วันจันทร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2553

MacGruber (2010): ยอดคนสมองรั่ว


MacGruber (2010) :
รายการ Saturday Night Live ปั้นดาราตลกมาประดับวงการมาหลายคนแล้ว อาทิเช่น Adam Sandler, Chris Rock, Mike Myers, Will Ferrell, Eddie Murphy ก็ล้วนเคยเป็นศิษย์เก่าที่นี่มาแล้วทั้งสิ้น คราวนี้ก็ถึงทีของศิษย์รุ่นน้องอย่าง Will Forte จะขอแจ้งเกิดกับเขาบ้างล่ะ โดยนำคาแรคเตอร์ MacGruber (ที่นำซีรี่ส์ยอดฮิตช่วงปี 1985-1992 อย่าง MacGyver (ยอดคนสมองเพชร)มาล้อเลียนอีกที) ซึ่งเขาเล่นเอาไว้ได้อย่างฮาในรายการมาสปินออฟขึ้นจอเงินมันซะเลย


พ่อหนุ่ม Ryan Phillippe ในหนังตลกบ้าบอ โอ้ว! เป็นไปได้หรือนี่!?
สำหรับเรื่องราวในเวอร์ชั่นจอเงินนี้ยอดชายนาย MacGruber ของเราก็ถูกอดีตผู้บังคับบัญชาเรียกตัวกลับมาช่วยสืบหาหัวรบนิวเคลียร์ X-5 ที่ถูกปล้นไปโดยตัวโกงประจำเรื่องอย่าง Dieter Von Cunth (Val Kilmer จาก Batman Forever [1995]) โดยพระเอกเราก็ได้นายทหารหนุ่มตาแป๋วอย่าง ผู้หมวด Dixon Piper (Ryan Phillippe จาก Cruel Intentions [1999]) และอดีตเพื่อนร่วมงานสาวที่แอบมีใจให้กับเขาอย่าง Vicki St. Elmo (Kristen Wiig จาก Whip It [2009]) มาเป็นลูกทีมในปฏิบัติการครั้งนี้ ซึ่งยอดคนสมองรั่วของเราย่อมต้องมีวิธีการสืบสวนที่ไม่ธรรมดาแน่นอน ชนิดที่ว่าดูเรื่องนี้แล้วท่านอาจจะเอียน'ผักขึ้นฉ่ายฝรั่ง' (Celery)ไปอีกนานทีเดียวล่ะ เหอๆ


Val Kilmer ฉุเต็มที่ในบทตัวโกงของเรื่อง
หนังได้ศิษย์ Saturday Night Live อีกคนอย่าง Jorma Taccone ที่ทำงานด้านเบื้องหลังให้กับรายการมาโดยตลอด มารับหน้าที่กำกับ ซึ่งสไตล์ของ ผกก.ก็เข้าขากันดีกับเรื่องราวแอ็คชั่นตลกเช่นนี้ แต่ถึงจะขึ้นชื่อว่าเป็นหนังตลก คาแร็คเตอร์แทบจะทั้งหมดกลับเล่นออกมาแบบเฉยๆ โดยปล่อยหน้าที่ตัวตลกบ้าบอให้กับพระเอกเราคนเดียวเท่านั้น(นี่ถ้าไม่มีพระเอกสักคนหนังคงจะกลายเป็นหนังแอ็คชั่นธรรมดาๆ ไปแล้ว) ซึ่งคาแรคเตอร์นำเราก็มาพร้อมกับทุกอย่างที่เป็นยุค 80 เต็มที่ ไม่ว่าจะทรงผม เครื่องแต่งกาย รถยนต์ แม้แต่รสนิยมการฟังเพลง ที่เชยได้ใจเชียว


มาดพี่เขาดีจริงๆ แต่อย่าเพิ่งเชื่อในภาพที่เห็นก็แล้วกัน(?)
หนังมาพร้อมตัวนำที่น่าจะมีอะไรให้เล่นได้แยะ แต่เสียดายที่พระเอกเราดันออกจะมีนิสัยไม่ค่อยน่ารักเอาสักเท่าไหร่ คือทั้งเหมือนเด็กเกรียนไม่ยอมโต เจ้าคิดเจ้าแค้น อวดฉลาด และอะไรอีกหลายอย่างที่ชวนให้หมั่นไส้มากกว่าเอ็นดู(แต่ถึงจะทำเสียแค่ไหนผลที่ออกมาก็ดีในท้ายที่สุดเสมอตามประสาหนังตลก) ส่วนมุกประดิษฐ์ของอะไรต่างๆ นั้นก็ไม่ค่อยเอามาใช้อย่างเกิดผลเท่าไหร่ นี่ยังดีนะที่มีบางฉากที่พระเอกเกรียน จนทำให้ฮาได้อยู่บ้าง(แต่นั่นก็ขึ้นอยู่กับรสนิยมของแต่ละคนด้วยเน้อ) โดยรวมแล้วจึงถือว่าเป็นหนังตลกที่สอบผ่าน พอดูได้(สำหรับเรา)ไปในที่สุด


ดูมาดบู๊ของยอดคนสมองรั่วซะก่อน
ทว่าที่น่าแปลกใจที่สุดคือการที่ได้เห็นคุณ Ryan Phillippe ในหนังตลกบ้าบอเรื่องนี้ ซึ่งถ้าดูจากเครดิตผลงานที่ผ่านมาของเขาแล้วก็นับว่านี่เป็นหนังแนวนี้เรื่องแรกๆ ของเขาเลยทีเดียว ในหนังเขามาพร้อมมาดเฉยๆ นิ่งๆ ตลกหน้าตายแบบไม่ต้องทำบ้าบออะไรนัก เลยยังฉายแววด้านตลกให้เห็นได้ไม่เท่าไหร่ ซึ่ง'ถ้า'การที่เขามารับเล่นหนังเรื่องนี้เพราะเงินล่ะก็ ในฉาก'ขึ้นฉ่าย'นั้นอาจจะถือว่าเป็นจุดตกต่ำที่สุดในชีวิตของเขาแล้วก็เป็นได้ ซึ่งเราก็หวังว่าคงจะไม่เป็นเช่นนั้นเน้อ เอาเป็นว่าเราขอแนะนำด้วยความหวังดีให้หาบทซีเรียสเล่นแบบเดิมอ่ะดีแล้ว พ่อคุ๊ณณณ อิอิ
  • น่าดูเพราะ: เป็นหนังตลกล้อเลียน MacGyver ที่ยังพอมีอะไรให้ขำได้อยู่ โดยเฉพาะมุกล้อเลียนความเป็นยุค 80
  • ไม่น่าดูเพราะ: พระเอกเรานิสัยไม่ค่อยน่ารัก(เกรียนซะ) ดูแล้วบางคนอาจจะหมั่นไส้มากกว่าจะขำพี่แกเอานะ




*ช่วงเพลงในหนัง*

MacGyver และทรงผม Mullet สุดฮิตของคนยุค 80
นอกจากพระเอกเราจะมาพร้อมทรงผมยอดฮิตของคนยุค 80 ที่เรียกว่าทรง 'Mullet' (หน้าสั้นข้างสั้นแต่ด้านหลังปล่อยยาว) แล้ว ยังมาพร้อมเพลงยุค 80 ซึ่งพอมาฟังทุกวันนี้ก็พบว่าช่างเชยได้ใจจริงๆ และในหนังก็มีมาให้ฟังหลายเพลงซะด้วยสิไม่ว่าจะเป็นเพลงของ Michael Bolton, Toto, Mr. Mister, Emerson, Lake & Powell แต่ก็ยังมีเพลงร็อคสมัยใหม่ให้ฟังกันอยู่ด้วยเพื่อเป็นการตัดอารมณ์อย่างเช่นเพลงของ The Black Keys, Wolfmother, The Hives อีกด้วย เราจึงได้เลือกเพลงทั้งสองยุคจากในหนังมาให้ฟังเปรียบเทียบกันซะเลยจ้า

MP3: The Hives - Tick Tick Boom


วันอาทิตย์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2553

Woochi (2009): ศึกจอมขมังเวทย์ทะลุภพ

Woochi (2009) :
เรื่องการเผยแพร่วัฒนธรรมของชาติตนเข้าไปกับหนังแบบเนียนๆ เนี่ยต้องยกให้เกาหลีเขาเลยล่ะ ไม่ว่าจะเป็น แดจังกึม ที่เล่นเอาพี่ไทยเราเห่ออาหารเกาหลีไปด้วย หรือบรรดาหนังทีวีที่เกี่ยวกับเหล่าคนสำคัญของชาติเขาทั้งหลายที่ทำเอาคนไทยได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ของเขาไปในตัว แบบที่ใครๆ ก็ต้องรู้จัก จูมง(แต่ของเราเองกลับนึกกันไม่ค่อยออก) และอีกหลายสิ่งที่ทำให้เกิดกระแส'เกาหลีฟีเว่อร์'มาจนทุกวันนี้ ซึ่งอันนี้ก็ต้องยกเครดิตให้พวกเขาที่มีความภูมิใจในความเป็นชาติของตนและสามารถนำมาผสมผสานเข้ากับความบันเทิงได้อย่างเหมาะเจาะยิ่งนัก

ดูเหมือน แฮร์รี่ พ็อตเตอร์ จะเจอคู่แข่งซะแล้ว
มาคราวนี้ก็ถึงคิวของวีรบุรุษจากตำนานพื้นบ้านของชาวเกาหลีเรื่อง"Tale of Jeon Woo Chi" กันบ้างล่ะ ซึ่งถูกหยิบนำมาสร้างเป็นหนังแฟนตาซีบู๊ปนตลกโดย ผกก.ชอยดองฮุน ที่ได้หนุ่มโย่ง คังดองวอน (Maundy Thursday [2006]) มารับบทพ่อมดหนุ่มมาดทะเล้น จอนวูชิ ที่ถูกขังไว้ในรูปภาพกว่า 500 ปีเพราะถูกใส่ร้ายป้ายสี จนในที่สุดก็ถูกปลดปล่อยออกมาในยุคปัจจุบัน เพราะเขาอาจเป็นเพียงผู้เดียวที่สามารถปราบปรามเหล่าปีศาจร้ายที่กำลังออกอาละวาดเพื่อต้องการจะครอบครองเกาหลีหรืออาจจะทั้งโลกเลยก็ได้(ป๊าด!)

ดูมาดก็รู้ว่าเป็นตัวโกง
ด้วยความที่เป็นหนังแฟนตาซีที่มีเรื่องราวโลดแล่นกันสองยุคสองสมัยเช่นนี้ เราจึงจะได้เห็นเหล่าปีศาจ การใช้คาถาอาคม การเหาะเหินเดินอากาศกันจุใจเชียวล่ะ ซึ่งงานด้านสเปเชี่ยลเอฟเฟกต์ก็ทำออกมารองรับจุดนี้ได้ดีมิใช่น้อยเลยทีเดียว(ก็น้องๆ ฮอลลีวู้ดล่ะนะ) สิ่งที่น่าชื่นชมอีกอย่างคือหนังให้เวลาในทั้งสองยุคเท่าเทียมกัน ซึ่งนอกจากจะทำให้ปูเรื่องราวได้หนักแน่นแล้วยังทำออกมาดูสนุกทั้งสองยุคด้วย (นี่ถ้าเป็นหนังฮอลลีวู้ดอาจจะให้เวลายุคอดีตแค่ไม่ถึงครึ่งชม.แล้วก็รีบกระโจนเข้าสู่ยุคปัจจุบันเป็นแน่เชียว) รวมถึงโทนหนังโดยรวมที่ไม่ซีเรียสเท่าใดนัก เลยเป็นความบันเทิงที่ดูได้เพลินๆ ดีแท้

เทคนิคงานสร้างดูดีมิใช่น้อยเลยทีเดียว
แต่ด้วยความที่หนังยาวซะกว่าสองชั่วโมง เลยรู้สึกว่าหนังยาวไปหน่อย นี่ถ้าหนังสั้นกว่านี้สัก 15-20 นาที แล้วก็ตัดตัวละครที่ไม่จำเป็นออกไปบ้าง จะกระชับและดูสนุกกว่านี้เป็นแน่ ส่วนอีกอย่างที่เป็นปัญหาคือความโม้ให้น่าเชื่อถือ(ซึ่งฮอลลีวู้ดถนัดนัก) ยกตัวอย่างเช่นพระเอกกับโจรบู๊กันเถิดเทิงอยู่กลางเมือง แต่ไม่เห็นหัวตำรวจหรือแม้กระทั่งชาวบ้านในบริเวณข้างเคียงแม้แต่น้อย (หรือเขาอาจจะเลือกทำเลเปลี่ยวก่อนซัดกันมาแล้ว?) รวมทั้งการที่ติดตลกแบบนี้เลยทำให้เรื่องราวอาจไม่เข้มข้นเท่าที่ควรนัก

โผล่มายุคปัจจุบันไม่ทันไรก็ซดเบียร์กันซะแล้วนะพ่อคุ๊ณณ
ยังไงซะก็ถือว่าหนังประสบความสำเร็จในการนำเรื่องราววีรบุรุษในตำนานของชาติเขามาขึ้นจอเผยแพร่ให้โลกได้รู้จัก(คนในชาติก็ชอบดูด้วย) โดยได้เทคนิคงานสร้างที่ได้มาตรฐานทำให้หนังดูมีเกรด และใส่ความทันสมัยเข้าไปทำให้เรื่องราวไม่เชยและน่าสนใจขึ้นมาแยะ แบบนี้เห็นทีหนังเกาหลีคงจะเสื่อมความนิยมยากหน่อยซะแล้วมั้ง ในเมื่อรู้จักประยุกต์ความเป็นชาติของตนเข้าความทันสมัยได้เช่นนี้ ในขณะที่บางประเทศแถวนี้กลับหนีความเป็นตัวของตัวเองเพื่อพยายามกลายเป็นเหมือนชาติอื่นไปซะงั้น เฮ้อ อยากจะร้องออกมาดังๆ ว่า กรูมึนโฮ...(ยืมชื่อมาแซวเท่านั้น ไม่ได้ว่าตัวหนังเน้อ อิอิ)

  • น่าดูเพราะ: เป็นหนังแฟนตาซีเกาหลีที่เด่นทางด้านเทคนิคที่ดูดีมาก แถมเล่าเรื่องได้เข้าท่าดูเพลินๆ ดีจ้า
  • ไม่น่าดูเพราะ: หนังยืดยาวไปนิดและถ้าจริงจังมากกว่านี้หน่อยก็จะแหล่มไปเลยจ้า


วันศุกร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2553

The Expendables (2010): รวมพลคนพันธุ์บู๊


The Expendables (2010) :
ลุง Sylvester Stallone (64 ขวบ) แกกลับมาดังอีกครั้งด้วยการขุดบุญเก่าอย่าง Rocky Balboa (2006) และ Rambo (2008) มาหากิน ซึ่งก็อย่าไปตำหนิลุงแกเลยเพราะหนังก็ไม่ได้ออกมาเลวร้ายอะไร แต่ก่อนที่คนจะค่อนขอดแกไปมากกว่านี้ ลุงก็เลยขอคิดการใหญ่ไอเดียกระฉูดโดยการรวบรวมบรรดาดาราบู๊เคยรุ่งช่วงยุค 80-90 มารวมตัวกันในเรื่องล่าสุดของแกซะเลย ซึ่งก็สร้างความฮือฮาวึ๊ดว๊ายกระตู้ฮู้ได้พอสมควร จนนับเป็นหนังอีกเรื่องหนึ่งของซัมเมอร์นี้ที่บรรดาคอหนังหลายคนหมายหัวไว้ว่าเสร็จตูแน่เลยทีเดียว


ลุงแกปูนนี้แล้วยังฟิตบู๊กระจายได้อยู่
และก็เป็นเหมือนอย่างคำพูดตอนที่ลุงเขาชวน Jean-Claude Van Damme มาเล่นที่บอกว่า"หนังโคตรมันส์ บู๊แหลกราญ และฮิตแน่นอน" นั่นแหล่ะ เพราะหนังก็ออกมาเป็นแบบนั้นจริงๆ คือเป็นหนังที่ทำออกมาเพื่อสนองตัณหาของคอหนังแอ็คชั่นแบบแมนๆ ที่นิยมใช้กำลังมากกว่าสมองโดยเฉพาะ ดังนั้นเนื้อหาสาระชั้นเชิงอะไรนั้นไม่ต้องไปพูดถึงเลย จึงทำให้หนังไม่มีอะไรใหม่ๆ มาฝาก แต่หนังก็มีจุดแข็ง(มากๆ)เข้ามาทดแทนซึ่งก็คือบรรดาดาราบู๊เคยรุ่งและยังรุ่งทั้งหลายที่โผล่กันมาสร้างสีสันคนละนิดคนละหน่อย และไดอะล็อคบทพูดที่เขียนออกมาได้มีสีสันดูเพลินไม่น้อยทีเดียวเชียว


เฮีย Jet Li ก็วาดลวยลายได้ดีไม่ใช่เล่น
ส่วนคนที่เด่นกว่าเพื่อนรองจากลุงในฐานะผู้นำแล้ว(แหงสิ)ก็คือพี่เหม่ง Jason Statham (Death Race [2008]) ในขณะที่คนอื่นๆ ก็ยังมีช่วงเวลาของตนให้ได้โชว์ออฟกันอยู่(แม้แต่ท่าน Arnold Schwarzenegger และ Bruce Willis ที่โผล่มากันแว๊บเดียวก็เหอะ) ด้านคิวบู๊ก็โหดกระจายแบบเดียวกับ Rambo ตอนล่าสุด จนอาจถูกตำหนิว่ารุนแรงเกินความจำเป็นไปหน่อยก็ได้(แต่สะใจคอซาดิสม์ซะ) ในขณะที่ผู้หญิงก็เป็นเพียงไม้ประดับสำหรับหนุ่มๆ เหล่านี้เท่านั้น(เพื่อให้รู้ว่าไม่ได้เป็นเกย์กันมั้ง อิอิ)


หนังได้นักแสดงชื่อดังมาร่วมแจมเพียบ
แม้จะบู๊เอามันส์กันอย่างเดียว แต่ก็ทำได้ถึง ถูกใจคอหนังบู๊กันแน่นอน โดยเฉพาะการที่ได้เห็นนักบู๊มากมายมารวมตัวกันมากมายขนาดนี้(ถึงแม้จะเริ่มหง่อมกันแล้วก็เหอะ) หาดูกันได้ง่ายๆ เสียที่ไหน จนเห็นท่าว่าหนังคงจะประสบความสำเร็จและมีสิทธิ์สูงที่เราอาจจะได้เห็นภาคต่อกัน ซึ่งทั้งหมดนี้ก็ต้องยกเครดิตให้ลุงสไลเขาล่ะ ที่ดูเหมือนว่าแกจะยังมีดีพอที่จะไปได้อยู่ แต่ถึงกระนั้นแกก็รู้ตัวเองดีไม่ได้หลงตัวเองว่าข้าเจ๋งข้าแน่ ซึ่งดูได้จากในหนัง มีหลายๆ ฉากที่แกก็เกือบเอาตัวเองไม่รอดเหมือนกัน ต้องขอให้นักบู๊รุ่นน้องช่วย แถมยังยอมรับอย่างหน้าชื่นตาบานว่าแกแก่แล้ว คงไม่ไวเหมือนในอดีต ซึ่งตรงนี้นี่แหล่ะที่ทำให้ได้ใจคนดูยิ่งนัก สู้ต่อไปนะลุงสไล!!


สองคนนี้ก็ได้รับเทียบเชิญให้มาเล่นแต่ก็ปฏิเสธไปอย่างน่าเสียดาย
  • น่าดูเพราะ: บู๊เถิดเทิง มันส์ซะจริง ดารานักบู๊ก็คับคั่ง ไม่ดูได้ไงล่ะเนี่ย
  • ไม่น่าดูเพราะ: นอกจากดาราแยะแล้ว ก็ไม่ใช่หนังบู๊ที่มีชั้นเชิงนักแถมก็รุนแรงซะ ซึ่งหลายคนคงไม่ชอบดูอะไรแบบนี้หรอก




*ช่วงเพลงในหนัง*

ลุงและพรรคพวกกำลังทำหน้าเคลิ้มถึงความสำเร็จของหนัง
นอกจากงานด้านสกอร์เพลงฝีมือของ Brian Tyler คอมโพเซอร์หนุ่มที่ถนัดทำเพลงให้หนังแอ็คชั่น ซึ่งเคยร่วมงานกับลุงสไลมาตั้งแต่ครั้ง Rambo (2008) แล้ว หนังก็ยังมีเพลงร็อคคลาสสิคให้ได้ยินในหนังด้วยไม่ว่าจะเป็นเพลงของ Creedence Clearwater Revival หรือเพลงสุดคลาสสิคอย่าง The Boys Are Back in Town ของ Thin Lizzy ที่ใช้ในช่วงเอนด์เครดิต ว่าแล้วเราก็มีเพลงหลังมาฝากกันตามฟอร์มจ้า

MP3: Thin Lizzy - The Boys Are Back In Town


Suck (2009): ดูดจ๊วบๆ แวมไพร์พันธุ์ร็อค


Suck (2009) :
ช่วงนี้จะหันไปทางไหนก็เจอแต่หนังแวมไพร์ ทั้งแวมไพร์ สยอง บู๊ โรแมนติค ตลก สยิว ก็มีมาหมด และทีนี้ก็ถึงคราวของแวมไพร์พันธุ์ร็อคบ้างล่ะ(เราจะทำเป็นลืม Queen of the Damned (2002)ไปก็แล้วกันเนอะ) ซึ่งหนังแวมไพร์ตลกจาก แคนาดา เรื่องนี้ก็ไม่ใช่ขี้ไก่เลย เพราะขนศิลปินร็อคชื่อดังมาเพียบ อาทิ Dave Foley(แห่งวง Rush), Alice Cooper, Iggy Pop, Henry Rollins, Dimitri Coats (แห่งวง Burning Brides)และแม้แต่ศิลปินอิเลคโทรนิคอย่าง Moby มาผลัดกันร่วมสร้างสีสันอีกด้วย


แหม... ใช้หลอดดูดเป็นสเลอปี้เชียวนะจ้ะ
หนังเล่าเรื่องแสนวุ่นของวงดนตรีร็อคเล็กๆ ชื่อ The Winners ที่กำลังเดินสายแสดงตามเมืองต่างๆ ในแคนาดาและอเมริกา แต่มือเบสสาวของวง (Jessica Paré ที่หน้าเหมือน Liv Tyler มาก) ดันไปโดนแวมไพร์ตัวพ่อ (Coats) ทำให้กลายเป็นแวมไพร์อีกตัวไปซะนี่ ซึ่งกว่าสมาชิกในวงที่เหลือจะรู้ว่ามือเบสตนกลายเป็นแวมไพร์ไปซะแล้วก็เล่นเอาวุ่นวายกันน่าดูเชียว แต่แทนที่พวกเขาจะรังเกียจรังงอนเธอ กลับกลายเป็นว่าเห็นดีเห็นงามไปซะนี่ เพราะว่าเธอได้กลายเป็นตัวดึงดูดแฟนเพลงจนยอดเข้าชม Myspace ของทางวงพุ่งปรี๊ด ทำให้ความฝันที่จะดังของพวกเขาใกล้ความจริงขึ้นมา แต่ก็มีอุปสรรคจนได้เมื่อยังมีนักล่าแวมไพร์สุดเก๋าอย่าง Eddie Van Helsing (Malcolm McDowell จาก Halloween II [2009]) ที่กำลังตามล่าพวกเขาอย่างกระชั้นชิดชนิดหายใจรดต้นคอทีเดียว


หนังได้ศิลปินร็อคในตำนานมาร่วมแจมหลายคน
งานนี้พ่อหนุ่ม Rob Stefaniuk ทั้งกำกับและเล่นเป็นพระเอกเอง และเขาก็ทำหน้าที่ได้อย่างดีเพราะสามารถใส่ความเป็นตลกร้ายและอนิเมชั่นเข้ามาผสมผสานได้อย่างน่าสนใจ(ที่ทั้งเก๋และยังช่วยประหยัดงบได้อีก) ในขณะที่ด้านการเมคอัพแวมไพร์ก็ดูไม่หน่อมแน้ม ทว่าน่ากลัวอย่างที่ควรจะเป็น แต่เสน่ห์ที่แท้จริงของหนังก็คือ มุกที่เกี่ยวกับแวดวงดนตรีที่แทรกเข้ามาตลอดไม่ว่าจะเป็นการเลียนแบบปกอัลบั้มร็อคสุดคลาสสิคชุดต่างๆ การตั้งชื่อตัวละคร Eddie Van Helsing ที่ล้อเลียนยอดมือกีต้าร์ Eddie Van Helen แบบเห็นๆ และการที่มีเหล่านักดนตรีดังๆ ผลัดกันโผล่มาเรียกสีสันกันทั้งเรื่อง ซึ่งเป็นอะไรที่คงทำให้คอร็อคคงได้เฮกันได้ตลอดแน่

ป๋า Alice Cooper และลูกสาวก็มากับเขาด้วย
แต่ข้อเสียก็คือสำหรับคนที่ไม่ใช่คอร็อคสักเท่าไหร่แล้วก็คงจะไม่เก็ตมุกเหล่านั้นแน่นอน และอาจมองว่านี่เป็นแค่หนังแวมไพร์ธรรมดาๆ ที่สร้างออกมาตามกระแสก็ได้ กับช่วงท้ายที่หย่อนความสนุกลงไปนิดอีกด้วย โดยรวมแล้วถือว่าเป็นหนังแวมไพร์ตลกที่ทำออกมาได้มีเสน่ห์ในแบบที่อนาคตอาจขึ้นหิ้งหนังคัลต์ได้ แต่ว่าก็ว่าเหอะดูหนังแล้วทำให้เห็นประเด็นหนึ่งที่ว่า ในอดีตถ้านึกถึงหนังแวมไพร์ก็มักจะทำให้พวกมันออกมาน่าเกลียดน่ากลัว แต่มาทุกวันนี้การเป็นแวมไพร์กลับกลายเป็นอะไรที่มันเท่ ดึงดูดใจ ท้าทายชนิดที่ใครๆ ก็อยากจะเป็นกันไปซะงั้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่าค่านิยมเกี่ยวกับแวมไพร์ของคนเรายุคนี้เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ จนถ้าพวกมันมีอยู่จริงก็คงจะอดเอ่ยขึ้นมาด้วยความตื้นตันใจเสียมิได้ว่า "ขอบคุณนะจ้ะ Twilight" แน่ๆ เชียว เหอๆ
  • น่าดูเพราะ: เป็นหนังแวมไพร์ตลกร้ายที่แทรกเรื่องดนตรีเข้ามาชนิดที่ต้องถูกใจคอร็อค(รุ่นเก่า)เป็นแน่เชียว
  • ไม่น่าดูเพราะ: ถ้าไม่ใช่คอร็อคจะพบว่าหนังดูสนุกน้อยลงไปกว่า 50% เลยทีเดียว




*ช่วงเพลงในหนัง*
มาด Alice Cooper ในหนัง
เพราะเป็นหนังที่เกี่ยวกับวงร็อค เลยมีแต่เพลงร็อคให้ฟังกัน โดยเฉพาะเพลงของวง The Winners วงสมมุติในหนังที่ยอดชายนาย Rob Stefaniuk ผกก./พระเอกเราแต่งไว้ใช้ในหนังซะหลายเพลง(ซึ่งก็เพราะดี) แต่ด้วยความที่มีศิลปินร็อครุ่นเก๋ามาร่วมแจมหลายราย ก็เลยยังมีเพลงร็อครุ่นลายครามมาให้ฟังกันอยู่บ้างไม่ว่าจะเป็นเพลงของ The Velvet Underground, David Bowie, Spoons และแน่นอนที่ต้องมีเพลงของบรรดาศิลปินที่มาร่วมแจมในหนังแน่ๆ ทั้ง Alice Cooper, Iggy Pop และ Burning Brides ซึ่งเราก็ได้เลือกบางเพลงมาฝากกัน (เสียดายที่เพลงของ The Winners หาฟังยังไม่ได้)

MP3: The Velvet Underground - Oh! Sweet Nuthin'


วันอังคารที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2553

The Experiment (2010): AF เวอร์ชั่นขังชาย

The Experiment (2010) :
และแล้วหนังคุกเทียมๆ แต่อยู่แล้วชีช้ำอย่าง Das Experiment (2001) ของ ผกก.ชาวเยอรมัน Oliver Hirschbiegel (Downfall [2004]) ก็ถูกฮอลลีวู้ดจับไปรีเมคเรียบร้อย แถมดาราที่มาเล่นก็ไม่ใช่ขี้ไก่มาจากไหน เพราะได้สองดารานำชายออสก้าร์อย่าง Adrien Brody (Predators [2010]) และ Forest Whitaker (Repo Men [2010]) มาเชือดเฉือนบทกันเชียวนะ อีกทั้งตัว ผกก.อย่าง Paul Scheuring ก็คุ้นเคยมากับหนังแนวคุกๆ แบบนี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้วจากการที่เป็นมือเขียนบทและอำนวยการสร้างให้กับซีรี่ส์แหกคุกสุดดังในอดีตอย่าง Prison Break (2005-2009) นั่นเอง


พี่เขาหัวโล้นมาเลยในเรื่องนี้
หนังเดินตามรอยต้นฉบับซึ่งว่าด้วยเรื่องของชาย 26 คนที่สมัครเข้าร่วมการทดลองทางวิทยาศาสตร์เพื่อแลกกับเงินก้อนงามเมื่อเสร็จสิ้นการทดลองนี้ โดยพวกเขาจะต้องถูกพาไปไว้ในสถานที่ห่างไกลผู้คนแห่งหนึ่งที่ถูกสร้างเลียนแบบคุกขึ้นมา ต่อมาพวกเขาก็ถูกแบ่งเป็นสองกลุ่ม พวกแรกจะต้องรับบทเป็นผู้คุม อีกพวกจะต้องรับบทเป็นนักโทษ ซึ่งพวกเขาจะต้องเล่นตามบทของตนไปเป็นเวลาสองสัปดาห์ โดยมีกล้อง cctv หลายตัวของผู้วิจัยคอยจับตาดูพฤติกรรมอยู่ตลอด 24 ชั่วโมง


น้าแกเหมาะกับบทคนบ้าอำนาจจริงๆ
วันแรกอะไรก็ยังขำๆ ชิวๆ ดีอยู่หรอก แต่ไปๆ มาๆ ก็ชักขำไม่ออกแล้วเมื่อเหล่าผู้คุม(ปลอมๆ)บางคนเกิดบ้าอำนาจขึ้นมา และเริ่มข่มเหงนักโทษ(ปลอมๆ)จนเครียดกันไปทั้งคุก(ปลอมๆ) แถมยังจะหนักข้อขึ้นทุกวันเสียด้วยสิ งานนี้เลยดูเหมือนว่าระยะเวลาสองสัปดาห์ของการทดลองครั้งนี้ช่างยาวนานเสียจริง ซึ่งก็ต้องมาลุ้นต่อไปว่าชะตากรรมของเหล่า AF เวอร์ชั่นคุกทั้งหลายจะเป็นยังไง? จะอยู่รอดจนถึงวันสุดท้ายหรือไม่? และงานนี้จะมีแหกคุกแบบใน Prison Break หรือเปล่า? โปรดติดตาม

ดูเหมือนพี่เขาจะโดนข่มเหงอีกแล้วนะงานนี้
ดูเหมือนว่าเวอร์ชั่นมะกันนี้จะเพิ่มความแรงความซกมกขึ้นมาและดัดแปลงบางอย่างจากต้นฉบับพอสมควร โดยเฉพาะการเพิ่มจำนวนตัวละครในคุก แต่กลับตัดบทบาทของเหล่านักวิทยาศาสตร์ออกไปเสีย ในขณะที่หนังก็ยาวเพียงชั่วโมงครึ่ง(ต้นฉบับยาวกว่าครึ่งชม.) เลยทำให้ไม่สามารถสร้างความกดดันได้เท่ากับต้นฉบับ ตัวละครหลายตัวก็ดูชั่วมาแต่ไกลเชียว ไม่เหมือนต้นฉบับที่แต่ละคนดูเหมือนคนบ้านๆ ทั่วไป(ที่ค่อยมาออกลายกันในคุกในเวลาต่อมา) รวมทั้งช่วงท้ายเรื่องที่จบแบบฮอลลีวู้ดจ๋าเชียว นี่ยังดีนะที่สองนักแสดงนำของหนังยังเล่นได้อย่างน่าประทับใจ ไม่งั้นคงจะจืดลงไปกว่านี้เยอะทีเดียว


ผู้คุมเขาก็เครียดเป็นเหมือนกันนะ
ทราบมาว่าตอนแรกผู้สร้างตั้งใจจะฉายโรงแต่สุดท้ายก็ตัดสินใจส่งตรงลงแผ่นเลย ซึ่งก็ไม่แปลกใจเลยเพราะถึงแม้จะได้สองดาราใหญ่ระดับออสก้าร์มาร่วมแสดง แต่โดยรวมแล้วก็เป็นหนังเล็กๆ หน้าหนังขายยาก แม้แนวคิดจะดีแต่ผลลัพธ์ก็ยังธรรมดาไป โดยเฉพาะสำหรับคนที่เคยได้ดูต้นฉบับมาก่อนก็จะพบว่ายังสู้ต้นฉบับไม่ได้ (ทั้งที่ต้นฉบับก็ไม่ได้ดีเลิศอะไรมากมาย) แต่สองฉบับก็ยังคงบอกสิ่งเดียวกันที่ว่า อำนาจสามารถทำให้คนเราร้ายกาจได้ถึงขนาดไหน อืม น่าคิดๆ
  • น่าดูเพราะ: เป็นหนังรีเมคที่ดูได้ดูดี ให้ข้อคิด และดารานำก็ระดับออสก้าร์เชียวนะ
  • ไม่น่าดูเพราะ: แต่ถ้าเผอิญเปรียบเทียบกับต้นฉบับก็จะพบว่า ต้นฉบับดีกว่า และน่าเสียดายที่หนังดูจะรวบรัดไปนิดเลยบิวท์อารมณ์ความเครียดของคนดูได้ไม่ถึงจุดนัก



*ช่วงย้อนรอยหนังต้นฉบับ*
Das Experiment (2001) :

ก่อนจะเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกจากหนังช่วงสุดท้ายของชีวิตฮิตเลอร์อย่าง Downfall (2004) ผกก.
Oliver Hirschbiegel ก็เป็นที่จับตามองขึ้นมาจากหนังเรื่องนี้แล โดยหนังสร้างขึ้นมาจากหนังสือ Black Box ของ Mario Giordano ซึ่งได้แรงบันดาลใจจากการทดลองจริงเมื่อปี 1971 ที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด อเมริกา อีกทีหนึ่ง


ดูเหมือนพี่เขาจะเครียดน่าดูนะเนี่ย
แม้หนังยังมีอะไรเล็กๆ น้อยๆ ที่ดูจงใจไปนิดแต่ ผกก.Hirschbiegel ก็สามารถแสดงฝีมือให้ประจักษ์ด้วยการเล่าเรื่องที่ค่อยๆ สร้างความกดดันให้แก่คนดูทีละน้อยๆ ไปจนถึงจุดแตกหักช่วงท้ายเรื่องได้ในที่สุด จนหนังเป็นที่ฮือฮาจากบรรดาคอหนังมาจนทุกวันนี้


โฉมหน้าบรรดาผู้คุมจำเป็นทั้งหลาย
แต่เสียดายที่การโกฮอลลีวู้ดของเขาด้วยหนังต่างดาวที่นำแสดงโดย Nicole Kidman อย่าง The Invasion (2007) จะแป้กเพราะถูกสตูดิโอยุ่มย่ามเอาไปตัดต่อใหม่โดยให้เหตุผลว่าหนังฉบับเขา"ไม่มันส์พอ" จนเล่นเอาเขาเข็ดขยาดฮอลลีวู้ดและถอยไปทำหนังเล็กๆ ที่อังกฤษอย่าง Five Minutes of Heaven (2009) ในเวลาต่อมา ซึ่งก็หวังว่าอนาคตเขาจะยังทำหนังดีๆ มาให้คอหนังได้ดูกันอีกเน้อ เอาใจช่วยๆ