วันเสาร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2554

Final Destination 5 (2011): ตายแบบนี้พี่ขอโกง (จะดีกว่า)

Final Destination 5 (2011) :
เดินทางมาถึงภาค 5 แล้วสำหรับหนังก๊วนคนโกงความตายชุดนี้ แม้ว่าภาคที่แล้วซึ่งออกแนวตลกคาเฟ่จะโดนนักวิจารณ์ด่าเละเทะก็ตามที แต่ตราบใดที่หนังยังทำเงินให้ผู้สร้างเป็นกอบเป็นกำได้อยู่ก็คงจะมีภาคต่อออกมาให้ดูสืบไปแหล่ะนะ พ่อแม่พี่น้องครั่บ

งานนี้มีคนโดนแหกตาซะแล้ว
มาภาคนี้หนังไม่ธรรมดาเพราะได้มือขวาของเสี่ย James Cameron อย่าง Steven Quale มารับหน้าที่กำกับ นัยว่าเพราะแกมีประสบการณ์เชี่ยวชอง (เชี่ยวชาญและช่ำชอง) ในด้านหนัง 3D เป็นทุนเดิมอยู่นั่นเอง เท่านั้นยังไม่พอยังได้น้ามืด Tony Todd ซึ่งเป็นเครื่องหมายการค้าประจำหนังชุดนี้โผล่มาร่วมแจมอีกครั้งหลังจากหายไปในภาค 3 และ 4 (ภาคสามแกมาแค่เสียง)


Tony Todd กลับมาร่วมแจมอีกครั้ง
ส่วนพล็อตเรื่องนั้นไม่ต้องไปสนใจอะไรมาก เพราะก็ยังเกี่ยวข้องกับการสรรหาการตายสยอง น่าหวาดเสียว หลากหลายรูปแบบที่สามารถเกิดขึ้นได้ในชีวิตประจำวันของคนเรามากำนัลคนดู ซึ่งตรงนี้ก็คือจุดขายสำคัญของหนังชุดนี้อยู่แล้ว และภาคนี้ก็ตอบสนองความต้องการของคนดูได้เป็นอย่างดีโดยเฉพาะฉากการตายล็อตใหญ่ในช่วงแรกของหนัง ที่ต้องเล่นเอาคนดูเกร็งไปเลยทีเดียว


หน้าตาก๊วนโกงตายของภาคนี้
นอกนั้นหนังก็เดินตามครรลองของหนังชุดนี้ซึ่งจะจบลงยังไงนั้นก็คงจะไม่ยากเกินเดาอยู่แล้ว และก็คงไม่ค่อยมีใครใส่ใจมากไปกว่าฉากการตายของบรรดาตัวละครในเรื่อง แต่ยังไงก็ถือว่าทำได้เข้าทีในการโยงเรื่องราวให้บรรจบเข้ากับภาคก่อนๆ ของหนังชุดนี้ได้อย่างเนียนๆ จนถือว่าเป็นภาคต่อที่ทำได้ดีกว่าสองภาคที่ผ่านมาก็ว่าได้

ดูหน้าแต่ละคนก็พอจะเดาได้ว่าไม่ค่อยแฮปปี้นัก
แง่คิดที่สอดแทรกมาตลอดในหนังชุดนี้ก็คือ ถ้าคนเรามันถึงที่ตายมันก็ต้องตายอยู่ดี ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหนหรือเฝ้าระแวงมากแค่ไหนก็ตามที แต่ถึงกระนั้นเราก็ไม่ควรวิตกจริตจิตตกกลัวตายจนเกินไป แต่พึงทำใจว่ายังไงคนเราต้องตายทุกคนอยู่แล้ว ตอนที่เรายังอยู่ก็ควรอยู่ด้วยความรอบคอบระมัดระวังและใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย ไม่ใช่หายใจทิ้งไปวันๆ เพราะวันพรุ่งนี้เราอาจจะไม่มีโอกาสทำให้มันมีความหมายแล้วก็ได้เน้อพี่น้อง ใครจะไปรู้
  • + ยังคงสรรหาฉากการตายน่าเสียวไส้มาฝากได้เช่นเดิม เป็นภาคต่อที่ทำได้น่าพอใจกว่าหลายภาคที่ผ่านมาก็ว่าได้
  • - มาด้วยทางเรื่องเดิมๆ ไม่ค่อยมีอะไรนอกจากการคอยดูว่าเมื่อไหร่บรรดาตัวละครจะตายและตายยังไงเท่านั้น




*ช่วงเพลงในหนัง*
Kansas
เทรนด์การใช้เพลงเก่าๆ เพราะๆ มาเพิ่มบรรยากาศสยองให้กับหนังนั้นยังเป็นที่นิยม ซึ่งในภาคนี้นั้นก็เลือก 'Dust in the Wind' เพลงสุดคลาสิกเมื่อปี 1978 ของวงอเมริกันร็อครุ่นลายครามอย่าง Kansas มาใช้ แม้จะมาวับๆ แวมๆ ไม่เต็มท่อนไม่เต็มเพลง แต่ด้วยความโด่งดังของบทเพลงจึงทำให้คนดูต้องอ๋อทันทีที่ได้ยิน แถมเนื้อหาของเพลงก็ช่างเข้ากับหนัง เพราะพูดถึงความไม่แน่นอนของชีวิตคนเรา นับเป็นการฉลาดเลือกใช้เพลงทีเดียว ส่วนอีกเพลงของ Everclear นั้นก็เป็นการบอกใบ้ยุคสมัยของตัวหนังเป็นอย่างดีไม่ใช่สักแต่ยัดเพลงใส่เข้ามาเฉยๆ แต่อย่างใด

MP3: Kansas - Dust In the Wind

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น