วันอาทิตย์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2553

Woochi (2009): ศึกจอมขมังเวทย์ทะลุภพ

Woochi (2009) :
เรื่องการเผยแพร่วัฒนธรรมของชาติตนเข้าไปกับหนังแบบเนียนๆ เนี่ยต้องยกให้เกาหลีเขาเลยล่ะ ไม่ว่าจะเป็น แดจังกึม ที่เล่นเอาพี่ไทยเราเห่ออาหารเกาหลีไปด้วย หรือบรรดาหนังทีวีที่เกี่ยวกับเหล่าคนสำคัญของชาติเขาทั้งหลายที่ทำเอาคนไทยได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ของเขาไปในตัว แบบที่ใครๆ ก็ต้องรู้จัก จูมง(แต่ของเราเองกลับนึกกันไม่ค่อยออก) และอีกหลายสิ่งที่ทำให้เกิดกระแส'เกาหลีฟีเว่อร์'มาจนทุกวันนี้ ซึ่งอันนี้ก็ต้องยกเครดิตให้พวกเขาที่มีความภูมิใจในความเป็นชาติของตนและสามารถนำมาผสมผสานเข้ากับความบันเทิงได้อย่างเหมาะเจาะยิ่งนัก

ดูเหมือน แฮร์รี่ พ็อตเตอร์ จะเจอคู่แข่งซะแล้ว
มาคราวนี้ก็ถึงคิวของวีรบุรุษจากตำนานพื้นบ้านของชาวเกาหลีเรื่อง"Tale of Jeon Woo Chi" กันบ้างล่ะ ซึ่งถูกหยิบนำมาสร้างเป็นหนังแฟนตาซีบู๊ปนตลกโดย ผกก.ชอยดองฮุน ที่ได้หนุ่มโย่ง คังดองวอน (Maundy Thursday [2006]) มารับบทพ่อมดหนุ่มมาดทะเล้น จอนวูชิ ที่ถูกขังไว้ในรูปภาพกว่า 500 ปีเพราะถูกใส่ร้ายป้ายสี จนในที่สุดก็ถูกปลดปล่อยออกมาในยุคปัจจุบัน เพราะเขาอาจเป็นเพียงผู้เดียวที่สามารถปราบปรามเหล่าปีศาจร้ายที่กำลังออกอาละวาดเพื่อต้องการจะครอบครองเกาหลีหรืออาจจะทั้งโลกเลยก็ได้(ป๊าด!)

ดูมาดก็รู้ว่าเป็นตัวโกง
ด้วยความที่เป็นหนังแฟนตาซีที่มีเรื่องราวโลดแล่นกันสองยุคสองสมัยเช่นนี้ เราจึงจะได้เห็นเหล่าปีศาจ การใช้คาถาอาคม การเหาะเหินเดินอากาศกันจุใจเชียวล่ะ ซึ่งงานด้านสเปเชี่ยลเอฟเฟกต์ก็ทำออกมารองรับจุดนี้ได้ดีมิใช่น้อยเลยทีเดียว(ก็น้องๆ ฮอลลีวู้ดล่ะนะ) สิ่งที่น่าชื่นชมอีกอย่างคือหนังให้เวลาในทั้งสองยุคเท่าเทียมกัน ซึ่งนอกจากจะทำให้ปูเรื่องราวได้หนักแน่นแล้วยังทำออกมาดูสนุกทั้งสองยุคด้วย (นี่ถ้าเป็นหนังฮอลลีวู้ดอาจจะให้เวลายุคอดีตแค่ไม่ถึงครึ่งชม.แล้วก็รีบกระโจนเข้าสู่ยุคปัจจุบันเป็นแน่เชียว) รวมถึงโทนหนังโดยรวมที่ไม่ซีเรียสเท่าใดนัก เลยเป็นความบันเทิงที่ดูได้เพลินๆ ดีแท้

เทคนิคงานสร้างดูดีมิใช่น้อยเลยทีเดียว
แต่ด้วยความที่หนังยาวซะกว่าสองชั่วโมง เลยรู้สึกว่าหนังยาวไปหน่อย นี่ถ้าหนังสั้นกว่านี้สัก 15-20 นาที แล้วก็ตัดตัวละครที่ไม่จำเป็นออกไปบ้าง จะกระชับและดูสนุกกว่านี้เป็นแน่ ส่วนอีกอย่างที่เป็นปัญหาคือความโม้ให้น่าเชื่อถือ(ซึ่งฮอลลีวู้ดถนัดนัก) ยกตัวอย่างเช่นพระเอกกับโจรบู๊กันเถิดเทิงอยู่กลางเมือง แต่ไม่เห็นหัวตำรวจหรือแม้กระทั่งชาวบ้านในบริเวณข้างเคียงแม้แต่น้อย (หรือเขาอาจจะเลือกทำเลเปลี่ยวก่อนซัดกันมาแล้ว?) รวมทั้งการที่ติดตลกแบบนี้เลยทำให้เรื่องราวอาจไม่เข้มข้นเท่าที่ควรนัก

โผล่มายุคปัจจุบันไม่ทันไรก็ซดเบียร์กันซะแล้วนะพ่อคุ๊ณณ
ยังไงซะก็ถือว่าหนังประสบความสำเร็จในการนำเรื่องราววีรบุรุษในตำนานของชาติเขามาขึ้นจอเผยแพร่ให้โลกได้รู้จัก(คนในชาติก็ชอบดูด้วย) โดยได้เทคนิคงานสร้างที่ได้มาตรฐานทำให้หนังดูมีเกรด และใส่ความทันสมัยเข้าไปทำให้เรื่องราวไม่เชยและน่าสนใจขึ้นมาแยะ แบบนี้เห็นทีหนังเกาหลีคงจะเสื่อมความนิยมยากหน่อยซะแล้วมั้ง ในเมื่อรู้จักประยุกต์ความเป็นชาติของตนเข้าความทันสมัยได้เช่นนี้ ในขณะที่บางประเทศแถวนี้กลับหนีความเป็นตัวของตัวเองเพื่อพยายามกลายเป็นเหมือนชาติอื่นไปซะงั้น เฮ้อ อยากจะร้องออกมาดังๆ ว่า กรูมึนโฮ...(ยืมชื่อมาแซวเท่านั้น ไม่ได้ว่าตัวหนังเน้อ อิอิ)

  • น่าดูเพราะ: เป็นหนังแฟนตาซีเกาหลีที่เด่นทางด้านเทคนิคที่ดูดีมาก แถมเล่าเรื่องได้เข้าท่าดูเพลินๆ ดีจ้า
  • ไม่น่าดูเพราะ: หนังยืดยาวไปนิดและถ้าจริงจังมากกว่านี้หน่อยก็จะแหล่มไปเลยจ้า


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น