วันอาทิตย์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

After.Life (2009): ก็เค้ายังไม่อยากตายนี่นา!


After.Life (2009) :
Liam Neeson (Taken [2008]) นับเป็นนักแสดงประเภท'ตัวประกอบคุณภาพ' ที่งานชุกมากคนหนึ่ง ยิ่งพอสูญเสียภรรยาสุดที่รักไปเมื่อปีที่แล้ว เขากลับยิ่งรับงานไม่ยั้ง(เฉพาะปี 2010 นี้เขามีผลงานปาเข้าไปกว่าห้าเรื่องแล้ว) นัยว่าขอทำงานให้ยุ่งเข้าไว้จะได้ลืมความโศกเศร้าไปเสียบ้าง และนี่ก็คืออีกหนึ่งผลงานของเขา ที่ถึงแม้จะเป็นหนังฟอร์มเล็ก เล่นกันอยู่แค่ไม่กี่คน แต่ก็ถึงคุณภาพไม่ทำให้เสียชื่อของน้าเขาอีกเช่นเคย


เจ๊ Christina Ricci อยู่ในชุดแดงนี้ทั้งเรื่อง
Anna (Christina Ricci จาก Speed Racer [2008])คุณครูชั้นประถม เกิดประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์และฟื้นขึ้นมาก็พบว่าตนกำลังนอนอยู่ในห้องเก็บศพของสถานรับจัดพิธีศพแห่งหนึ่ง โดยเธอเองก็ไม่แน่ใจนักว่าตนเองตายจริงหรือเปล่า เพราะว่ายังสามารถขยับร่างกาย พูดจา หรือหายใจได้ปกติ แต่สัปเหร่อที่นั่นอย่าง Eliot (Neeson) ก็บอกแก่เธอว่าเธอน่ะตายชัวร์ไม่มั่วนิ่ม ไอ้การที่เธอพูดจากับเขาได้ก็เพราะเขามีพรสวรรค์ในการสื่อสารกับคนตายได้ต่างหากล่ะ(ป๊าด)


หนังเดินเรื่องอยู่ในห้องเก็บศพเกือบทั้งเรื่อง
แต่ใครล่ะอยากจะยอมรับว่าตนตายแล้วง่ายๆ เธอจึงพยายามทุกทางที่จะออกไปหาแฟนหนุ่มของเธอ (รับบทโดย Justin Long จาก Drag Me to Hell [2009]) ที่กำลังเศร้าโศกอย่างสุดซึ้งจากการจากไปอย่างกระทันหันของเธอ ซึ่งผลจะออกมาเป็นยังไง เธอยังไม่ตาย? หรือตายไปแล้ว? สัปเหร่อคนนี้เป็นผู้มีพรสวรรค์จริง หรือเป็นแค่คนโรคจิตที่จับตัวเธอไปกักขังหน่วงเหนี่ยวกันแน่? อันนี้ก็ต้องติดตามหาคำตอบกันเองแล้วล่ะนะจ้ะ


ผีฝรั่งต้องใช้มีดเป็นอาวุธด้วยเหรอเนี่ย?
ผกก.สาว Agnieszka Wojtowicz-Vosloo รับหน้าที่กำกับ/ร่วมเขียนบท ในผลงานหนังยาวเรื่องแรกนี้ได้เข้าท่าดีทีเดียว แม้จะมีตัวแสดงเล่นกันอยู่ไม่กี่คนแต่ก็จับความสนใจได้เป็นอย่างดี หนังสามารถสร้างความสงสัยในความเป็นไปได้ว่านี่มันเป็นหนังผีหรือหนังผู้ร้ายโรคจิตกันแน่ได้ดีพอสมควร แม้สุดท้ายจะไม่มีอะไรที่เกินการคาดเดาจากคอหนังมากนักก็ตาม จุดเด่นอยู่ที่คุณ Ricci ที่กล้าโป๊ กล้าเปลือย อล่างฉ่างแบบไม่แคร์สื่อ (แต่ก็โป๊ในแบบที่ไม่ได้จงใจปลุกใจเสือป่าเน้อ) ส่วนคุณ Neeson ก็มาในมาดนิ่งๆ ดูไม่มีพิษมีภัยแต่ก็น่ากลัวอยู่ในที ในขณะที่คุณ Long มาในมาดเดิมๆ แบบเดียวกับที่เราเห็นใน Drag Me to Hell เป๊ะๆ เลยเชียว


ห้องเขาดูสะอาดน่านอนดีจริงๆ
หนังไม่ได้กะขายความตื่นเต้น ระทึกขวัญ หรือมุกต๊กกะใจตุ้งแช่ (แต่ก็ยังมีอยู่บ้าง) ทว่าเน้นเสนอบรรยากาศมาคุ และชวนสงสัยในเรื่องชีวิตกับความตายซะมากกว่า อย่างเช่นมีฉากหนึ่งที่นางเอกถามสัปเหร่อว่า 'ทำไมคนเราต้องตายด้วยล่ะ?' ซึ่งคำตอบที่ได้ก็คือ 'ก็เพื่อจะได้รู้ว่าชีวิตมีค่าแค่ไหนยังไงล่ะ' อืม นี่ก็พอจะบอกแนวคิดของหนังเรื่องนี้ได้แล้วล่ะมั้ง พี่น้องที่รักทั้งหลาย
  • น่าดูเพราะ: หนังสร้างบรรยากาศได้ดี มีแง่คิด การแสดงดี ใครอยากเห็นคุณ Ricci โป๊เปลือย โชว์หรา ล่ะก็พลาดไม่ได้เชียว
  • ไม่น่าดูเพราะ: หนังที่เดินเรื่องส่วนใหญ่ก็อยู่แต่ในสถานฌาปณกิจแบบนี้ คงไม่ชวนให้ดูนักหรอก และถ้าจะดูเอาตื่นเต้น ลุ้นระทึก น่ากลัว ก็คงจะไม่มีให้ดูเท่าไหร่หรอก



*ช่วงเพลงในหนัง*

Radiohead
หนังนำเพลง Exit Music (for a Film) ของ Radiohead มาใช้ในช่วงเอนด์เครดิต ซึ่งถึงแม้จะเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าที่จริงเพลงนี้ถูกแต่งขึ้นมาเพื่อหนัง Romeo + Juliet (1996) เวอร์ชั่นเด็กแนวของ Leonardo DiCaprio ก็ตาม แต่พอมาอยู่ท้ายหนัง After.Life นี้ก็ยังคงฟังได้อารมณ์เหมาะกับตัวหนังอยู่ดีนั่นแล ว่าแล้วเราก็มาฟังกันอีกทีเถอะ...

MP3: Radiohead - Exit Music (for a Film)


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น