เอ่ยมาข้างต้นเลย แถมไปไหนก็มีแต่คนนิยมชมชอบ(โดยเฉพาะสาวๆ) แต่ที่สุดแล้วเขากลับรู้สึกโดดเดี่ยว ว่างเปล่า ไร้สันติสุข ซึ่งก็นะถึงจะบอกว่านี่เป็นแค่ในหนังแต่ก็ต้องยอมรับว่าในชีวิตจริงๆ แล้ว เราก็มักจะได้ยินข่าวเกี่ยวกับเหล่าคนดังที่เซ็งชีวิตจนฆ่าตัวตายกันอยู่บ่อยๆ มิใช่เหรอ?
  • น่าดูเพราะ: ใครที่ติดใจร็อคเกอร์สุดเซอร์คนนี้จาก Forgetting Sarah Marshall คงจะถูกใจกัน แถมหนังมีคนดังโผล่มารับเชิญกันเพียบ ดูเพลินดีจริง
  • ไม่น่าดูเพราะ: เต็มไปด้วยมุกประเภท อ้วก เมา เซ็กซ์(เสื่อม) ซึ่งอันนี้มันไม่ขำสำหรับหลายคนนะ




*ช่วงเพลงในหนัง*

ปกอัลบั้มซาวน์แทร็คของหนัง
ในเมื่อเป็นหนังที่เกี่ยวกับศิลปินร็อคเช่นนี้ ก็ต้องมีเพลงร็อคมาให้ฟังกันเพียบแน่ โดยเฉพาะบรรดาเพลงร็อคคลาสสิคๆ จากเกาะอังกฤษทั้งหลาย แต่เพราะพระเอกเราเป็นร็อคสตาร์แห่งวง Infant Sorrow จะให้เอาเพลงคนอื่นมาร้องก็ยังไงๆ อยู่ ว่าแล้วผู้สร้างก็เลยทำเก๋ขึ้นไปอีกขั้นด้วยการแต่งเพลงเป็นอัลบั้มขึ้นมาเพื่อใช้ในหนังโดยเฉพาะเลย(หนุ่ม Brand ร้องเองเลยด้วยนะ) ซึ่งหนึ่งในคนที่ร่วมแต่งก็เป็นป๋า Jarvis Cocker แห่งวง Pulp เชียวนะ ที่พอฟังแล้วก็พบว่าแต่งเพลงได้ฟังเพลินและเพราะเข้าท่าดีซะด้วย จนถ้าตัดเนื้อร้องขำๆ เหวอๆ ออกไปนี่ก็ฮิตได้ไม่ยากเลยล่ะ ว่าแล้วเราก็เลือกเอาบางเพลงจากอัลบั้มมาฝากกันตามฟอร์มจ้า