วันพฤหัสบดีที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

An American Crime และ The Girl Next Door: แม่เลวสอนลูกเลว

นอกจากหนังสองเรื่องนี้จะฉายในปีเดียวกันแล้ว ทั้งคู่ยังต่างสร้างมาจากคดีอื้อฉาวสุดสะเทือนขวัญของคนอเมริกันในช่วงกลางทศวรรษที่ 60 อีกด้วย โดยเรื่องแรกดัดแปลงมาจากคำให้การจริงในชั้นศาล ส่วนเรื่องหลังดัดแปลงมาจากนิยายสยองขวัญเรื่อง The Girl Next Door ของนักเขียนนิยายชาวมะกัน Jack Ketchum ที่ตัวนิยายก็ได้รับแรงบันดาลใจมาจากคดีนี้เช่นเดียวกัน ดังนั้นไหนๆ หนังทั้งสองเรื่องก็มีเนื้อหาใกล้เคียงกันซะขนาดนี้แล้ว ทางบล็อกจึงขอนำมารีวิวไว้พร้อมกันซะเลยจ้า

An American Crime (2007) :
เรามาเริ่มกันที่ผลงานเรื่องนี้ของหนู Ellen Page (Inception [2010]) ที่ออกฉายในช่อง Showtime กันก่อน(ตอนแรกก็ตั้งใจทำออกฉายโรงแต่มีปัญหาบางอย่างเลยต้องมาลงจอแก้วแทน) ซึ่งตัวหนังก็ได้รับคำชมไปมากมายจน Catherine Keener ตัวร้ายของเรื่องได้ถูกเสนอชื่อเข้าชิงทั้งรางวัลเอ็มมี่และรางวัลลูกโลกทองคำเลยทีเดียว(แต่ก็แห้วทั้งคู่) ไม่ธรรมดาเลยนะเนี่ย

สองนักแสดงคุณภาพมาเจอะกันในเรื่องนี้
หนังเล่าเรื่องของ Sylvia Likens (Page) สาวน้อยวัย 16 และน้องสาวที่ขาเป็นโปลิโอต้องไปอาศัยอยู่กับครอบครัวคุณแม่ลูกหก Gertrude Baniszewski (Keener) เนื่องด้วยพ่อแม่ของน้องเขาทำงานกับคณะ Carnival (งานวัดฝรั่ง?) จึงต้องเดินสายไปจัดงานตามที่ต่างๆ อยู่ตลอด ดังนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจจ้างคุณนายให้ดูแลลูกๆ ของตนแลกกับค่าจ้างสัปดาห์ละ 20 เหรียญ เพื่อลูกๆ จะได้ไม่ต้องเสียการเรียน แต่แล้วไปๆ มาๆ คุณนายเราก็ค่อยๆ ออกลายแสดงความโหดมากขึ้นทุกที และเริ่มหาเรื่องทรมาน Sylvia กับน้องสาวต่างๆ นาๆ (โดยเฉพาะคนพี่ที่โดนไปเต็มๆ) จนงานนี้สองศรีพี่น้องเราต้องมาเจอกับนรกบนดินเข้าจนได้


น้อง Page เราสะบักสะบอมเต็มที่ในเรื่องนี้
ผกก.Tommy O'Haver (Ella Enchanted [2004]) ที่เคยทำแต่หนังใสๆ เอาใจวัยทีนมาตลอด หันมาทำหนังซีเรียสเป็นครั้งแรก โดยเขียนบทจากบันทึกคำให้การจริงในชั้นศาลของคดีนี้ แต่ก็ดัดแปลงเรื่องราวไปนิดๆ เพื่อไม่ให้หนังออกมาชีช้ำจนเกินไป (แต่เท่าที่เห็นก็ชีช้ำพอดูแล้วนะ) หนังเสนอเรื่องราวสลับไปมาระหว่างฉากคำให้การในศาลและแฟลชแบ็คย้อนไปเล่าเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น ซึ่งหนังก็ไม่ได้เน้นฉากทรมาน หรือทำให้พวกที่เป็นคนทรมานเป็นปีศาจร้ายอย่างเดียว ทุกคนมีมิติ มีแรงขับของตน ซึ่งดูแล้วหนังค่อนข้างจะรอมชอมให้กับเหล่าผู้กระทำผิดไปนิดหรือเปล่าหนอ(ตัวคุณนายก็ดูดีกว่าตัวจริงเยอะเชียว อิอิ) แต่ทั้งนี้ก็ต้องชมว่าหนู Page (ที่ลงทุนลดน้ำหนักจนผอมแห้ง) และคุณ Keener ซึ่งต่างก็ทำหน้าที่ได้อย่างถึงอารมณ์ยิ่งนัก


เพื่อนของสไปเดอร์แมนมาทำอะไรแถวนี้เนี่ย
ที่ชวนช็อคก็คือนอกจากตัวคุณนายที่เป็นคนทรมานน้องเขาต่างๆ นาๆ แล้ว ยังสนับสนุนให้ลูกๆ ของตนทำด้วย ซึ่งความที่ลูกๆ ของเธอยังเด็กๆ กันทั้งนั้นก็เลยพลอยเห็นดีเห็นงามไปด้วย แถมยังชวนเพื่อนๆ แถวบ้านมาทำร้ายร่างกาย Sylvia กันอย่างคึกคะนองสนุกสนานเถิดเทิงเลยเชียว ที่น่าสนใจคือในหนังมีฉากหนึ่งที่อัยการถามเหล่าเด็กๆ เหล่านั้นที่ขึ้นให้การว่า 'ทำไมถึงได้ทำอย่างนั้นกับ Sylvia?' เด็กๆ เหล่านั้นต่างก็ทำหน้าอึ้งๆ แล้วก็ตอบเสียงอ่อยๆ แบบเดียวกันว่า 'ไม่รู้เหมือนกันครับ/ค่ะ' ซึ่งก็นะ ไม่ว่าจริงๆ แล้วตัว Sylvia จะเป็นนางตัวร้ายอย่างที่คุณนายกล่าวโทษหรือไม่ก็ตาม ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณนายหรือใครๆ จะมีสิทธิ์กระทำเช่นนั้นกับน้องเขาเลย ดูแล้วก็อดสงสารเสียไม่ได้จริงๆ ครับพี่น้อง





The Girl Next Door (2007) :
มาถึงอีกเรื่องที่ถึงไม่ได้เดินตามเหตุการณ์จริงเป๊ะๆ เพราะเดินเรื่องตามฉบับนิยาย(ที่เปลี่ยนทั้งชื่อตัวละคร สถานที่และยุคสมัย)แต่ก็ยังคล้ายๆ กันได้อยู่ โดยคราวนี้เป็นเรื่องของสาว 16 ขวบ Blythe Auffarth (Meg Loughlin) และน้องสาวที่เป็นโปลิโอ(เหมือนเรื่องเมื่อกี้)ซึ่งคุณพ่อคุณแม่เพิ่งจะเสียไปจากอุบัติเหตุ เลยทำให้ทั้งคู่ต้องไปอาศัยอยู่กับครอบครัวของป้า Ruth (Blanche Baker)คุณป้ามหาภัยสุดซาดิสม์ที่มีลูกชายอีกสามซึ่งก็ทรามไม่ใช่เล่น โดยหนังเล่าเหตุการณ์การทรมานทรกรรม Blythe ผ่านสายตาของคนนอกอย่างหนุ่มน้อยข้างบ้าน David Moran (Daniel Manche) ที่ดูจะเป็นเพียงคนเดียวเท่านั้นที่รู้สึกเห็นอกเห็นใจสงสารนางเอกเรา และต้องการช่วยเหลือนางเอกจากนรกบนดินแห่งนี้ให้จงได้


ก๊วนเด็กทรามประจำเรื่อง
ผกก.Gregory Wilson ดัดแปลงเรื่องราวจากตัวนิยายนิดๆ หน่อยๆ ซึ่งก็เน้นฉากทรมานทรกรรมมากกว่าเรื่องก่อนหน้านี้ และถึงแม้ฉากทรมานจะไม่ได้โหดเท่าเหล่าหนังโหดๆ ส่วนใหญ่ในสมัยนี้ แต่ก็ยังดูแล้ว ชีช้ำ กดดัน หดหู่ จิตตก กันได้อยู่(จนถึงกับมีบางคนแนะนำว่าอย่าดูเรื่องนี้ก่อนเข้านอนเพราะจะนอนไม่หลับด้วยความชีช้ำของหนังเอา) ด้านตัวแสดงนอกจากตัวนางเอกที่ดูเป็นสาวเกินวัยแล้ว ตัวป้ามหาภัยเราก็ช่างดูโรคจิต อำมหิต ได้ใจจริงๆ เชียว


นางเอกและป้ามหาภัย
หนังมีจุดคาใจตรงที่ว่าไม่ได้แสดงให้เข้าใจว่าทำไมป้าถึงได้จงเกลียดจงชังสองพี่น้องนี้นักหนา ทั้งที่เป็นญาติกันแท้ๆ และมีหลายฉากที่พระเอกสามารถบอกให้ผู้ใหญ่คนอื่นๆ มาช่วยนางเอกได้แต่ก็ไม่ เลยเล่นเอาอึดอัดพอสมควร แต่มาคิดๆ ดูอีกทีก็เข้าใจได้ว่า เพราะพวกเขายังเด็กๆ กันทั้งนั้นมั้งเลยคิดอะไรไม่ค่อยออก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นหนังก็ยังเด่นเรื่องประเด็นไม่สั่งสอนเด็กในสิ่งที่ถูกต้อง และส่งเสริมให้ทำสิ่งที่ผิด จนได้เกิดโศกนาฏกรรมครั้งนี้ขึ้นมาจนได้ ซึ่งก็คงไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่เราจะได้ยินได้เห็นเรื่องแบบนี้อีกแน่นอน จะเรียกว่านี่คือ Stand By Me เวอร์ชั่นทรมานทรกรรมก็ว่าได้ครับ พี่น้อง

*ปล.อย่าจำสับสนกับหนังชื่อเดียวกันเมื่อปี 2004 ของหนู Elisha Cuthbert เชียวล่ะเน้อ*





  • ผลสรุป: เอาเป็นว่าเป็นหนังที่น่าดูทั้งคู่ โดยเรื่องแรกดาราจะคุ้นหน้ามากกว่า การแสดงก็แจ่ม และเดินตามเหตุการณ์จริงมากกว่า ในขณะที่เรื่องหลังเขาเดินตามนิยาย ซึ่งจะเน้นฉากทรมานทรกรรมเยอะกว่า และดูแล้วหดหู่ สิ้นหวังกว่าเรื่องแรกอยู่นิดหนึ่ง (เรื่องแรกก็ใช่ย่อยอยู่นะ) ทราบแล้วเปลี่ยน


*อันเนื่องมาจากหนัง*

โฉมหน้าตัวจริงของเหยื่อและผู้กระทำผิด
สำหรับคนที่สงสัยว่าคดีของ Sylvia Likens เป็นยังไงมายังไงบ้างนั้น ทางบล็อกก็ขอนำรายละเอียดคร่าวๆ มาเล่าให้ฟังพอให้ได้รู้บ้างนิดหน่อยก็แล้วกัน


บ้านที่เกิดเหตุ
เริ่มต้นของเหตุการณ์เกิดจากการที่คุณนาย Gertrude Baniszewski เครียดจากการรับภาระเลี้ยงดูลูกๆ ทั้งเจ็ดโดยลำพัง เลยหาเรื่องไปลงกับสองพี่น้อง ยิ่งเมื่อพ่อแม่ของสองพี่น้องส่งเงินค่าจ้างเลี้ยงดูมาให้คุณนายช้า ก็ยิ่งเข้าทางคุณนาย และเริ่มทุบตีทั้งคู่ โดยเฉพาะคนพี่ที่คุณนายหมั่นไส้เป็นพิเศษ เลยหาว่าขโมยขนมมาจากร้านค้าทั้งที่น้องเขาซื้อมาแท้ๆ และพอรู้ว่าน้องเขาเคยคบหากับผู้ชายมาก่อน ก็หาว่าตั้งท้องและเตะเข้าให้ที่อวัยวะเพศของน้อง ซึ่งพวกลูกๆ ของคุณนายก็ถูกชักชวนแกมบังคับให้มาร่วมแจม จน Sylvia ต้องยอมรับว่าท้องทั้งที่ไม่ได้ท้อง เพราะไม่อยากโดนทุบตีอีกต่อไป


แม่และน้องสาวของ Sylvia
แล้วพวกเด็กๆ ก็นึกสนุกไปชวนเพื่อนๆ แถวนั้นมาทำร้ายร่างกาย Sylvia โดยมีคุณนายเห็นดีเห็นงามด้วยตลอดงาน ไม่ว่าจะเอาบุหรี่จี้ บังคับให้แก้ผ้าแล้วเอาขวดโค้กยัดเข้าอวัยวะเพศตนเองอย่างน้อยสองครั้งสองคราด้วยกัน และยังกำชับ Jenny น้องสาวของ Sylvia ไม่ให้บอกใครไม่งั้นจะเจอดีเหมือนพี่สาวอีกด้วย


โฉมหน้าเด็กๆ ที่มีส่วนร่วมในการก่อเหตุ
ต่อมาก็ห้ามไม่ให้เธอไปโรงเรียน หรือแม้แต่ออกจากบ้าน และจากการที่น้องเขาถูกทุบตีมากเลยทำให้ไตมีปัญหา อั้นฉี่ไม่ค่อยอยู่ จนฉี่ใส่ที่นอน คุณนายก็โมโหจัด จับผลักลงบันไดห้องใต้ดินและขังไว้ที่นั่นโดยไม่ให้เข้าห้องน้ำ ให้แก้ผ้าตัวเปล่า วันดีคืนดีคุณนายและลูกชายวัย 12 ขวบก็บังคับให้กินปัสสาวะ อุจจาระตนเอง ซ้ำยังเอาน้ำร้อนลวก เอาเกลือละเลงใส่แผลพุพองบนร่างกายเธอ(เลวมาก)


ที่นอนของ Sylvia
ที่เด็ดสุดคือคุณนายเอาเข็มลนไฟ เขียนบนหน้าท้องของน้องเขาว่า 'ฉันมันโสเภณี และฉันภูมิใจมาก' โดยมีลูกสาววัย 10 ขวบและวัยรุ่นแถวนั้นที่มีอายุ 15 ขวบช่วยเขียนจนเสร็จ(ฮ่วย) ต่อมา Sylvia ก็ได้ยินคุณนายคุยกับลูกว่าจะเอาเธอไปโยนทิ้งในป่าแถวนั้น ก็เลยตัดสินใจหนี แต่หนีไปถึงแค่ประตูบ้านก็ถูกจับมัดไว้ใต้ถุนอีก และให้กินแต่เศษแครกเกอร์ แต่ไม่มีน้ำให้ดื่ม (ติดคอแย่สิงั้น)


ดูหน้าคุณนายแบบจะๆ กันอีกครั้ง
จนวันที่ 26 ต.ค.1965 หลังจากที่ Sylvia ต้องทนอยู่กับการโดนทุบตี ทำร้ายร่างกาย โดนไฟจี้หลายจุดในร่างกาย โดนน้ำร้อนลวก เธอก็สิ้นใจจากอาการ ตกเลือดในสมอง ช็อคและขาดสารอาหารอย่างรุนแรงไปในที่สุด


ตำรวจกำลังชี้โบ๊ชี้เบ๊ในที่เกิดเหตุ
เมื่อเด็กๆ มาพบร่างไร้วิญญาณของเธอก็สติแตกวิ่งโร่ไปแจ้งตำรวจ ซึ่งพอตำรวจมาคุณนายก็เตรียมการไว้เรียบร้อย โดยยื่นจดหมายที่บังคับให้ Sylvia เขียนตอนยังมีชีวิตไว้ให้ว่า ได้ยอมมีเซ็กส์กับพวกวัยรุ่นผู้ชายเพื่อแลกกับเงิน แล้วก็ถูกฉุดขึ้นรถไปทุบตี เอาไฟจี้ ต่างๆ นาๆ และเอามีดสลักบนผิวหนัง แต่ก่อนที่ตำรวจจะกลับ Jenny น้องสาวของ Sylvia ก็ตัดสินใจไปกระซิบบอกตำรวจว่า 'พาหนูออกไปจากที่นี่ที แล้วหนูจะเล่าทุกอย่างให้ฟัง' ซึ่งหลังจากนั้นไม่นานตำรวจก็ล็อคตัวทุกคนที่เกี่ยวข้องไปทันที


คุณนายกำลังทำหน้ามึนตอนขึ้นฟังศาลตัดสินคดี
จากการไต่สวนคดีบนชั้นศาล คุณนายปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และอ้างว่าตนมีปัญหาทางจิต สุขภาพก็ไม่ดีเลยไม่สามารถดูแลเด็กๆ อย่างทั่วถึง จนได้พากันก่อเหตุเหล่านั้นขึ้น(แน่ะ! โยนขี้ให้เด็กอีก) แต่คำให้การของเด็กๆ ล้วนชี้ตรงมายังคุณนายว่าเป็นผู้บงการตลอดงาน จนแม้แต่ทนายของคุณนายเองยังต้องส่ายหัว จิ๊ปาก ที่ต้องมาว่าความให้ฆาตกรสุดเลวอย่างเธอ


ปัจจุบันตัวบ้านถูกทุบทำที่จอดรถโบสถ์ไปแล้ว
สุดท้ายศาลตัดสินจำคุณคุณนายตลอดชีวิต ส่วนเด็กๆ ก็ไม่รอดโดนกันไปคนละปีสองปี(ลูกชายคุณนายได้ชื่อว่าเป็นผู้ต้องโทษที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์รัฐอินเดียน่าซึ่งก็คือ เอิ่ม..12 ขวบ) ต่อมาคุณนายก็ปฏิบัติตัวดีจนเป็นนักโทษชั้นดี เลยได้ออกจากคุกมาในปี 1985 แล้วก็เปลี่ยนชื่อแซ่ ย้ายไปอยู่รัฐไอโอว่า ก่อนที่จะเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งปอดในอีกห้าปีต่อมาด้วยวัย 60 ขวบ ซึ่งก็สร้างความสะใจแก่เหล่าญาติๆ ของ Sylvia เป็นอย่างยิ่ง (โดยเฉพาะ Jenny)


สุสานของ Sylvia
มาถึงทุกวันนี้ชาวมะกันหลายคนก็ยังไม่ลืมคดีสะเทือนขวัญนี้ จนวันดีคืนดีก็มีคนนำมาสร้างเป็นหนังให้คนรุ่นหลังได้ดูกันอีก ซึ่งนอกจากจะทำให้เห็นว่าเรื่องแบบนี้ก็เคยเกิดขึ้นมาในสังคมแล้วยังเป็นการไว้อาลัยต่อคุณน้อง Sylvia อีกด้วย ซึ่งถ้ายังอยู่น้องเขาคงจะอายุ 61 ขวบแล้ว(และต้องเรียกว่าป้าแทนล่ะมั้งเนี่ย) พ่อแม่พี่น้องที่รัก


*รวบรวมข้อมูลจาก wikipedia เน้อ*

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น