วันอังคารที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2553

This Is England (2006): ที่นี่อังกฤษ(โว้ย!)


This Is England (2006) :
หนังดราม่าเล็กๆ ของ ผกก.Shane Meadows (Dead Man's Shoes [2004]) เรื่องนี้เดินสายกวาดรางวัลจากเวทีต่างๆ ในอังกฤษอย่างเพลิดเพลิน แถมยังได้เข้าชิงรางวัลกินรีทองคำจากงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพฯ อีกด้วย(แต่กินแห้ว) แสดงว่าต้องไม่ธรรมดาทีเดียวนะเรื่องนี้ ว่าแล้วก็ต้องหามายลซะหน่อยแล้ว


ไม่ว่าจะเป็นเด็กที่ไหนก็ชอบยิงหนังกะติ๊กกันทั้งนั้น
หนังพาย้อนไปยังอังกฤษช่วงปี 1983 เพื่อตามดูชีวิตของ Shaun (Thomas Turgoose) หนูน้อยวัย 12 ขวบที่อาศัยอยู่กับแม่ในเมือง Cleethorpes และเนื่องจากพ่อของเขาที่เป็นทหารได้เสียชีวิตไปในสงครามหมู่เกาะฟอล์กแลนด์ เลยทำให้เขารู้สึกเคว้งคว้าง เก็บกด ไร้เพื่อน ท่าทางจะมีปัญหานะเนี่ย แต่แล้วเมื่อเขาได้เข้ากลุ่มวัยโจ๋แถวบ้านที่นำโดย Woody (Joe Gilgun) อะไรๆ ก็เลยเข้ารูปเข้ารอยขึ้นมาหน่อย แต่ไปๆ มาๆ เขาก็ถลำลึกจนได้เข้ากลุ่มชาตินิยมหัวรุนแรงที่มุ่งสอนให้เหยียดเชื้อชาติไปซะงั้น อ้าว งี้ก็เป็นเด็กมีปัญหาของจริงไปแล้วสิเนี่ย...

ทรงสกินเฮดน่ะเขาฮิตกันมาตั้งนานแล้ว
ผกก. Meadows เล่าเรื่องได้อย่างดูเพลินเอามากๆ และเสนอภาพของสังคมอังกฤษสมัยต้นยุค 80 ได้อย่างถึงกึ๋น โดยเฉพาะภาพของวัยรุ่นยุคโน้น(ซึ่งเป็นยุคที่ ผกก.เราเติบโตมา)ที่มาพร้อมแฟชั่น ลีลา ดนตรี อันเป็นเอกลักษณ์ และที่โดดเด่นที่สุดคือคุณหนู Turgoose ที่เพิ่งเล่นหนังเรื่องแรก แต่ก็เล่นได้ดีเป็นธรรมชาติซะจริงๆ นะพ่อคุ๊ณณ ทั้งยังคุณ Stephen Graham (Public Enemies [2009]) ในบท Combo จิ๊กโก๋รุ่นใหญ่ที่ชักชวนพระเอกเราให้เป็นพวกหัวรุนแรง ที่เล่นได้แจ่มมากๆ อีกคนหนึ่ง หนังมีเพลงดังๆ จากยุคนั้น และสกอร์แนวบรรเลงกีต้าร์โปร่งของคอมโพเซอร์ชาวอิตาเลียน Ludovico Einaudi เพราะๆ มาให้ฟังอีกด้วย ซึ่งก็ช่วยสร้างบรรยากาศให้กับหนังได้เยอะโขเชียว


วัยรุ่นยุค 80 นี่เขามีสไตล์การแต่งกายที่เป็นเอกลักษณ์จริงๆ
แม้เรื่องราวของหนังจะไปแบบเรื่อยๆ ไม่มีอะไรหวือหวาหรือถึงขั้นประทับจิตอะไรมากมาย แต่ก็นับว่าเป็นหนังที่เสนอภาพสังคมของอังกฤษยุคนั้นอย่างตรงไปตรงมาและทำได้ถึง ผ่านสายตาของเด็กน้อยที่พร้อมจะซึมซับอิทธิพลรอบด้านทุกสิ่งโดยง่าย ถึงในหนังเด็กน้อยจะกลับตัวกลับใจได้ทันท่วงที แต่ก็อย่าลืมว่าชีวิตจริงคงไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป ดังนั้นโปรดดูแลบุตรหลานของเราให้ดี เพราะบางทีกว่าจะรู้ตัวมันก็อาจจะสายเกินไปที่จะดึงเขากลับมาในทางที่ควรซะแล้ว แต่ว่าก็ว่าเหอะ ไม่ค่อยชอบยุค 80 จริงๆ พับเผื่อยสิ (แต่ชอบยุค 90 เพราะโตมากับยุคนี้น่ะ อิอิ)

  • น่าดูเพราะ: หนังเล่าเรื่องได้อย่างน่าดู ไม่มีน่าเบื่อ การแสดงเด่น ใครอยากรู้ว่าวัยรุ่นยุค 80 เขาเป็นยังไงกันก็ดูโลด
  • ไม่น่าดูเพราะ: เนื้อเรื่องไม่มีอะไร นอกจากชีวิตวัยรุ่นทั่วไป ที่มันก็ไม่ค่อยเจริญหูเจริญตา น่าดูนักหรอก




*ช่วงเพลงในหนัง*


Clayhill วงโฟล์คอังกฤษที่มีผลงานในซาวน์แทร็คเรื่องนี้ด้วย
ไม่มีอะไรจะบ่งบอกยุคสมัยของหนังได้ดีมากไปกว่าเพลงอีกแล้ว และสำหรับในหนังที่เล่าเรื่องในปี '83 เช่นนี้ เราจึงจะได้ฟังเพลงจากศิลปินยุคนั้นมากมายที่ถึงแม้ว่าจะไม่ถึงกับโด่งดังเป็นดาวค้างฟ้า แต่ก็เคยดังไม่ใช่เล่น ไม่ว่าจะเป็นงานเพลงของศิลปินซินธ์ป็อปอย่าง Strawberry Switchblade, Soft Cell หรือเพลงแนวสกาป็อปที่ก็ฮิตไม่ใช่เล่นของ Toots & the Maytals, The Specials ไปยันอาร์แอนด์บีของ Richard Berry เลยทีเดียว

แต่ในหนังก็ยังมีงานเพลงของศิลปินยุคใหม่เข้าไปแจมด้วยไม่ว่าจะเป็นงานของ Clayhill, Gravenhurst โดยเฉพาะในรายของวงแรกที่คัฟเวอร์เพลง Please, Please, Please Let Me Get What I Want ของ The Smiths ได้อย่างโคตรเพราะจับจิต ส่งเสริมอารมณ์ให้กับหนังเป็นอย่างดี ซึ่งก็จะได้ยินกันในช่วงท้ายเรื่อง ว่าแล้วเราก็ขอเอาเพลงนี้มาฝากกันซะเลยครับพี่น้อง




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น