วันอาทิตย์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2553

The American (2010): หัวอกคนเป็นนักฆ่า


The American (2010) :
ผลงานล่าสุดของเฮีย George Clooney (อดีต Batman เวอร์ชั่นที่เกย์ที่สุดเท่าที่เคยมีมาอย่าง Batman & Robin [1997])เรื่องนี้ดัดแปลงมาจากนิยายเรื่อง A Very Private Gentleman ของนักเขียนชาวอังกฤษผู้ล่วงลับ Martin Booth โดยได้ Anton Corbijn ผกก.มิวสิควีดีโอผู้ช่ำชองมารับหน้าที่กำกับ ซึ่งก็ไปถ่ายทำตลอดงานกันถึงอิตาลีด้วยนะ ขอบอก


ดูท่าเฮียเขาจะส่องเจออะไรเด็ดๆ เข้าซะแล้ว
เรื่องนี้เฮียเขารับบทเป็นนักฆ่ามาดนิ่งชาวมะกัน ที่ต้องคอยหลบๆ ซ่อนๆ เพราะโดนตามเก็บอยู่ และเมื่อเขาได้ไปกบดานแถวชนบทในอิตาลี ก็ตัดสินใจว่าจะล้างมือจากวงการไปใช้ชีวิตอย่างสงบกับแฟนสาวเสียที แต่ก่อนที่จะทำเช่นนั้นได้ เขาต้องรับงานชิ้นสุดท้ายเสียก่อน ซึ่งก็แน่นอนว่างานชิ้นสั่งลาวงการนี้คงไม่ใช่งานง่ายๆ แบบปลอกกล้วยเข้าปากแน่นอน ยังไงก็โปรดตามลุ้นให้กำลังใจเฮียเขาว่าจะได้ไปครองรักกับแฟนอย่างสุขีสโมสรในท้ายที่สุดหรือไม่เอย จุ๊บๆ

เฮียเขาคงไม่อยากทำให้สาวคนข้างๆ โกรธเป็นแน่เชียว
สิ่งแรกที่ชวนแปลกใจก็คือการที่ ผกก.Corbijn ทำหนังออกมาได้เรื่อยๆ นิ่งๆ ไม่หวือหวา หรือเปี่ยมสไตล์ ซึ่งผิดวิสัยผกก.ที่มาจากสาย MV ส่วนใหญ่ยิ่งนัก แต่การที่ไม่หวือหวาเช่นนี้ก็จะดูเหมาะกับตัวหนังโดยรวมแล้ว และการที่ได้เฮีย Clooney มาเป็นพระเอกเนี่ยก็ช่วยให้หนังดูดีมีชาติการ์ตูนขึ้นมาเยอะเลย ซึ่งเฮียเขาทำหน้าที่ได้ดีในบทนักฆ่าผู้เปลี่ยวเหงาที่ต้องการใครสักคนมาเคียงข้าง(ถ้าเป็นคนอื่นมาเล่นหนังคงจะจืดลงไปแยะเลย) เมื่อมาเจอกับวิวทิวทัศน์งามๆ ของชนบทประเทศอิตาลีด้วยแล้ว ก็เลยดูเพลินขึ้นมาได้อีก


เฮียเขาถือปืนวิ่งขึ้นบันไดได้เท่มาก
ถึงหนังจะมีฉากยิงกันที่จริงจัง เด็ดขาด แต่ก็มีน้อยเอามากๆ ถึงน้อยที่สุด ซึ่งเวลาส่วนใหญ่ของหนังหมดไปกับการแสดงให้เห็นถึงชีวิตที่ขาดสันติสุข(ไม่ใช่พรหมศิริ) ของพระเอกที่ต้องคอยหวาดระแวงคนรอบข้าง จนทำให้เขากลายเป็นคนเดียวดาย เปลี่ยวเหงา ไม่เคยไว้วางใจใคร คิ้วก็ขมวดซะตลอดเวลา (ดูท่าเฮียเขาน่าจะท้องผูกด้วยนะ อิอิ) ซึ่งจะว่าไปแล้วนี่ก็คงเป็นเหมือนกับ Up in the Air (2009) เวอร์ชั่นนักฆ่าสุดซีเรียสนั่นแหล่ะมั้ง ท่านผู้อ่านที่รักทั้งหลาย


วิวทิวทัศน์และสาวๆ ของอิตาลีเนี่ยแจ่มไปเลย
  • น่าดูเพราะ: เป็นหนังทริลเลอร์นิ่งๆ เรื่อยๆ แต่หนังก็ยังถือว่าดูดี มีกึ๋น เข้าท่าอยู่นะ เฮีย Clooney เอาหนังได้อยู่ วิวสวยอีกต่างหาก
  • ไม่น่าดูเพราะ: หย่อนความสนุก ตื่นเต้น และไม่มีอะไรใหม่ๆ เด็ดๆ เลยพาลจะน่าเบื่อสำหรับคนที่หวังจะเห็นอะไรมันส์ๆ เอาได้






วันศุกร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2553

Mind Game (2004): แนวกว่านี้ยังมีอีกมั้ย?


Mind Game (2004) :
แค่โปสเตอร์ก็ดูออกแนวๆ มั่วๆ ยังไงชอบกลแล้วสำหรับผลงานจาก Studio 4°C เจ้าของผลงานแจ่มๆ อย่าง Memories (1995), Spriggan (1998) และอนิเมะตอน Kid's Story ใน The Animatrix (2003) เรื่องนี้ที่เป็นการนำเอาหนังสือการ์ตูนชื่อเดียวกันของนักเขียนสุดแนว โรบิน นิชิ มาสร้าง ซึ่งก็ได้อนิเมเตอร์หนุ่มผู้มีวิสัยทัศน์อย่าง มาซาอากิ ยูอาสะ มาถ่ายทอดความแนวสุดๆ ฉุดไม่อยู่ให้ต้องเหวอกันไปข้างหนึ่งเลยทีเดียวเชียว


งานด้านภาพมีหลากหลายสไตล์(มาก)
ส่วนเนื้อเรื่องนี่เล่ากันไม่ถูกเลย(ก็เล่นแนวจัดซะแบบนี้) เอาเป็นว่าในเรื่องนี้ท่านจะได้พบกับเรื่องราวสุดมหัศจรรย์พันลึกของ ยากูซ่าบ้าฟุตบอล, ไอ้หนุ่มนักเขียนการ์ตูนขี้แพ้, สาวอกบึ้มแสนน่ารัก, ปลาวาฬยักษ์ที่กลืนเรือเดินสมุทรและแม้แต่กระทั่งเครื่องบินโบ้อิ้งเข้าพุงไปได้เฉยเลย และพระเจ้าที่รูปร่างหน้าตาเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ทุกวินาที ด้วยเหตุผลที่ว่าทั่นตัดสินใจไม่ได้ว่าตกลงจะมีรูปร่างหน้าตายังไงดีก็เลยเหมาหมดซะงั้น เป็นต้น(เอิ่ม...นี่ยังแค่บางส่วนของความแนวในหนังนะ)


เริงระบำในท้องปลาวาฬ
แค่เริ่มต้นมาก็แนวได้ใจแล้ว(แนวจะมั่ว) ด้วยการตัดต่อภาพเหตุการณ์ต่างๆ โยนใส่คนดูแบบไม่รู้ที่มาที่ไปจนต้องเล่นเอาเหวอและสับสนไปตามๆ กันแน่ แถมสไตล์ด้านภาพก็หลากหลายและเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาตลอดเลยเสียด้วย ดังนั้นอย่าได้แปลกใจที่ในช่วงแรกของหนังจะทำให้ท่านต้องรำพึงในใจว่า 'หนังบ้าอะไรของมันวะเนี่ย?!' แต่พอสักพักไปเมื่อเริ่มจับทางได้จนคุ้นกับสไตล์ของหนังแล้ว ก็อย่าได้แปลกใจที่ท่านจะต้องรำพึงในใจอีกว่า 'หนังบ้าอะไรของมันวะเนี่ย... เจ๋งโคตร!' ซึ่งก็คิดไม่ผิดไปหรอกครับ เพราะว่านี่เป็นอนิเมะที่เจ๋งโคตรจริงๆ นะครับพี่น้อง


ตัวอะไรก็ไม่รู้กำลังแทะหูตัวโกงอยู่
หนังมีจุดเด่นตรงงานด้านภาพหลากหลายสไตล์ ที่ทั้งจัดจ้านและสร้างสรรค์ ลายเส้นก็ไม่เน้นหล่อเน้นสวยแต่เน้นเอามันส์เป็นหลัก ดนตรีประกอบก็สุดจะชวนคึกเข้ากับเรื่องราวเป็นอย่างดีแล้ว หนังยังออกมาดูสนุก ดูเพลิน ไม่มีน่าเบื่อ แถมยังเต็มไปด้วยอารมณ์ขันสุดกวนและเชิงสัญลักษณ์มากมายที่ชวนให้คิดตีความหมายอีกด้วย เรียกได้ว่าจะดูเอาสไตล์สุดแนวต่างๆ ก็ได้ จะดูเอาเพลินก็ได้ จะดูเอาสาระก็ยังได้อีกแน่ะ(ถ้าหาเจอนะ) อืม... ครบเครื่องจริงๆ นะเนี่ยเรื่องนี้


สีสันฉูดฉาดซะจริงเรื่องนี้
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าดูแล้วจะชอบกันได้ทุกคน เพราะปัญหาก็คือความแนวจัดของหนังเองซึ่งถือเป็นจุดอ่อนใหญ่เลยล่ะ หลายคนจะพบว่าหนังช่างมั่วซั่วดูไม่รู้เรื่องเลยสักนิด(ซึ่งแม้แต่คนที่เก็ตมุกของหนังก็ยังไม่สามารถเข้าใจทุกอย่างในหนังได้จากการดูแค่ครั้งเดียวเลย) และถึงจะเป็นการ์ตูนแต่เรื่องราวก็ไม่ใช่แนวที่เหมาะจะดูกันได้ทุกเพศทุกวัย ซึ่งถ้าสิ่งที่เอ่ยถึงข้างต้นนั้นไม่ใช่อุปสรรคสำหรับท่านแล้ว ก็จะพบว่านี่ช่างเป็นอนิเมะที่บ้าพลังและสร้างสรรค์ที่สุดเรื่องหนึ่งเท่าที่เคยดูมาเลยทีเดียว เจ๋งโคตร!

คู่พระนางของเรื่องกำลังจู๋จี๋กัน
  • น่าดูเพราะ: เป็นอนิเมะสุดแนว ที่สุดสร้างสรรค์ บ้าพลัง งานด้านภาพจัดจ้านหลากสไตล์ ที่คออนิเมะที่ชอบลองอะไรใหม่ๆ แนวๆ ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง
  • ไม่น่าดูเพราะ: ออกแนวมั่ว ดูแล้วงง มึน โฮ ไม่เหมาะสำหรับคนที่ชอบดูอะไรย่อยง่ายๆ จบแล้วก็จบกันนัก








Indie Halloween 2010: รวมเพลงฮัลโลวีนแบบอินดี้ๆ

พรุ่งนี้มะรืนก็วันฮัลโลวีนแล้ว ทางบล็อกเราจึงขอถือโอกาสโหนกระแสโดยการรวบรวมทั้งเพลงอินดี้และไม่อินดี้ซึ่งมีเนื้อหา บรรยากาศ หรือไม่ก็ชื่อเพลง ที่เกี่ยวข้องหรือไปกันได้กับเทศกาลสำคัญของฝรั่งนี้มาให้ฟังกันเพลินๆ ได้บรรยากาศไปอีกแบบเหมือนกันนะ ส่วนว่าจะมีเพลงของใครหรือเพลงของศิลปินโปรดรายไหนของท่านรวมอยู่บ้างนั้น ก็ขอเชิญดูเชิญฟังกันได้เลย ณ บัดนาวจ้า


MP3: Shiny Toy Guns - It's Halloween at the House of Spooks

MP3: The Evangelicals - The Halloween Song


MP3: King Tuff - Freak When I’m Dead


MP3: Howlies - Zombie Girl


MP3: Major Lazer - Who Run De Floor On Halloween (AnimalStatuS remix)


MP3: TV on the Radio - Let the Devil In


MP3: Air - Ghost Song


MP3: Beck - Scarecrow


MP3: Radiohead - Bodysnatchers


MP3: Cut Copy - So Haunted


MP3: Sufjan Stevens - They Are Night Zombies!! They Are Neighbors!! They Have Come Back from the Dead!! Ahhh!


MP3: Youth Group - Skeleton Jar


MP3: Blitzen Trapper - Devil’s A-Go-Go


MP3: Single Frame - John Carpenter's Halloween remix


MP3: The White Stripes - Little Ghost


MP3: The Flaming Lips - Lucifer Rising


MP3: Band of Horses - Is There a Ghost


MP3: The Postmarks - Everyday is Halloween [Ministry cover]


MP3: Chris Garneau - Halloween


MP3: Sonic Youth - Halloween


MP3: Dead Kennedys - Halloween


MP3: Ryan Adams - Halloweenhead


MP3: The King Khan & BBQ Show - Zombies


MP3: British Sea Power - No Lucifer


MP3: The Knife - Wanting to Kill


MP3: Sleep Dreamer - Ghosts


MP3: Les Savy Fav - Poltergeist


MP3: Panic! at the Disco - This Is Halloween


MP3: Matt Pond PA - Halloween


MP3: Jonathan Richman - Vampire Girl


MP3: Elf Power - I Walked with the Zombie




นี่คือบางส่วนที่เราได้คัดเลือกและรวบรวมมาฝากพี่น้อง ซึ่งก็หวังว่าจะมีเพลงที่ถูกใจกันบ้าง ช่วงนี้อากาศเริ่มเย็นแล้ว ยังไงก็รักษาสุขภาพกันด้วยนะครับ และขอให้มีความสุขในการฟังเพลงเน้อ

*เราคัดเพลงมาจากการรวบรวมของ saladdaysmusic อีกทีนะจ้ะ*


วันพฤหัสบดีที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2553

The Tortured (2010): จับฆาตกรโรคจิตมาทรมาน(บันเทิง)

The Tortured (2010) :
จากรูปและชื่อเรื่องก็พอจะบอกกันอยู่แล้วว่าหนังคงออกมาแนวทรมานๆ แน่ ยิ่งพอเห็นคำโปรยบนโปสเตอร์หนังที่ว่า'จากโปรดิวซ์เซอร์ของ Saw' แถมยังเป็นหนังของบริษัท Twisted Pictures เช่นเดียวกันอีกซะด้วย งานนี้เลยมั่นใจได้เลยว่านี่คือหนังแนวซาดิสม์ทรมานบันเทิงอันเป็นเครือญาติเดียวกันกับ Saw แน่ๆ คอหนังทรมานบันเทิงทั้งหลายมีได้เฮกันล่ะทีนี้


ไอ้หนุ่มกางเกงส้มเจอดีแน่งานนี้
แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ด้วย กับเรื่องราวที่เอื้อต่อการขายฉากโหดๆ ประเภทจับคนไปทรมานบันเทิงต่างๆ นาๆ ซึ่งเหตุผลในที่นี้ก็คือการแก้แค้นสุดบรรเจิดของคู่สามีภรรยาหนุ่มสาวที่รับไม่ได้กับการเห็นฆาตกรโรคจิตที่ฆ่าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของพวกเขาไปต้องติดคุกแค่เพียงไม่กี่ปีแล้วเดี๋ยวก็ได้เดินลอยชายออกมาทำชั่วต่ออีกในที่สุด พวกเขาจึงตัดสินใจลักพาตัวหมอนั่นมาแร่เนื้อเถือหนังด้วยวิธีกรรมสุดซาดิสม์เพื่อให้สาสมกับความแค้นที่สุมอกของคนเป็นพ่อแม่อย่างพวกเขาซะเลย

งานสร้างดูดีถ้าเทียบกับหนังแนวนี้ทั่วไป
หนังกำกับโดยผกก.ที่ช่ำชองทางด้านหนังทีวีมาโดยตลอดอย่าง Robert Lieberman กับทุนแปดล้านเหรียญซึ่งถือว่าไม่น่าเกลียดเลยสำหรับหนังแนวนี้ โดยได้นักแสดงนำหนุ่มสาวอย่าง Jesse Metcalfe (ซีรี่ส์ Desperate Housewives) และ Erika Christensen (Swimfan [2002]) มารับบทคู่ผัวตัวเมียริจะโหดของเรื่อง ส่วนเจ้าฆาตกรจิตทรามก็รับบทโดยนักแสดงที่ถนัดหนังแนวโหดๆ อย่าง Bill Moseley (The Devil's Rejects [2005]) เจ้าเก่าเองจ้า


วายร้ายของเรื่องกำลังทำการลักเด็กไปฆ่า
หนังช่วงแรกหมดไปกับการแสดงให้เห็นถึงความโศกเศร้าของคู่สามีภรรยาที่สูญเสียลูกรักไปอย่างไม่มีวันกลับมา(ซึ่งสองนักแสดงนำทำหน้าที่ได้ดีในช่วงนี้) เพื่อเป็นการปูเหตุผลไปสู่การคิดแก้แค้นด้วยตนเอง(หาเหตุผลที่จะซาดิสม์ ว่างั้นเหอะ) และพอทุกอย่างเข้ารูปเข้ารอยพร้อมที่จะทรมานบันเทิงแล้วก็ใส่กันเลยตามสไตล์หนังแนวนี้ แต่ก็ไม่ได้ใส่กันทีเดียวหมดแม็กนะ เขาเล่นกันแบบทรมานวันละนิดจิตแจ่มใส ด้วยเหตุผลที่ว่าอยากทรมานเธอนานๆ ไม่อยากให้ตายไวเลย อะไรแบบนั้น ซึ่งฉากทรมานก็ทำได้น่าหวาดเสียวดีตามสไตล์หนังบริษัทนี้นักแล

คู่สามีภรรยาริจะโหดของเรื่อง
แต่น่าเสียดายที่เรื่องราวของหนังเดินอย่างรวดเร็วไปนิด(หนังยาวเพียงแค่ 80 นาที) จึงทำให้ไม่สามารถปูเหตุผลและความน่าเชื่อถือได้อย่างพอเพียงสำหรับการตัดสินใจทำอะไรโหดๆ ของคู่สามีภรรยาบ้านๆ แบบนี้ ยิ่งพอมาเจอการหักมุมในตอนจบที่ไม่ได้ 'เหวอ!?' แบบใน Saw แต่ออกแนว 'อ่ะนะ' ซะมากกว่า ก็เลยส่งผลให้หนังโดยรวมไม่น่าประทับใจลงไปอีก แต่ยังไงเสียสำหรับคอหนังที่ต้องการดูฉากซาดิสม์ทรมานบันเทิงอย่างเดียว ก็คงจะโอเคกันอยู่หรอกมั้ง พอดูได้ๆ

  • น่าดูเพราะ: เป็นหนังทรมานบันเทิงที่พอดูได้ ฉากโหดก็เข้าทีอยู่
  • ไม่น่าดูเพราะ: ดูแล้วก็แล้วกันไป ไม่มีอะไรน่าจดจำ ตามสไตล์หนังที่พยายามจะเป็น 'Saw' อีกเรื่องหนึ่งแบบนี้




วันพุธที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2553

The Walking Dead (2010): ซีรี่ส์นี้ซอมบี้ตรึม

The Walking Dead (2010)
กำลังจะฉายตอนแรกในวันอาทิตย์นี้แล้วสำหรับซีรี่ส์ใหม่ล่าสุดของช่องเคเบิ้ลทีวี AMC (American Movie Classics)เรื่องนี้ ที่คว้าเอาหนังสือการ์ตูนชุดซอมบี้ชื่อเดียวกันของ Robert Kirkman และ Tony Moore มาสร้าง โดยเวอร์ชั่นซีรี่ส์นี้ก็ได้มือเขียนบท/ผกก. ขวัญใจคอหนังอย่าง Frank Darabont (The Mist [2007]) มาอำนวยการสร้าง เขียนบทสามตอนแรกและกำกับตอนไพลอทให้อีกด้วย(ว้าว!) ซึ่งซีซั่นแรกจะมีทั้งหมดหกตอนด้วยกัน ส่วนซีซั่นที่สองถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดก็คงจะมีสิบสามตอนให้คอหนังซอมบี้ได้ดูกันจุใจกันไปเลยทีเดียว


เจอเละๆ คลานมาแบบนี้ก็ต้องยิงไว้ก่อนล่ะครับ
พอดีว่าทางเราได้ดูตอนแรกที่รั่วออกมาทางอินเตอร์เนตซึ่งเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ Rick Grimes (Andrew Lincoln) นายอำเภอแห่งเมืองเล็กๆ ในรัฐเคนตักกี้ ที่โดนยิงจากการปะทะกับคนร้ายจนต้องเข้าไปหยอดข้าวต้มที่ รพ.ซึ่งพอเขารู้ตัวได้สติขึ้นมาอีกทีก็พบว่าทั้งเมืองเต็มไปด้วยซากศพแถมยังมีแต่เหล่าซอมบี้หน้าเละเดินไปเดินมาอีกด้วยต่างหาก เขาจึงต้องหาทางเอาตัวรอดและออกเดินทางไป แอตแลนตา เพื่อตามหาลูกเมียของเขาโดยได้แต่หวังว่าคนเหล่านั้นจะยังมีชีวิตอยู่ที่ไหนสักแห่ง

ดูเหมือนซอมบี้ก็อยากจะขี่ม้าบ้างนะ
แม้จากที่เห็นในตอนแรกนี้จะยังไม่มีไอเดียอะไรที่แปลกแตกต่างจากหนังซอมบี้อื่นๆ นักก็ตาม(โดยเฉพาะมุกฟื้นขึ้นมาใน รพ.เหมือน 28 Days Later... [2002]) แต่ ผกก.Darabont ก็เล่าเรื่องได้อย่างน่าติดตาม โดยการที่เขามาดูแลบทให้ด้วยก็เลยทำให้หนังมีเนื้อมีหนังในส่วนของดราม่า ตัวละครที่ล้วนมีมิติจับต้องได้ เมื่อมาเจอกับงานด้านเมคอัพเอฟเฟกต์ระดับสุดยอดของ Gregory Nicotero ที่สร้างสรรค์เหล่าซอมบี้และซากศพเน่าเฟะได้อย่างสมจริงด้วยแล้ว ก็เลยสร้างอารมณ์ร่วมในการรับชมได้ดีจริงๆ


น้ำมันรถหมดก็ต้องเดินคอตกเป็นธรรมดา
และอย่าเพิ่งคิดว่าการที่เป็นหนังทีวีแบบนี้คงไม่มีฉากโหดๆ นะ เพราะหนังอุดมไปด้วยฉากประเภทยิงหัวซอมบี้กระจุยแบบจะๆ ระดับเรทอาร์ ถึงกระนั้นก็ไม่ได้เน้นฉากฆ่าซอมบี้เอามันส์สะใจคอซาดิสม์ซะอย่างเดียว เพราะจริงๆ แล้วหนังมองพวกซอมบี้เป็นอะไรที่น่าสงสารซะมากกว่าจะเป็นพวกปีศาจร้าย โดยจะเห็นได้ในหลายฉากที่พวกพระเอกต้องทำการุณยฆาตเพื่อช่วยให้คนที่เคยรู้จักหรือคนในครอบครัวตนได้พ้นทุกข์จากการเป็นซอมบี้ไปซะ


เหล่าตัวละครหลักจากซีรี่ส์
หรือในฉากหนึ่งที่พวกผู้ชายบ่นถึงความแตกต่างทางความคิดระหว่างผู้ชายและผู้หญิงในช่วงเวลาคับขันยามต้องเร่งเก็บข้าวของไปจากบ้าน ที่ฝ่ายชายมักจะนึกถึงแต่พวกเครื่องยังชีพทั้งหลายเป็นอันดับแรก ในขณะที่ฝ่ายหญิงกลับเลือกที่จะเก็บอัลบั้มรูปของครอบครัวไปเป็นอันดับแรกแทนซะงั้น(ผู้หญิงให้ความสำคัญกับสิ่งที่มีคุณค่าทางจิตใจมากกว่าผู้ชาย?) ซึ่งสิ่งเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ก็ช่วยทำให้ซีรี่ส์มีเสน่ห์ขึ้นมาอีกแยะ โดยที่ไม่ว่าคุณจะเป็นคอหนังซอมบี้หรือไม่ใช่ ก็สามารถสนุกไปกับซีรี่ส์ได้ น่าดูอย่างยิ่งเลยจ้า

ระดับความน่าดู :
  • น่าดูเพราะ: ขึ้นชื่อว่าเป็นหนังซีรี่ส์ซอมบี้ครองโลก แค่นี้ก็น่าสนใจแล้ว แล้วนี่ยังได้ Frank Darabont มาเกี่ยวข้องด้วย แบบนี้ไม่ดูไม่ได้แล้วว
  • ไม่น่าดูเพราะ: ใครไม่ชอบดูหนังซอมบี้ๆ มีฉากแหว่ะ ยิงหัวซอมบี้กระจุย คงไม่อยากดูแน่




วันอังคารที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2553

Reign of Assassins (2010): เดชจอมยุทธ์สาวแอ๊บแก่


Reign of Assassins (2010) :
หนังกังฟูฟันดาบโช้งเช๊งเรื่องนี้เขารวมพลังดาราทั่วฟ้าเอเซีย (Pan-Asia) มาจากทั้ง จีน ฮ่องกง ไต้หวัน เกาหลี (พี่ไทยไม่เกี่ยว) เพื่อเป็นนายกวักนางกวักเรียกลูกค้า โดยโปรโมทซะใหญ่โตว่าเป็นหนังของ จอห์น วู ซึ่งอันที่จริงป๋าเขาแค่ช่วยให้คำปรึกษาแก่ ผกก.Su Chao-Pin ตลอดงานเท่านั้น ทางผกก.เราเลยก็เลยเกรงใจมอบเครดิตกำกับร่วมให้ป๋าซะเลย(เพื่อผลทางการตลาดด้วยแหล่ะ) ดังนั้นถ้าหนังออกมาห่วยก็โทษป๋าเขาไม่ได้ แต่ถ้าหนังออกมาดีป๋าก็ขอรับเครดิตด้วยคน ว่างั้นเหอะ อิอิ


เจ๊ โหยว ในวัย 48 ขวบยังบู๊กระจายได้อยู่
เรื่องนี้เจ๊ มิเชล โหยว ขอกลับมาเล่นหนังสไตล์ Crouching Tiger, Hidden Dragon (2000) อีกครั้ง ในบทนักฆ่าสาวกระบี่อ่อนที่กลับใจอยากล้างมือจากวงการด้วยการหนีไปทำแก่ด้วยมีดหมอ(เคลลี่ หลิน มารับบทตอนหน้าตึง) ก่อนจะเปลี่ยนชื่อแซ่ปลอมตัวเป็นผู้หญิงบ้านๆ ไปใช้ชีวิตอย่างสงบ และได้สามีหน้าเหมือนดาราเกาหลี(จุง วู-ซุง) ซึ่งถึงแม้ที่จริงทั้งคู่จะอยู่ในวัยเดียวกัน แต่ด้วยความที่ตอนนี้หน้าเจ๊แกแก่แล้ว คนแถวนั้นเลยอาจมองว่าเจ๊กินเด็กอยู่ก็เป็นได้ กระนั้นทั้งคู่ก็รักกันดีสีทนได้ จนเป็นที่อิจฉาตาร้อนผ่าวของสาวแถบนั้น(และแถบนี้)ไปตามๆ กัน


หนุ่ม จุง วู-ซุง ขอโอนสัญชาติมาเป็นอาตี๋สักระยะ
แต่แล้ววิมานฉิมพลีของเจ๊ก็พังทลายลงเมื่อก๊วนเจ้านายเก่ายังตามมาราวีอีกจนได้ (ซึ่งนักฆ่าแต่ละคนที่มาเจ๊าะแจ๊ะกับเจ๊ก็มีทั้ง นักฆ่าเส้นก๋วยเตี๋ยว นักฆ่าเจ้ามายากล นักฆ่าผ้าหลุด เป็นต้น) และด้วยความรักความห่วงใยที่มีต่อสามีอย่างสุดซึ้ง(ผัวข้าใครอย่าแตะ) เจ๊เราเลยต้องลุกขึ้นมาจับดาบคู่ใจออกฟาดฟันกับเหล่าวายร้ายอีกครั้ง เพื่อทำการกระชับพื้นที่และคืนความสุขแก่ยุทธภพ(และวิมานของสองเรา)อีกครั้งให้จงได้เอย


ฉากแอ็คชั่นดูดีมีชาติกังฟู
หนังเริ่มต้นมาก็เดินเรื่องปุบๆ ปับๆ ชวนสับสนเล็กน้อย แต่พอฉายไปได้สักพักก็เริ่มนิ่งขึ้นมาและก็จับความสนใจคนดูได้ตลอด นอกจากคิวบู๊จะดูดีไม่เว่อร์ไม่แฟนตาซีแล้ว พล็อตเรื่องยังขยันมีจุดหักเหแถมยังให้ความสำคัญต่อแรงขับการกระทำของตัวละครแต่ละตัวอีกด้วย ก็เลยดูเข้าท่ากว่าหนังกังฟูส่วนใหญ่ที่ตัวละครมักจะมากันแบบมิติเดียว ยิ่งพอได้บรรดานักแสดงนานาชาติที่แสนคุ้นหน้าโผล่มาร่วมกันสร้างสีสันอีก งานนี้ก็เลยดูเพลินกันไปเลยทีเดียว

หนู ต้าเอส ก็มากับเขาด้วย
ถึงเจ๊ โหยว จะเริ่มดูเหี่ยวมากขึ้นทุกที แต่ก็ยังดูดีเกินวัยและเล่นคิวบู๊ได้แจ่มเช่นเดิม ส่วนพระเอกเราก็ดูดีได้ใจสาวยิ่งนักและดูเหมือนว่าเขาจะพยายามพูดภาษาจีนเองเลยนะเนี่ย(แม้ในหนังจะพากษ์เสียงทับอีกทีก็ตาม) ส่วนน้อง ต้าเอส จากหนังชุด 'รักใสๆ หัวใจสี่ดวง' ในเรื่องนี้คงใสไม่ออกแล้วเพราะเธอมากับบทนังตัวแสบสไตล์ จางซิยี่ ที่ต้องมีโชว์หวิว นิดๆ (แต่ไม่เห็นอะไรมากหรอกนะ หนุ่มๆ อย่าเพิ่งตีปีกไป) โดยรวมแล้วหนังไม่ถึงกับดูแล้วอู้หูเจ๋งว่ะเหมือนเมื่อครั้ง Crouching Tiger แถมยังมีบางช่วงที่ดูไม่ลงตัวนัก แต่ก็ยังมีดีในตัวอยู่ไม่น้อยทีเดียว แฟนหนังกำลังภายในแบบโอลด์สกูลไม่มีผิดหวังแน่นอนจ้า


ป๋าขอดันลูกสาวที่ชื่อ Angeles มาเล่นเป็นตัวประกอบด้วย
  • น่าดูเพราะ: เป็นหนังกำลังภายในที่ไม่เว่อร์ ไม่แฟนตาซี แต่มีพล็อตเรื่องที่ดี คิวบู๊แจ่ม ตัวละครมีมิติ ดาราเพียบอีกต่างหาก
  • ไม่น่าดูเพราะ: นางเอกไม่ใช่สาวๆ เอ๊าะๆ ดึงดูดใจเช่นนี้ หลายคนคงเมินแน่



วันอาทิตย์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2553

Barefoot Gen (1983): ไอ้หนูตีนเปล่ากับนิวเคลียร์ถล่มเมือง

Barefoot Gen (1983) :
นี่คือผลงานการ์ตูนสำหรับฉายโรงเรื่องแรกของสตูดิโอ Madhouse เจ้าของผลงานที่คออนิเมะล้วนรู้จักกันดีอย่าง Ninja Scroll, Vampire Hunter D: Bloodlust, Trigun ซึ่งหนังเรื่องนี้สร้างมาจากหนังสือการ์ตูนชุดสิบเล่มจบของ เคอิจิ นาคาซาวะ ที่คลาสสิคซะจนถูกหยิบไปสร้างเป็น ละครทีวี หนังโรง หนังการ์ตูน หรือแม้แต่ละครเพลง มานับหลายต่อหลายครั้งแล้ว


เจอนิวเคลียร์แบบนี้เป็นใครก็ต้องเหงื่อตก
หนังพาย้อนไปญี่ปุ่นช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่สองเพื่อเสนอเรื่องราวของหนูน้อย เก็น นาคาโอกะ และครอบครัวอันประกอบด้วยพี่สาวแสนสวย น้องชายแสนซน พ่อแสนใจดี และแม่ที่กำลังท้องแก่ ซึ่งถึงพวกเขาจะอยู่อย่างยากจนข้นแค้นเพราะประเทศกำลังอยู่ในภาวะข้าวยากหมากแพงจากสงคราม แต่พวกเขาก็ยังมีความสุขเฮฮาไปตามอัตภาพกันได้อยู่ แม้เก็นและน้องชายจะเบื่อหน่ายที่ต้องคอยวิ่งหนีลงหลุมหลบภัยในยามที่ได้ยินเสียงสัญญาณเตือนภัยดังอยู่บ่อยๆ ก็ตาม


ไปทำอะไรให้คุณแม่ร้องไห้เนี่ย
ครอบครัวของเขาก็คงจะพยุงกันจนผ่านพ้นช่วงสงครามไปได้เป็นอย่างดีด้วยความรักความเข้าใจที่มีต่อกัน ถ้าไม่ใช่เพราะว่าพวกเขาดันอาศัยอยู่ในเมือง ฮิโรชิม่า เช่นนี้ซะก่อน(กรรม) ซึ่งในเช้า
วันหนึ่งชีวิตของเก็นและครอบครัวก็ต้องเปลี่ยนไปตลอดกาล เมื่ออยู่ๆ ระเบิดนิวเคลียร์ก็ถูกทิ้งลงมากลางเมือง ส่งผลให้ทุกอย่างพังพินาศ ผู้คนล้มตาย ซึ่งแม้เก็นจะรอดตายมาได้อย่างหวุดหวิด แต่ก็เหมือนตกนรกทั้งเป็นอยู่ดีจากผลพวงของกัมมันตภาพรังสี ซึ่งเราก็ต้องเอาใจช่วยกันต่อไปว่าชีวิตของหนูน้อยเก็นผู้กล้าหาญจะเป็นยังไงต่อไปล่ะจ้า


ตัวการ์ตูนหน้าตาน่ารักต้องมาเจอเรื่องโหดร้ายแสนสาหัส
เวอร์ชั่นนี้กำกับโดย โมริ มาซากิ ซึ่งนำเสนอลายเส้นที่ดูเรียบง่ายและน่ารักกว่าในหนังสือการ์ตูนขึ้นมาหน่อย(ลายเส้นออกแนวการ์ตูนอิคคิวซัง) ที่มาพร้อมอารมณ์ขันเฮฮาในช่วงต้นเรื่อง โดยโฟกัสไปที่ตัวเก็นและน้องชายที่แม้ชีวิตพวกเขาจะเข้าขั้นลำบากแต่ก็ยังสดใสตามประสาเด็กได้อยู่(แบบที่เรียกว่าหัวเราะร่าน้ำตารินแหล่ะ) แต่พอเข้าช่วงระเบิดลงนั่นแหล่ะตัวหนังก็ไม่รีรอที่จะแสดงให้เห็นถึงพิษสงของระเบิดเลย โดยเน้นกันให้เห็นจะๆ ถึงสภาพของคนที่โดนระเบิดทั้งเด็กและผู้ใหญ่ซึ่งเป็นอะไรที่สยองปนหดหู่มากๆ

ลายเส้นเรียบง่ายแต่กลับมีพลังสะกดคนดู
ถึงลายเส้นจะเรียบง่ายตามประสาการ์ตูนเก่าแต่ก็รับใช้เรื่องราวได้อย่างมีพลัง และอย่าได้แปลกใจถ้าดูการ์ตูนเรื่องนี้แล้วจะร้องไห้น้ำตานองหน้าไปกับโชคชะตาของเก็นและครอบครัวรวมถึงชาวบ้านตาดำๆ ผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่แต่ต้องมาเจอระเบิดนิวเคลียร์แบบนี้เข้า ซึ่งจะว่าไปแล้วการ์ตูนเรื่องนี้ก็เปรียบเสมือนพี่ชายต่างมารดาของ Grave of the Fireflies (1988) ที่หลายคนเคยเสียน้ำตาให้ก็ว่าได้ เพราะทั้งคู่อยู่ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันและนำเสนอผลพวงของสงครามโลกครั้งที่สองผ่านสายตาของเด็กเช่นเดียวกัน เพียงแต่ว่าเรื่องนี้จะเต็มไปด้วยความหวังและมีโทนสดใสมากกว่าเรื่องนั้นอยู่บ้าง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ถือว่าเป็นการ์ตูนคลาสสิคอีกเรื่องที่ควรค่าแก่การชมยิ่งนัก ถ้าเจอก็รีบคว้ามาดูเลยเน้อ

ปล.อันที่จริงเขามีภาคสองด้วยนะ แต่เอาไว้ได้ดูแล้วจะมารีวิวกันอีกทีเน้อ
  • น่าดูเพราะ: เป็นอนิเมะสุดคลาสสิคอีกเรื่อง ที่จะเรียกน้ำตาท่านไม่น้อยไปกว่า Grave of the Fireflies เลย คออนิเมะคุณภาพไม่ควรพลาดเลยจ้า
  • ไม่น่าดูเพราะ: เต็มไปด้วยเรื่องราว สลด หดหู่ รันทด (แต่ก็เต็มไปด้วยความหวังด้วย) ไม่ใช่การ์ตูนที่ดูเอาสนุกเน้อ





*ช่วงอันเนื่องมาจากหนัง*

ภาพ'Little Boy'ลงที่ฮิโรชิม่า
คงมีหลายคนที่ยังค่อยไม่รู้ที่มาที่ไปของเหตุการณ์ระเบิดนิวเคลียร์ลงแบบที่เห็นในหนังนัก ทางบล็อกจึงขอสรุปสั้นๆ แบบพอเข้าใจให้ดังนี้คือ ในช่วงปี ค.ศ.1945 ซึ่งเป็นช่วงท้ายสงครามโลกครั้งที่สองนั้น ญี่ปุ่นซึ่งยึดครองเอเซียอยู่เริ่มเพลี่ยงพล้ำต่อฝ่ายสัมพันธมิตรที่นำโดยอเมริกา แต่พวกเขาก็ไม่ยอมแพ้สักที ทางอเมริกาเห็นท่าไม่ดีเพราะถ้าขืนรบต่อไปเหมือนเดิมคงต้องใช้เวลาอีกเป็นปีๆ แน่ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องนำเอาอาวุธลับที่ซุ่มผลิตมานานแล้วนั่นก็คือ'ระเบิดนิวเคลียร์'มาใช้กับญี่ปุ่นเป็นรายแรกซะเลย

นิวเคลียร์ที่ถูกนำมาใช้กับญี่ปุ่นมีสองลูกซึ่งแต่ละลูกก็มีชื่อเล่นตามรูปร่างของมันว่า 'Fat Man' และ 'Little Boy' โดยอเมริกากะเล่นเมือง ฮิโรชิม่า ซึ่งเป็นจุดยุทธศาตร์ที่สำคัญของญี่ปุ่นก่อน และแล้วในเช้าวันที่ 6 ส.ค.1945 เวลา 08.15 น. 'Little Boy' ก็ถูกทิ้งลงกลางเมืองฮิโรชิม่า ซึ่งส่งผลให้เมืองพังพินาศ ชาวบ้านตายทันทีแปดหมื่นคน(แต่ยอดรวมในอีกสี่เดือนต่อมาคือหนึ่งแสนหกหมื่นหกพันคน)



ภาพ 'Fat Man' ที่นางาซากิ
แต่ถึงกระนั้นทางการญี่ปุ่นก็ยังดื้อแพ่งหาได้ยอมแพ้ไม่ จนในอีกสามวันต่อมาทางสหรัฐจึงได้ทิ้ง 'Fat Man' ที่ นางาซากิ ซึ่งก็สังเวยกันไปอีกสี่หมื่นคน(ยอดรวมแปดหมื่น) คราวนี้ในอีกหกวันต่อมาทางการญี่ปุ่นจึงได้ประกาศยอมแพ้อย่างไม่มีเงื่อนไข ปิดฉากสงครามโลกด้านเอเซียลงไปในที่สุด ซึ่งความชีช้ำครั้งนั้นเป็นอะไรที่คนญี่ปุ่นอยากจะลืมแต่ก็ลืมไม่ลงมาจนทุกวันนี้ ยังไงก็หวังว่าคงจะไม่มีใครถูกนิวเคลียร์ถล่มในเร็ววันนี้อีกน


*รวบรวมข้อมูลแบบมั่วๆ มาจาก wikipedia เน้อ*