วันเสาร์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2553

How to Train Your Dragon (2010): มาเปิดฟาร์มเลี้ยงมังกรกันเถ๊อะ

How to Train Your Dragon (2010) :
นอกจาก Pixar ที่เป็นเจ้ายุทธจักรด้าน CGI Animation แล้ว ก็มี DreamWorks Animation นี่แหล่ะที่พอจะเรียกได้ว่าเป็นรองเจ้ายุทธจักรด้านนี้ได้อยู่บ้าง โดยมีหนังชุด Shrek เป็นตัวทำเงินทำทองประจำสตูดิโอ แต่ทว่านับวันมนต์ขลังของเจ้า Shrek ดูจะยิ่งเสื่อมลงๆ เข้าทุกที เพราะผู้สร้างเริ่มหมดมุกแล้ว(แต่ก็ยังทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำได้อยู่ดี) ทางสตูดิโอเลยต้องเร่งหาแฟรนไชส์สุดฮิตเรื่องใหม่โดยเร็ว ซึ่งก็ได้ Kung Fu Panda (2008) มาเรื่องหนึ่งละ และนี่ก็คือความหวังลำดับต่อไปที่ก็ทำท่าว่าจะช่วยให้สตูดิโอหากินได้อีกยาวทีเดียวล่ะ


ฉากโบยบินนี่ช่างสวยงามเสียจริงๆ
ที่บอกว่าหากินกันได้อีกยาวก็เพราะว่าหนังสร้างจากหนังสือเด็กของนักเขียนอังกฤษ Cressida Cowell (ทำไมนักเขียนที่ฮอลลีวู้ดชอบมักมาจากอังกฤษหนอ?) ซึ่งเป็นเล่มแรกจากทั้งหมดแปดเล่ม(และกำลังจะมีเล่มที่เก้าออกมาในปีหน้า) ว่าด้วยเรื่องราวของหนุ่มน้อยชาวไวกิ้งนาม Hiccup (ให้เสียงโดย Jay Baruchel จาก The Sorcerer's Apprentice [2010]) ที่เผอิญได้พบมังกรพันธุ์หายากและก็สามารถฝึกมันสำเร็จซะด้วย ซึ่งการค้นพบครั้งนี้ก็อาจจะทำให้เขาเป็นเพียงผู้เดียวที่สามารถหยุดสงครามอันยาวนานระหว่างเผ่าพันธุ์ของเขาและพวกมังกรได้ทีเดียวเชียว(โอ้ว!!)


เหล่าตัวละครสมทบในเรื่อง
หนังได้สอง ผกก.ลูกหม้อเก่าของดีสนี่ย์อย่าง Dean DeBlois และ Chris Sanders ที่เคยช่วยกันกำกับ Lilo & Stitch (2002) มาดูแล ซึ่งทั้งคู่ก็พาเสน่ห์มายังหนังได้มากมาย แถมค่อนข้างจะเล่าเรื่องอย่างจริงจังไม่ติดตลกสไตล์กวนๆ ที่มักมากับอนิเมชั่นของทางสตูดิโอเสียด้วยซ้ำ ส่วนเหล่ามังกรก็ไม่ได้ทำออกมาให้ดูน่ารักคิกขุ แต่ออกจะน่าเกลียดน่ากลัว ทว่าบทจะน่ารักพวกมันก็ยังน่ารักออกกันได้อยู่ ในขณะที่งานด้านภาพนั้นก็สวยงามสุดยอด โดยเฉพาะฉากโบยบินบนท้องฟ้าที่แสนจะตื่นตาตื่นใจจริงๆ เชียว

เหล่ามังกรดูน่าเกลียดกันพิลึก
แต่ถ้าเป็นคอหนังที่ชอบคิดมาก(เช่นเราแล้ว)จะพบว่าในช่วงท้ายหนังจะมีอะไรสะดุดอารมณ์นิดๆ และสรุปเรื่องราวง่ายไปหน่อย ยกตัวอย่างเช่นพระเอกเราฝึกมังกรซะตั้งนานสองนาน แต่พวกเพื่อนพระเอกที่เพิ่งหัดขี่กลับพากันขี่พวกมันโฉบไปโฉบมาได้โดยง่าย รวมทั้งความสัมพันธ์กับชาวไวกิ้งกับพวกมังกรที่ดีกันง่ายและเร็วไปนิดมั้ย อ่อ ฉากสุดท้ายพวกมังกรตัวจ้อยที่กลัวพญามังกรนักหนา ทำไมจู่ๆ ก็พากันโจมตีนายใหญ่พวกมันอย่างกล้าหาญหนอ จริงอยู่หลายท่านอาจจะบอกว่า จะเอาอะไรมากกับอนิเมชั่นสำหรับเด็กแบบนี้นักหนา แต่ทีอนิเมชั่นของ Pixar เขาก็ทำมาสำหรับเด็ก(และผู้ใหญ่) ก็ไม่เคยดูแล้วสะดุดอารมณ์แบบนี้นิ


ที่นี่สปาต้าร์! เอ้ย ผิดเรื่องละ
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นแล้ว โดยรวมก็ยังถือว่าเป็นอนิเมชั่นที่ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ก็สามารถดูสนุกดูเพลินได้ ภาพก็สวย ข้อคิดก็มี โดยเฉพาะแนวคิดสมานฉันท์ ที่บอกว่าแทนที่เราจะมุ่งแต่รบราฆ่าฟันกัน ก็เรียนรู้ที่จะอยู่ด้วยกันอย่างสันติสุขไม่ดีกว่าหรือ คนกับมังกรเขายังอยู่กันได้ แล้วนับประสาอะไรกับคนชาติเดียวกันที่ต่างเรียกตนเองว่าเป็น 'คนไทย' ล่ะเนอะ อ้าว? จากมังกรแล้ววกเข้าการเมืองได้ไงล่ะเนี่ย แบบนี้เห็นทีต้องขอตัวไปกระชับพื้นที่ก่อนละเน้อ แว๊บบ

ปล.สำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นกับพระเอกเราในตอนจบไม่ได้มีในหนังสือต้นฉบับ แต่ทางผู้แต่งหนังสือ(และเรา)ก็ชื่นชมที่ผู้สร้างกล้าทำอะไรที่ไม่ได้เป็นเทพนิยายเต็มร้อยเช่นนี้ ได้ใจไปเลยจ้า


ดูเอาเองว่าใครพากย์เป็นใครกัน

เฮียคนข้างล่างก็มากะเขาด้วย


  • น่าดูเพราะ: เป็นอนิเมชั่นที่สนุก ดูเพลิน ภาพสวยงามน่าประทับใจ ดูได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่(ใจเด็ก) ให้แง่คิดอีกต่างหาก ปี 2013 รอเจอภาค 2 เลยจ้า
  • ไม่น่าดูเพราะ: คิดไม่ออก เพราะหนังดีน่าดูออกจะตายไป แต่ก็อย่างว่าเนอะบางคนเขาคิดว่าการ์ตูนมีไว้สำหรับเด็กเท่านั้น เลยอาจไม่สนใจเอาก็มี




*ช่วงเพลงในหนัง*

Jónsi กับเพลงในช่วงท้ายหนังเรื่องนี้
นอกจากหนังจะได้ John Powell (จากหนังชุด Jason Bourne) มาทำสกอร์ให้แล้ว ยังได้ Jónsi หนุ่มเกย์แห่งวงอัลเทอร์เนทีฟสุดแนวจากไอส์แลนด์อย่าง Sigur Rós มาขับขานเพลงชื่อ Sticks & Stones ในช่วงเอนด์เครดิตอีกด้วย ซึ่งก็ให้อารมณ์เพราะแบบแปลกๆ แต่เปี่ยมไปด้วยความหวังอันสดใส คึกคัก ดึ๋งดั๋ง ส่งท้ายคนดูออกจากโรงหนังได้แบบแฮปปี้ดีแทคจริงๆ หนอ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น