วันอาทิตย์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

The Last Station (2009): รักเธอตราบจนสถานีสุดท้าย

The Last Station (2009) :
หนังดราม่าที่เกี่ยวกับนักเขียนชื่อขลังชาวรัสเซีย Leo Tolstoy เรื่องนี้ส่งให้ป้า Helen Mirren (The Queen [2006]) ได้เข้าชิงออสก้าร์ครั้งล่าสุดในสาขานำหญิงอีกครั้ง(ในฐานะหนึ่งในตัวเก็ง ก่อนจะถูกยายอยู่อย่าง Sandra Bullock คว้ารางวัลไปนอนกอดได้แบบหักปากกาเซียน) ซึ่งถึงแม้ว่าป้าจะต้องรับประทานแห้วกระป๋องไป แต่ก็นับว่าได้มอบการแสดงระดับสุดยอดไว้ให้คอหนังได้ชื่นชมกันอีกครั้งหนึ่งแล้วนะจะบอกให้


ป้าแกดูดีในชุดย้อนยุคแบบนี้จริงๆ
หนังพาย้อนไปรัสเซียช่วงปี 1910 เพื่อเสนอเรื่องราวชีวิตในวัยชราของปู่ Tolstoy (Christopher Plummer จาก The Imaginarium of Doctor Parnassus [2009]) และศรีภรรยาสุดที่เลิฟ Countess Sofya Tolstaya (Mirren) ที่ถึงแม้จะยังรักกันหวานชื่นกันดีอยู่ แต่ก็ต้องมีปากเสียงกันเมื่อฝ่ายสามีเตรียมจะยกผลงานของตนทั้งหมดให้เป็นสมบัติของชาติ จากการคอยเป่ากระหม่อมจากเพื่อนซี้ของเขาอย่าง Vladimir Chertkov (Paul Giamatti จาก Sideways [2004])


พ่อหนุ่ม James McAvoy ต้องปะฝีมือกับเหล่านักแสดงเจ้าบทบาท
ซึ่งนั่นก็หมายถึงทางครอบครัวจะไม่ได้ค่าลิขสิทธิ์จากการตีพิมพ์ผลงานของเขาสักแดง ดังนั้นมีหรือที่ฝ่ายภรรยาจะยอม ดังนั้นเมื่อผู้ช่วยหนุ่มคนใหม่ที่เชิดชู Tolstoy โคตรๆ อย่าง Valentin Bulgakov (James McAvoy จาก Wanted [2008]) เผอิญหลุดเข้ามาอยู่ตรงกลางระหว่างสองฝ่าย เขาเลยถูกแต่ละฝ่ายดึงให้เป็นพวก ซึ่งทำให้เขาต้องตัดสินใจอย่างยากลำบากว่าจะเข้าข้างใครดีหนอ เรื่องราวเมโลดราม่าแสนซาบซึ้งผ่านการแสดงระดับสุดยอดของเหล่านักแสดงคุณภาพจึงเกิดขึ้น ณ บัดเดี๋ยวนั้นเอย

ถึงจะแก่แค่ไหนแต่สองคนนี้ก็ยังกุ๊กกิ๊กกันไหวอยู่
ผกก.ที่ถนัดในการทำหนังดราม่าชวนประทับใจอย่าง Michael Hoffman (One Fine Day [1996]) ทำหน้าที่ได้อย่างดี หนังพยายามมาในอารมณ์ที่ผ่อนคลายแต่บทจะกระชากอารมณ์ก็ทำได้ถึง ซึ่งอันนี้ก็ต้องชมเหล่านักแสดงยอดฝีมือทั้งหลายที่มอบการแสดงอันยอดเยี่ยมที่สร้างอารมณ์ร่วมให้แก่ตัวหนังได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะป้า Mirren ที่ช่างโดดเด่นในทุกสถานการณ์จริงๆ เมื่อผนวกเข้ากับดนตรีประกอบสุดเพราะของ Sergey Yevtushenko คอมโพเซอร์ชาวรัสเซียเข้าไปอีก งานนี้คงจะเรียกน้ำตาจากบรรดาคอหนังกันได้บ้างล่ะน่า


ป้าเขามอบการแสดงอันสุดยอดให้ได้เชยชมกันอีกครั้งหนึ่ง
ถึงแม้เรื่องราวจะดูเมโลดราม่าเรียกน้ำตาไปบ้าง แต่ก็ถือว่าทำได้ถึงชนิดที่ไม่ล้นจนเกินไป การที่นักแสดงพากันพูดภาษาอังกฤษสำเนียงอังกฤษและอเมริกันแบบนี้ เลยดูไม่ค่อยรัสเซียเท่าไหร่ แต่ก็หยวนๆ ให้ละกัน เพราะมีแต่นักแสดงทำหน้าที่ได้ดีทั้งนั้น หนังเหมาะสำหรับคอหนังดราม่าเน้นการแสดง และคอหนังสือที่คุ้นเคยกับผลงานของ Tolstoy แล้วอยากเห็นแง่มุมในชีวิตของเขาเพิ่มขึ้น ป้า Mirren เขารับประกันคุณภาพเลยจ้า
  • น่าดูเพราะ: หนังดี การแสดงเด่น ผู้ที่อยากรู้จัก Leo Tolstoy ในอีกแง่มุมก็ไม่ควรพลาดจ้า
  • ไม่น่าดูเพราะ: อาจดูเมโลดราม่าไปบ้าง และหนังที่มีคู่รักแก่ๆ เหี่ยวๆ เป็นตัวนำคงไม่ดึงดูดความสนใจให้ดูเท่าไหร่นักหรอกมั้ง




*ช่วงอันเนื่องมาจากหนัง*

ภาพถ่ายสีตัวเป็นๆ เพียงรูปเดียวของ Tolstoy
สำหรับคนที่ไม่ใช่หนอนหนังสือคงจะไม่ค่อยรู้จัก Leo Tolstoy กันสักเท่าไหร่(โดยเฉพาะเรา อิอิ) เลยอาจจะพาลงงๆ ยามดูหนังเรื่องนี้ว่า คุณปู่เคราเฟื้อยคนนี้เป็นใครหนอทำไมถึงมีแต่คนยกย่องเชิดชูท่านเช่นนี้? ดังนั้นเราจึงมีเรื่องราวของท่านเล็กๆ น้อยๆ มาให้อ่านพอเป็นการทำความรู้จักกันจ้า

Lev Nikolayevich Tolstoy (1828-1910) คือนักประพันธ์, นักปรัชญาชาวรัสเซียในตำนาน ผู้ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นสุดยอดแห่งสุดยอดนักประพันธ์ ผลงานมาสเตอร์พีซของท่านก็มีอาทิเช่น War and Peace และ Anna Karenina

นอกจากนั้นท่านยังเป็น นักปฏิรูปการศึกษา, นักเขียนบทละคร, นักเขียนเรื่องร้อยแก้ว และการตีความจริยธรรมของพระเยซู จาก "การเทศนาบนภูเขา" ทำให้ต่อมาท่านกลายเป็นผู้พัฒนาแนวคิดทางคริสต์ศาสนารูปแบบใหม่ คือ "Christian anarchism"และ "Pacifist" โดยเฉพาะแนวคิด "การต่อสู้โดยสันติวิธี" ที่ต่อมาได้มีอิทธิพลต่อทั้ง มหาตมะ คานธี และ Martin Luther King, Jr.
เชียวนะ

ท่านเสียชีวิตด้วยโรคนิวโมเนีย (ปอดอักเสบ)ที่สถานีรถไฟ Astapovo ในรัสเซียปี 1910 ขณะที่อายุได้ 82 หลังจากเพิ่งตัดสินใจทิ้งบ้าน ครอบครัวและความมั่งคั่งไว้เบื้องหลัง เพื่อกลายเป็นนักพรตพเนจรชนิดเต็มขั้น แต่ดันเกิดป่วยซะก่อนหลังจากขึ้นรถไฟจากบ้านไปได้ไม่นาน จนต้องแวะพักรักษาตัวที่ Astapovo ซึ่งก็ได้กลายเป็นสถานีสุดท้ายของชีวิตท่านไปในที่สุด


*คัดข้อมูลมาแปลแบบมั่วๆ จาก wikipedia จ้า*

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น