วันเสาร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

Crazy Heart (2009): เลิฟสตอรี่ของคนขี้เหล้า(เมากลิ้ง)


Crazy Heart (2009) :
หนังดราม่าเล็กๆ ที่เกี่ยวกับนักดนตรีคันทรี่ขี้เหล้าเรื่องนี้ ใช้เวลาถ่ายทำเพียงแค่ 24 วัน กับทุนสร้างแค่ 7 ล้านเหรียญ ซึ่งแต่เดิมหนังจะถูกส่งตรงลงแผ่นเลยโดย Paramount Vantage แต่ด้วยคุณงามความดีของตัวหนัง และการแสดงอันโดดเด่นโคตรๆ ของลุง Jeff Bridges (Iron Man [2008]) เลยทำให้ทาง Fox Searchlight ตัดสินใจซื้อหนังไปฉายทางโรง แล้วหนังก็ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม โดยเฉพาะลุง Bridges ที่คว้ารางวัลนำชายจากเกือบจะทุกสำนักที่เข้าชิง และยังเป็นตัวเก็ง(และเกร็ง)ออสก้าร์นำชายปีนี้อีกด้วย


ปิ๊งรักกับสาวคราวลูกคือสุดยอดปรารถนาของชายวัยเหี่ยว
Bad Blake (Bridges) อดีตศิลปินคันทรี่ชื่อก้อง ที่ปัจจุบันชื่อเสียงหดหาย ถังแตก หมดสภาพ แถมยังขี้เหล้าอย่างหนัก(ชนิดที่ว่ากินเหล้าเป็นอาหารหลักเลย) ซึ่งลุงก็ยังคงตระเวนเดินสายไปแสดงตามผับตามบาร์เล็กๆ ในเมืองต่างๆ เพื่อหาเลี้ยงปากท้อง(และซื้อเหล้ากิน)ไปวันๆ แล้วชีวิตลุงก็เริ่มมีความหวังขึ้นมาอีกครั้งเมื่อไปปิ๊งรักกับคุณแม่ยังโสดที่มีอาชีพเป็นนักข่าว (รับบทโดย Maggie Gyllenhaal จาก The Dark Knight [2008]) แต่ดูเหมือนการเป็นคนขี้เหล้าของลุงนั้น นอกจากจะส่งผลร้ายต่อสุขภาพร่างกายและอาชีพแล้ว ยังทำให้ความรักของลุงต้องสะดุดกึกอีกด้วย ซึ่งก็ต้องติดตามกันต่อไปว่าลุงเขาจะเลือกแม่คุณหรือแม่โขงเป็นคำตอบสุดท้ายของชีวิตกันแน่


ลุงทั้งร้องทั้งเล่นได้อย่างกับศิลปินตัวจริงมาเองเลย
งานนี้คนที่รับเครดิตไปเต็มๆ ก็คือลุง Bridges ที่สวมบทศิลปินคันทรี่ในตำนาน ซึ่งปัจจุบันตกอับ หมดสภาพ ขี้เหล้า เมากลิ้ง อ้วกกระจาย ได้อย่างชวนอนาถและน่าเห็นใจ พอถึงฉากแสดงดนตรี ลุงก็ทั้งร้องทั้งเล่นดนตรีเองได้อย่างแจ่มแจ๋วราวกับศิลปินคันทรี่ตัวเป็นๆ มาเองเลยทีเดียว ในขณะที่นักแสดงสมทบคนอื่นๆ(ซึ่งก็มีไม่กี่คน) ก็ทำหน้าที่กันได้อย่างน่าจดจำ ทั้งคุณ Gyllenhaal ในบทคนรักคราวลูกของลุง และ Colin Farrell (Miami Vice [2006]) ที่ทั้งร้องทั้งเล่นดนตรีเองเช่นกันในบทนักร้องคันทรี่ชื่อดังที่ลุงเกลียดขี้หน้ายิ่งนัก หนังยังมีวิวทิวทัศน์โล่งๆ สบายตาทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของอเมริกา และเพลงคันทรี่สบายหูมาช่วยเสริมบรรยากาศได้เป็นอย่างดีอีกด้วย เอาเป็นว่าแค่การได้ดูการแสดงของลุง Bridges อย่างเดียวก็คุ้มแสนคุ้มแล้วล่ะครับพี่น้อง


งานนี้จะมีร้องเพลง(คันทรี่)จีบสาวมั้ยหนอ?
  • น่าดูเพราะ: เป็นหนังดราม่า-ดนตรี ที่มีการแสดงโดดเด่น เพลงคันทรี่เพราะ ใครอยากยลบทบาทการแสดงที่เจ๋งที่สุดบทหนึ่งในชีวิตของลุง Bridges ก็ไม่ควรพลาด
  • ไม่น่าดูเพราะ: เรื่องราวของ คนแก่ขี้เหล้า กับเพลงคันทรี่ และหนังที่ไปเรื่อยๆ แบบหนังทีวีแบบนี้ คงจะไม่ค่อยโดนใจใครนักหรอก

วันศุกร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

From Paris with Love (2010): คู่หูคู่บู๊ตะลุยปารีส


From Paris with Love (2010) :
หลังจากได้ดิบได้ดีจากผลงานเรื่องก่อนที่ทั้งมันส์ทั้งฮิตเกินคาดอย่าง Taken (2008) ผกก.Pierre Morel เด็กสร้างของ Luc Besson ก็กลับมาอีกครั้งกับผลงานแอ็คชั่นที่เล่นตามสูตรสำเร็จเดิม คือต้องถ่ายทำที่ปารีสและอิมพอร์ทนักแสดงมะกันมาเล่นเป็นตัวเอก โดยคราวนี้นอกจากทุนสร้างจะมากกว่าเรื่องก่อนหนึ่งเท่าตัวแล้ว ยังขอมีพระเอกสองคนด้วย นั่นก็คือ John Travolta (The Taking of Pelham 1 2 3 [2009]) และ Jonathan Rhys Meyers (Match Point [2005]) นั่นเอง

คู่หูคู่บู๊คู่ใหม่แห่งวงการหนังบู๊
James Reece (Rhys Meyers) ทำงานในสถานทูตอเมริกาในปารีส และยังแอบทำงานเล็กๆ น้อยๆ ให้กับซีไอเอด้วย ซึ่งเขาก็ฝันอยากจะได้ทำหน้าที่สายลับแบบบู๊ๆ ท้าทายๆ หน่อย ซึ่งก็ได้สมหวังเมื่อต้องทำหน้าที่คอยประสานงานให้กับ Charlie Wax (Travolta) สายลับสุดกร่างมาดตัวโกงที่เพิ่งถูกส่งตัวมายังปารีส แล้วทั้งคู่ก็พากันตะลอนบู๊ไปทั่วปารีส เพื่อหยุดยั้งแผนการร้ายของเหล่าตัวโกง โดยมีชีวิตของผู้บริสุทธิ์มากมายเป็นเดิมพัน (พล็อตใหม๊ใหม่เนอะ)


พระเอกเขามีอาวุธเป็นแจกัน
ดูท่าการกลับมาครั้งนี้ของ ผกก.Morel เราจะไม่แจ่มเท่าคราวก่อนซะแล้ว เพราะหนังไม่ประสบความสำเร็จทั้งด้านรายได้และคำวิจารณ์เลย หนังมากับพล็อตสูตรสำเร็จเดิมๆ ประมาณคู่หุคู่บู๊ไม่เน้นซีเรียส แต่ดูเหมือนเคมีระหว่างสองคู่หูดูไม่ค่อยจะเวิร์คสักเท่าไหร่ ด้านคุณ Rhys Meyers ซึ่งเป็นฝ่ายบุ๋นก็ไม่ค่อยมีอะไรให้ได้ทำมากนัก ในขณะที่ฝ่ายบู๊อย่างป๋า Travolta ก็มาในสภาพที่ดูถ่อยๆ เหมือนตัวโกง ทั้งยังชอบใช้ความรุนแรงเกินเหตุ แถมเก่งเว่อร์ไม่ยอมแบ่งใครอีกต่างหาก ในเมื่อตัวละครนำไม่มีเสน่ห์พอที่จะได้ใจคนดูเท่าที่ควรแบบนี้ ก็วุ่นเลยสิครับเนี่ย


ดูเหมือนเคมีของคู่นี้จะไม่ลงตัวสักเท่าไหร่
ข้อดีของหนังก็คือบรรดาฉากแอ็คชั่นที่ยังพอจะมีอะไรมันส์ๆ เด็ดๆ ให้ได้เห็นบ้าง เสียแต่ว่าบทหนังไม่สามารถพาคนดูให้สนุกกับหนังไปได้ตลอดรอดฝั่งอย่างน่าเสียดาย โดยเฉพาะฉากไคลแม็กซ์ที่ไม่ค่อยจะมีลุ้นสักเท่าไหร่เลย แต่เอาน่า ยังไงนี่ก็ยังเป็นหนังบู๊ที่ดูเอามันส์ได้อยู่ ถ้าไม่คิดอะไรมาก และยังแสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการทำหนังบู๊ของ ผกก.ได้ดี เพียงแต่เขาต้องการบทที่ดีด้วยเท่านั้นเอง ผลงานเรื่องหน้าว่ากันใหม่เนอะ จะคอยเอาใจช่วยจ้า

*ปล.ผลงานเรื่องต่อไปของ ผกก.Morel คือการรีเมคหนังไซไฟปี 1984 เรื่อง Dune ซึ่งมีกำหนดออกฉายปี 2012 จ้า(ถ้าโลกแตกก็อดดูสิงั้น อิอิ)*
  • น่าดูเพราะ: เป็นหนังแอ็คชั่นคู่หูคู่บู๊ที่ดูได้เพลินๆ ไม่ต้องคิดมาก ฉากแอ็คชั่นเด็ดๆ เน้นเท่ก็มีให้ดูกันอยู่
  • ไม่น่าดูเพราะ: ถ้าขาดฉากแอ็คชั่นแล้ว หนังเรื่องนี้ช่างธรรมดาเสียจริง คอหนังคิดมากพึงทำเมิน





วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

Dante's Inferno: An Animated Epic (2010): ตะลุยนรกสไตล์ดังเต้


Dante's Inferno: An Animated Epic (2010) :
นี่คืออนิเมชั่นที่ Spin-off มาจากเกมแอ็คชั่นผจญภัยของบริษัท EA (Electronic Arts) ที่ทำเก๋ตรงที่จับเอาเรื่องราวในส่วนแรกที่กล่าวถึงนรก (Inferno) จากโคลงมหากาพย์ The Divine Comedy ของ Dante Alighieri กวีชาวอิตาลีในยุคกลาง(ช่วงศตวรรษที่ 14) มาดัดแปลงเป็นเกมได้อย่างสร้างสรรค์ ราวกับว่าผู้ที่เล่นเกมจะได้ทัวร์นรกในแบบที่ Dante ได้บรรยายถึงก็มิปานเชียว(โอ้วว)


อยากรู้มั้ยว่านรกฝรั่งหน้าตาเป็นยังไง?
ส่วนเรื่องราวในเกมและในอนิเมชั่นเรื่องนี้ก็ถูกบิดให้เหมาะที่จะก่อให้เกิดฉากแอ็คชั่นผจญภัยเต็มที่ โดยเสนอเรื่องของ Dante นักรบครูเสดที่ซมซานกลับบ้านเกิดเพื่อไปพบ Beatrice สาวคนรัก แต่แล้วเขาก็พบว่าสุดที่รักและครอบครัวได้ถูกมือมืดฆ่าตายเกลี้ยง หนำซ้ำวิญญาณของเจ้าหล่อนที่กำลังจะขึ้นสวรรค์อยู่รอมร่อยังถูก ลูซิเฟอร์(ซาตาน) ลากลงนรกซะอีก ด้วยความรักอันเต็มล้นต่อคนรัก Dante จึงตัดสินใจบุกนรกไปชิงวิญญาณคนรักกลับคืน โดยเขาได้รับการช่วยเหลือจากวิญญาณของ Virgil (กวีชาวโรมัน) ที่คอยเป็นไกด์ชี้นำทางตลอดการทัวร์นรกทั้ง 9 ขุมครั้งนี้ด้วย


ลายเส้นแตกต่างกันไปตามแต่ละสไตล์ของสตูดิโอ
Film Roman สตูดิโอที่เคยสร้าง Dead Space: Downfall (2008) (อนิเมชั่นที่ Spin-off จากเกมของ EA เมื่อปี '08) กลับมารับผิดชอบหน้าที่เดิมอีกครั้ง โดยได้แบ่งงานให้สตูดิโอผลิตอนิเมชั่นต่างๆ อย่าง Manglobe, Dong Woo, JM Animation, และ Production I.G. (ซึ่งมาจากทั้งญี่ปุ่นและเกาหลี)ช่วยกันรับผิดชอบ และให้อิสระในการออกแบบตัวละครและการใช้ลายเส้นตามสไตล์ใครสไตล์มันได้เต็มที่ โดยมี Film Roman คอยดูแลภาพรวมให้ออกมาต่อสนิทเป็นเนื้อเดียวกันอีกทีหนึ่ง


ตัวประหลาดหน้าตาน่าเกลียดเพียบเลย
และแน่นอนที่อนิเมชั่นเรื่องนี้ย่อมจะมีทั้งฉากรุนแรง เลือดสาด ไส้ไหล และโป๊เปลือยตามแบบฉบับการ์ตูนผู้ใหญ่ สำหรับบรรยากาศโดยรวมแล้วหนังเสนอเรื่องราวการลุยนรกของ Dante ได้อย่างดูสนุก มีเรื่องราวน่าสนใจเมื่อเทียบกับการ์ตูนทั่วๆ ไป การออกแบบฉากนรกขุมต่างๆ ก็ดูเจ๋งดี ถึงแม้ลายเส้นของแต่ละสตูดิโอจะมากันคนละสไตล์ไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน (แต่ก็ไม่ถึงกับฉีกไปคนละเรื่องเลย) ซึ่งก็มีวาดสวยบ้างไม่สวยบ้างชวนให้คนดูสับสนนิดๆ แต่พอเข้าใจคอนเสปท์แล้วก็คงไม่มีปัญหา งานด้านดนตรีที่รับผิดชอบโดย Garry Schyman คอมโพเซอร์ที่คร่ำหวอดในการแต่งเพลงประกอบเกม ก็อยู่ในระดับเพลงประกอบหนังโรงดีๆ นี่เอง ถึงหนังเรื่องนี้จะไม่ดีเด่นระดับอนิเมชั่นที่ฉายตามโรง แต่ก็ยังถือว่ายังดูได้เพลินๆ เข้าใจสร้างสรรค์ และชวนให้อยากเล่นเกมนี้ขึ้นมาเลยเชียว


เกมออกในฟอร์แมท PSP, Xbox 360 และ PS3(แล้ว PC ล่ะ?)

  • น่าดูเพราะ: เป็นอนิเมชั่น Spin-off จากเกมที่ทำได้เข้าท่า ดูเพลิน และชวนให้อยากเล่นเกมจัง
  • ไม่น่าดูเพราะ: ไม่เหมาะสำหรับเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ เพราะทั้งรุนแรงและโป๊นะจ้ะ(แต่ไม่ถึงขนาดหนังโป๊หรอกเน้อ)


โปสเตอร์หนังมีหลายเวอร์ชั่นตามลายเส้นของคนเขียน





*ช่วงอันเนื่องมาจากหนัง*

ภาพซาตานถูกจองจำในนรกขุมที่เก้า
Inferno (ภาษาอิตาเลียนที่แปลว่า'นรก') คือส่วนที่หนึ่งของโคลงมหากาพย์ The Divine Comedy ของ Dante Alighieri (โดยมี Purgatorio และ Paradiso เป็นสองส่วนที่เหลือ) ซึ่งเสนอเรื่องเล่าเชิงสัญลักษณ์ เกี่ยวกับการเดินทางของ Dante ผ่านไปยังนรกในความคิดของคนยุคกลาง ซึ่งนรกทั้ง 9 ขุมนั้นประกอบด้วย
  • Limbo: นรกขุมสำหรับคนที่ถึงไม่ได้ทำบาป แต่เพราะไม่ได้เชื่อในพระคริสต์เลยต้องมาอยู่นี่ ซึ่ง Dante ได้บรรยายว่ามีคนดังๆ อย่าง Homer, Socrates และ Aristotle แม้แต่ Julius Caesar กับ Saladin ก็อยู่ที่นั่นด้วย นับเป็นนรกที่ไม่มีการทรมาน แต่ก็เป็นสถานที่ไร้ซึ่งความหวังสำหรับดวงวิญญาณทั้งหลายไปตลอดกาล
  • Lust: ขุมสำหรับผู้ที่ปล่อยให้ตัณหาระคะครอบครองจิตใจ ดวงวิญญาณของพวกเขาจะถูกลมพายุพัดกระหน่ำให้ล่องลอยไปอย่างไม่มีทางได้หยุดพัก สำหรับคนดังในขุมนี้ก็มีอาทิ Cleopatra, Helen แห่ง Troy, Paris, Tristan
  • Gluttony: ขุมนี้มีไว้สำหรับผู้ที่ตะกละตะกราม โดยจะมีตัว Cerberus (สุนัขสามหัว) คอยยืนคุมเชิงให้ดวงวิญญาณในนรกขุมนี้ต้องนอนเกลือกกลิ้งในโคลนตมอันสกปรกโสโครก โดยมีฝนอันเย็นยะเยือกตกมาใส่แบบไม่สิ้นสุด
  • Greed: ขุมสำหรับคนโลภในลาภยศ เงินทอง ที่ต้องมาทนทุกข์ในการแบกของหนัก(ซึ่งอาจจะเป็นถุงเงินยักษ์)ไปตลอดกาล
  • Wrath: สำหรับผู้ที่ปล่อยให้ความโกรธเคืองเป็นใหญ่ในชีวิต จะต้องมาฆ่าฟันกันอย่างไม่มีวันสิ้นสุดในบึงขนาดใหญ่ สำหรับผู้ที่แพ้จะจมลงไปในน้ำที่แสนมืดมิดและหาความสุขใดๆ ไม่ได้เลย
  • Heresy: นรกขุมสำหรับพวกนอกรีต หรือมารศาสนา อย่างเช่นพวก Epicurian (ที่เชื่อว่าวิญญาณตายไปพร้อมกับร่างกาย) จะติดอยู่ในสุสานเพลิงที่ไม่มีวันดับมอด
  • Violence: สำหรับพวกที่นิยมใช้ความรุนแรง ปล้นฆ่า ข่มขืน ซึ่งนรกขุมนี้แบ่งเป็นสามส่วนย่อยๆ สำหรับ
1.)พวกที่ใช้ความรุนแรงกับคนอื่น จะต้องตกลงไปในแม่น้ำสีเลือดที่เดือดปุดๆ โดยจะมีธนูยิงใส่วิญญาณที่พยายามจะหนีด้วย สำหรับคนดังในขุมนี้ก็คือ Alexander the Great ไง
2.)พวกที่ใช้ความรุนแรงต่อตนเอง หรือพวกที่ฆ่าตัวตาย จะกลายเป็นต้นไม้หรือพุ่มไม้ที่เต็มไปด้วยหนาม ให้ตัว Harpie (นกที่มีหน้าเป็นคน) คอยจิกกินอยู่ร่ำไป
3.)พวกที่ใช้ความรุนแรงต่อพระเจ้า หรือพวกที่ดูหมิ่นหรือล่วงเกินพระองค์ ทั้งยังทำลายธรรมชาติ จะต้องทนทุกข์ทรมานในทะเลทรายเพลิง ที่มีหิมะเพลิงตกลงมาจากฟ้าอีกด้วยด้วย
  • Fraud: นรกสำหรับผู้ที่ชอบหลอกลวง ฉ้อฉล ซึ่งก็แบ่งยิบย่อยเป็นสิบส่วนในนีั้อีกที
  • Betrayal: นรกสำหรับผู้ทรยศ ซึ่งก็แบ่งเป็นอีกสี่ส่วน และในจุดศูนย์กลางของนรกที่แสนเย็นยะเยือกก็เป็นที่จองจำซาตานซะด้วย
ความจริงยังมีเรื่องราวอีกเยอะแยะและลึกซึ้งกว่านี้ที่เราไม่สามารถนำมากล่าวถึงได้ทั้งหมด ยังไงก็ขอย้ำอีกครั้งว่านี่เป็นโคลงที่แต่งขึ้นมา ไม่ใช่เรื่องจริงนะจ้ะ ก็ต้องซูฮกผู้แต่งที่เข้าใจเตือนสติพวกเราผ่านโคลงเหล่านี้ แม้ว่าจะผ่านมานานหลายศตวรรษแล้วก็ตาม แต่ก็ยังเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์และคุณค่าในทุกยุคทุกสมัยจริงๆ นะเนี่ย


*คัดเนื้อหามาแปลแบบตามมีตามเกิดจาก wikipedia ผิดพลาดประการใดก็ขออภัยด้วยจ้า*


วันพุธที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

A Prophet (2009): มหาวิทยาลัยโจร


A Prophet (2009) :
หนังดราม่าอาชญากรรมจากฝรั่งเศสเรื่องนี้นับเป็นอีกเรื่องที่มีสิทธิ์ลุ้นออสก้าร์สาขาภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยมปีนี้ (ในขณะที่ตัวเก็งเป็นหนังขาวดำสุดนิ่งจากเยอรมันอย่าง The White Ribbon ของ ผกก.Michael Haneke นั่นเอง) ซึ่งพอดูจบก็ขอเชียร์หนังเรื่องนี้อย่างออกนอกหน้าให้เป็นผู้ชนะออสก้าร์ปีนี้เลยละกัน(ส่วนอีกสามเรื่องจะเป็นยังไงไม่รู้เพราะยังไม่ได้ดูน่ะสิ อิอิ)


คุกฝรั่งเศสเนี่ยสะอาดสะอ้านน่าอยู่ซะจริง(เอ๊ะยังไง?)
Malik El Djebena (Tahar Rahim) หนุ่มจิ๊กโก๋วัย 19 ขวบผู้ไร้การศึกษา ต้องโทษจำคุก 6 ปี ในข้อหาใช้ความรุนแรงกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ(แต่เขายืนยันว่าตนบริสุทธิ์) ซึ่งในคุกที่พวกนักโทษมักจะแบ่งก๊กกันเป็นกลุ่มเป็นแก๊งค์ เขาจึงเป็นเหมือนคนหัวเดียวกระเทียมลีบเพราะไม่มีพรรคพวกเพื่อนฝูงคอยคุ้มกะลาหัว เริ่มแรกอะไรๆ ก็ดูเหมือนจะเลวร้าย แต่แล้วเมื่อเขามีโอกาสได้ทำงานให้กับแก๊งค์มาเฟียชาว Corsica (เกาะเล็กๆ ที่อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของฝรั่งเศส) ที่คุมคุกแห่งนั้นอยู่ เขาก็เริ่มพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส โดยเริ่มเรียนอ่านเขียนหนังสือ และใช้สติปัญญาไหวพริบของตนในการไต่เต้า สร้างอิทธิพล สร้างเนื้อสร้างตัวจนรวยได้ในคุก ซึ่งแทบจะเรียกได้ว่าติดคุกอนาคตยังสดใสซาบซ่ากว่าตอนอยู่ข้างนอกซะอีก (ป้าด)


สำหรับคนคุกแล้วโลกภายนอกช่างสวยงามเสียนี่กระไร
ผกก.Jacques Audiard (The Beat That My Heart Skipped [2005]) ควบหน้าที่ทั้งกำกับและร่วมเขียนบทได้อย่างยอดเยี่ยม หนังนำเสนอเรื่องราวมาเฟียในคุกได้อย่างน่าเชื่อถือ เข้มข้น จริงจัง น่าติดตามตลอดทั้งเรื่อง นักแสดงนำอย่างคุณ Rahim ที่เป็นศูนย์กลางของหนัง ก็รับบทนักโทษกระจอกๆ คนหนึ่ง ที่ค่อยๆ กลายเป็นเจ้าพ่อประจำคุกรายใหม่ได้อย่างโดดเด่นและน่าจดจำ(คราวนี้คงได้โกฮอลลีวู้ดแน่เชียว) ถึงหนังจะเกี่ยวกับคุกๆ แต่ก็มีฉากที่ต้องออกไปภายนอกซึ่งไม่ใช่สักแต่ใส่เข้ามาเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศเท่านั้น ทว่ายังเป็นส่วนสำคัญของเรื่องราวอีกด้วย นับเป็นหนังระดับรางวัลที่ดูไม่ยาก แถมยังดูสนุกชนิดที่หนังฮอลลีวู้ดยังต้องมองค้อนเลยทีเดียว คอหนังพลาดไม่ได้เลยนะจ้ะ


เจ้าพ่อและว่าที่เจ้าพ่อประจำคุก
หนังชวนให้เราคิดว่าจริงๆ แล้วคุกอาจไม่ได้มีไว้เพื่อทำให้ผู้ต้องขังกลับตัวกลับใจเป็นคนดีของสังคมเลย(น้อยรายจริงๆ ที่จะกลับใจ) มันมีไว้เพียงเพื่อกันตัวพวกเขาออกจากสังคมเท่านั้นเอง กลุ่มมาเฟียถึงจะอยู่ในคุกแต่ก็ยังมีอิทธิพลอยู่ และถ้าเงินถึงพอพวกเขาก็แทบจะกลายเป็นเจ้าของคุกเลยทีเดียว แถมยังโทรศัพท์ออกไปสั่งการลูกน้องหรือติดต่อธุรกิจภายนอกด้วยซ้ำไป ซึ่งอันนี้ก็น่าจะเป็นประเด็นสากล ที่ไม่ว่าคุกไหนๆ ในโลกก็มักจะมีเรื่องราวแบบนี้เกิดขึ้นเสมอ และที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้นคือคงมีหลายคนที่คล้ายๆ พระเอกเราตรงที่เมื่อแรกเข้าคุกก็เป็นเพียงแค่นักโทษธรรมดาๆ คนหนึ่ง แต่พอได้เข้าไปคลุกคลีกับเหล่าอาชญากรตัวพ่อทั้งหลายเป็นเวลานาน มันก็ได้บ่มเพาะหล่อหลอมให้เขาค่อยๆ กลายเป็นอาชญากรเต็มขั้นไปอีกคนในที่สุด อืม แบบนี้หรือเปล่าที่บางคนเรียกคุกว่าเป็น 'มหาวิทยาลัยโจร' ยังไงก็อย่าให้เป็นเช่นนั้นเลยเนอะ...

ปล. เห็นสภาพอันสะดวกสบายของคุกบ้านเขาแล้ว มันคงจะเป็นคุกในฝันของผู้ต้องขังบ้านเราไปเลยเชียวล่ะ เหอๆ
  • น่าดูเพราะ: เป็นหนังดราม่าอาชญากรรมฝรั่งเศสที่ทำได้ถึงคุณภาพ ดูสนุกชวนติดตามตลอดทั้งเรื่อง คอหนังอย่าพลาดเชียวเน้อ
  • ไม่น่าดูเพราะ: หนังคุกๆ แบบนี้ ต้องไม่ใช่ที่หมายปองจากคนที่อยากดูอะไรที่รื่นเริงบันเทิงใจเป็นแน่เชียว

วันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

Tooth Fairy (2010): เขาวานให้พี่ล่ำเป็นนางฟ้า


Tooth Fairy (2010) :
หลังจากผันตัวจากอาชีพนักมวยปล้ำมาเล่นหนังตั้งแต่ปี 2001 เฮีย Dwayne Johnson หรือที่ชาวประชาเคยรู้จักกันในนาม The Rock ก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยจะรุ่งเท่าไหร่จากหนังแนวบู๊ๆ หรือดราม่า จนพอมาเล่นหนังเอาใจเด็กอย่าง The Game Plan ในปี 2007 ที่ทำเงินไปทั่วโลกกว่า 140 ล้าน เฮียเลยค้นพบทางสว่างโดยการหันไปเน้นเล่นหนังเอาใจเด็กๆ ซะนับแต่นั้นเป็นต้นมา และนี่คือเรื่องล่าสุดที่เฮียจะมาขอรับบท 'นางฟ้าพิทักษ์ฟันน้ำนม' (หรือถ้าจะเรียกให้ถูกต้องก็ต้องเรียกว่านายฟ้าสิเนอะ อิอิ) โอ้ว ทำไปได้นะเฮีย!!


เฮียเขากลับมายิ้มกว้างโชว์ฟันขาวจั๊วะอีกแล้ว
ก็เพราะมีหุ่นที่โคตรล่ำซะขนาดนี้ ก็เลยหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่มักจะรับบทเป็นนักกีฬา ซึ่งเรื่องนี้เฮียเขามีอาชีพนักฮ็อคกี้น้ำแข็ง ฉายา The Tooth Fairy เพราะมักจะทำผู้เล่นทีมคู่แข็งฟันร่วงเป็นประจำ ซึ่งดูเหมือนเขาจะหลงตนเองดีทั้งที่ตนไม่ได้ทำสกอร์มาหลายปีแล้วก็ตาม ในขณะเดียวกันเฮียก็ไปติดพันแม่ม่ายลูกสอง (Ashley Judd จาก Crossing Over [2009]) แล้วคืนหนึ่งก็งานเข้าเมื่อเฮียดันไปหยิบเงินที่อยู่ใต้หมอนของลูกสาวแฟนมาโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ พอรู้ตัวอีกทีก็ได้รับหมายเรียกจากสวรรค์ให้ไปรับหน้าที่เป็นนางฟ้าซะสองสัปดาห์ เพื่อเป็นการลงโทษที่ลบหลู่ความเชื่อของเด็กๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ ซึ่งจากที่เขารับหน้าที่แบบไม่เต็มใจในตอนแรกๆ ก็ค่อยๆ ได้เรียนรู้และปรับปรุงตนให้เป็นคนดีของสังคมและเสริมสร้างคนรอบข้างให้แฮปปี้ตามแบบอย่างอเมริกันดรีมในที่สุด จบ.


เอฟเฟกท์ฉากมุดหมอนสุดตระการตา(ใคร?)
ดูจบแล้วถึงกับอุทานออกมาว่า "ว้าว" เฮียเขายอมทำตัว ปญอ.เอาใจเด็กๆ เต็มที่เลย ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องควรตำหนิถ้าจะเล่นหนังเอาใจเด็ก(แต่ก็ต้องทำให้ถึงด้วยนะ) แต่นี่หนังมาพร้อมพิมพ์นิยมของหนังครอบครัวอเมริกันที่มักจะชูประเด็นเรื่อง "พิสูจน์ตนเองสิ หนูทำได้"อันซ้ำซาก ยิ่งมาเจอการเล่าเรื่องที่ไม่ค่อยจะสนุกและมีแต่มุกที่ไม่สร้างสรรค์เข้าไปอีกก็จบเลยสิครับพี่น้อง จริงอยู่ที่บางคนอาจจะบอกว่าจะไปซีเรียสอะไรมากมาย นี่มันหนังสำหรับเด็กนะ ไม่ใช่หนังท้าทายสติปัญญาระดับออสก้าร์สำหรับผู้ใหญ่ซะหน่อย ซึ่งก็จริงอยู่ แต่สำหรับเด็กๆ สมัยนี้แล้ว คิดแบบนั้นคงจะเป็นการดูถูกสติปัญญาพวกเขาเกินไปหน่อยมั้ง เอาเป็นว่าถึงหนังจะห่วยและขาดแคลนความบันเทิงแต่อย่างน้อยหนังก็มีความตั้งใจอันดี ที่จะสอนคุณหนูๆ ให้รู้จัก "เฮ็ดในสิ่งที่ชอบ ชอบในสิ่งที่เฮ็ด" ซึ่งก็ยังดีกว่าปล่อยให้เด็กไปดูอะไรอย่างอื่นที่สอนให้เด็กๆ มีค่านิยมที่ผิดๆ ล่ะเนอะ


เพื่อเอาใจเด็กแล้วจะให้ทำตัวบ้าบอแค่ไหนเฮียเขาก็ยอม
  • น่าดูเพราะ: เป็นหนังที่ไม่มีพิษมีภัยเหมาะสำหรับเด็กๆ (ที่เด็กจริงๆ นะ)
  • ไม่น่าดูเพราะ: หย่อนความบันเทิง ซ้ำซาก และไม่เหมาะกับผู้ใหญ่คิดมากเช่นเราๆ ท่านๆ





*ช่วงอันเนื่องมาจากหนัง*

หน้าตาของ Tooth Fairy
สำหรับความเชื่อปรัมปราเกี่ยวกับ Tooth Fairy ของฝรั่งนั้นก็มีมาช้านานแล้ว ปัจจุบันเด็กๆ มักจะเชื่อว่า หากเอาฟันน้ำนมซี่ที่ร่วงเก็บไว้ใต้หมอน ในกลางดึก Tooth Fairy จะแอบมาเก็บฟันซึ่นั้นไป และจะทิ้งเงินไว้แทนเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนซะด้วย ซึ่งก็ไม่รู้ว่าอัตราแลกเปลี่ยนนั้นมีเรทเท่าไหร่ แต่เดาว่าคงขึ้นอยู่กับสภาพการเงินของพ่อแม่ด้วยล่ะมั้ง(เหอๆ)


Old Dogs (2009): สองป๋าคู่ซี้ไม่มีซั้ว


Old Dogs (2009) :
ดูเหมือนว่าป๋า John Travolta (From Paris with Love [2010]) จะติดใจในการร่วมงานกับ ผกก.Walt Becker ซะแล้ว เพราะการร่วมงานกันครั้งก่อนใน Wild Hogs (2007) นั้นสามารถกวาดเงินไปทั่วโลกกว่า 250 ล้านเหรียญเลยทีเดียว ว่าแล้วคราวนี้ป๋า John ก็เลยชวนสิงห์เฒ่า Robin Williams (Insomnia [2002]) มาร่วมแจมในหนังตลกครอบครัวของดิสนีย์เรื่องนี้ซะเลย

สองลุงผนึกพลังกันเรียกเสียงฮา(ที่ฮาไม่ค่อยจะออก)
ถึงหนังจะไม่ทำเงินตูมตามเท่าเรื่องก่อน แต่ก็ยังพอทำกำไรให้ผู้สร้างได้อยู่ ที่เด็ดกว่านั้นคือหนังถูกบรรดาวิจารณ์และคนดูด่าเละเทะ ส่งผลให้หนังถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Razzie Award ปีนี้ถึง 5 สาขาเลยทีเดียว(เย้ ขอแสดงความยินดีด้วย) ส่วนเนื้อเรื่องนั้นก็มาในแบบพิมพ์นิยมหนังครอบครัว ประมาณว่า อยู่ๆ สองซี้รุ่นเดอะก็ต้องมาดูแลเด็กๆ อย่างไม่เต็มใจ แต่แล้วก็ค่อยๆ เกิดความผูกพันต่อกัน จนสุดท้ายทั้งคู่ก็ต้องเลือกเอาระหว่างหน้าที่การงานหรือครอบครัวของพวกเขา (รู้ใช่มั้ยว่าพวกเขาเลือกอะไร? เหอๆ)


คนในรูปขวาคือตัวขโมยซีนของเรื่อง
จริงอยู่ที่หนังมีพล็อตที่ซ้ำซาก และมีมุกตลกที่ส่วนใหญ่ออกแนวฝืดและไม่สร้างสรรค์ซึ่งดูแล้วชวนส่ายหัวมากกว่าขำกิ๊ก นักแสดงแต่ละคนก็โอเว่อร์แอ็คติ้งกันเต็มเหนี่ยว แต่ของแบบนี้ก็แล้วแต่เส้นขำของแต่ละคนด้วยว่าตื้นลึกแค่ไหนกัน ยังไงเสียหนังก็ยังมีอะไรเล็กๆ น้อยๆ ให้ได้ยิ้มกันอยู่บ้าง เรียกว่าถ้าดูแบบปล่อยวางก็ยังดูเพลินๆ ได้อยู่ เพลงที่ใช้ในหนังก็เข้าใจเลือกมาแบบเพราะๆ ทั้งนั้น แถมถ้าจะดูเอาแง่คิดก็ยังมีให้อยู่ถึงประเด็นงานและครอบครัว หักลบกลบหนี้แล้วก็ถือว่านี่เป็นหนังที่พอใช้ได้ ไม่แย่มากมายอย่างที่คนเขาติกันหรอกจ่ะ


ป๋า Travolta วาดลวดลายเต็มเหนี่ยว
  • น่าดูเพราะ: เป็นหนังตลกครอบครัวที่พอดูได้เพลินๆ และนี่เป็นหนังระดับรางวัล Razzie เชียวนะ พลาดได้ไง๊
  • ไม่น่าดูเพราะ: เต็มไปด้วยมุกฝืด และความซ้ำซาก อันไม่สร้างสรรค์เอาซะเลย



*อำลาอาลัย*

Bernie Mac (9 ต.ค.1957 - 9 ส.ค.2008)

หนังเรื่องนี้ถือว่าเป็นหนังเรื่องสุดท้ายของดาวตลกผู้ล่วงลับรายนี้ เพราะเขาได้เสียชีวิตในวัย 50 ขวบ จากอาการปอดบวมในวันที่ 9 ส.ค.2008 ยังความสูญเสียให้แก่วงการบันเทิงชาวมะกันเขา เพราะลุงนับเป็นที่รักใคร่ของชาวมะกัน และเพื่อเป็นการให้เกียรติและไว้อาลัย ทางผู้สร้างจึงได้เลื่อนโปรแกรมฉายจากเดือน เม.ย.ปีก่อนมาเป็นช่วงเดือน พ.ย.แทนในที่สุด ไปดีนะลุง...