วันพฤหัสบดีที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

The Time That Remains (2009): ปาเลสไตน์ขำขื่น




The Time That Remains (2009) :
หลังจากติดอกติดใจ Elia Suleiman ผกก.ชาวปาเลสไตน์มาจากผลงานหนังสั้นใน To Each His Own Cinema (2007) มาแล้ว ก็ถึงคราวที่ต้องตามเก็บผลงานของเขามาดูให้หายอยากซะหน่อย โดยขอเริ่มต้นจากผลงานล่าสุดของเขา ซึ่งก็ดีเด่นถึงขนาดเป็นหนึ่งในหนังที่ได้เข้าชิงรางวัลปาล์มทองคำจากเทศกาลหนังเมืองคานส์เสียด้วยสิ แต่ดันแห้วรับประทาน เพราะ The White Ribbon ของทั่น Michael Haneke นั้นสอยรางวัลไปครองได้ในที่สุด


ขอ ผกก.เล่นเป็นพระเอกเองบ้างนะจ้ะ
หนังเป็นแนวกึ่งอัตชีวประวัติของตัว ผกก.เอง โดยเสนอเรื่องราวของครอบครัวเขาตั้งแต่รุ่นพ่อในสมัยสิ้นสงครามโลกครั้งที่สองซึ่งกองกำลังอิสราเอลได้บุกยึดแผ่นดินปาเลสไตน์เพื่อสร้างชาติขึ้นมาอีกครั้งในปี ค.ศ.1948 จนไปๆ มาๆ พวกพระเอกเราต้องกลับกลายมาเป็นคนนอกที่ต้องอาศัยในประเทศซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นแผ่นดินเกิดของตนไปซะงั้น และถึงรุ่นลูกอย่างเขาที่ต้องระเห็จไปใช้ชีวิตที่อเมริกาตั้งแต่วัยรุ่น กระทั่งแก่หัวหงอกถึงได้กลับมาเยี่ยมครอบครัวของตนอีกครั้ง


ดูรูปแล้วเหมือนหนังจะซีเรียสแต่ที่จริงออกจะฮาซะ
ฟังพล็อตเรื่องแล้วเหมือนนี่จะเป็นหนังดราม่าชีวิตแสนเศร้าเคล้าประวัติศาสตร์สุดรันทดของชาวปาเลสไตน์ยิ่งนัก แต่ตัว ผกก.Suleiman กลับเลือกที่จะใส่อารมณ์ขันแบบตลกร้ายหน้าตายเข้าไปในหนัง จนได้อารมณ์ขำขื่นเปี่ยมเสน่ห์ (แต่ไม่ถึงกับตลกสามช่าคาเฟ่หรอกนะ) หนังยังคงมาด้วยจังหวะนิ่งๆ เนิบๆ เรื่อยๆ แต่บทจะขำ บทจะซึ้ง ก็ยังทำได้แจ่ม และโดดเด่นในการเสียดสีถึงความเป็นปาเลสไตน์-อิสราเอลได้อย่างถึงกึ๋น รวมทั้งมาพร้อมความรู้ทางประวัติศาสตร์ครบครันอีกด้วยแน่ะ


โดนครูดุในวันนี้คือ ผกก.ชื่อดังในวันหน้า
ส่วนตัว ผกก.เราก็ยังทำหน้าที่ได้ดีในด้านการแสดง ที่มาในมาดนิ่งๆ ไม่พูดไม่จา ไม่หือไม่อือ ตามสไตล์ตลกหน้าตาย ซึ่งแกก็ดูตลกจริงๆ เรียกได้ว่าแค่อยู่เฉยๆ ก็ทำเอาฮาได้แล้วล่ะ (นี่แหล่ะคุณสมบัติอีกข้อหนึ่งของแกที่ทำเอาเราปลื้มจนต้องขอสมัครเป็นแฟนหนัง) แต่ว่าก็ว่าเหอะเรื่องนี้มันก็ขึ้นอยู่กับรสนิยมของแต่ละคนด้วย เพราะบางคนดูแล้วอาจจะไม่เห็นว่าเรื่องนี้มันจะฮาที่ตรงไหนเลยก็ได้

นักแสดงคนซ้ายน่าจับไปโกอินเตอร์ยิ่งนัก
สำหรับกรณีพิพาทคาราคาซังระหว่าง ปาเลสไตน์ กับ อิสราเอล นั้นก็สามารถมองได้ทั้งสองด้าน ด้านหนึ่งที่เห็นใจฝั่งปาเลสไตน์ก็อาจจะคิดว่า พวกเขาช่างน่าสงสารที่อยู่ดีๆ ก็ถูกอิสราเอล (โดยการหนุนหลังของอเมริกา) ข่มเหงขับไล่และแย่งชิงแผ่นดินเกิดตนไปดื้อๆ จนถึงทุกวันนี้พวกเขาก็ยังไม่มีประเทศเป็นของตนด้วยซ้ำไป


หนูน้อยชาวยิวกำลังร้องเพลงประสานเสีย เอ๊ย เสียง
ส่วนอีกด้านที่เห็นใจฝั่งอิสราเอลก็อาจจะคิดว่า ถ้าดูจากประวัติศาสตร์ที่ย้อนไปถึงยุคโบราณนั้น พระเจ้าได้ทรงสัญญากับชาวอิสราเอลว่าจะมอบดินแดนแถบนี้ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของชนชาติเขา แต่เพราะพวกเขาได้เอาใจออกห่างจากพระองค์จึงถูกลงโทษด้วยการทำให้ต้องกระจัดกระจายกันไปจนสิ้นชาติอิสราเอลมากว่าพันๆ ปี ดังนั้นจึงไม่ใช่สิ่งผิดที่พวกเขาจะกลับมาทวงแผ่นดินที่พระเจ้าประทานแห่งนี้กลับคืนมาอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งพวกเราคนนอกก็คงได้แต่คอยติดตามกันต่อไปล่ะว่าสุดท้ายแล้วเรื่องราวของทั้งสองชนชาตินี้จะจบลงยังไงเน้อ
  • + เป็นหนังปาเลสไตน์ที่นำเสนอกรณี ปาเลสไตน์-อิสราเอล ในแง่มุมอารมณ์ขันได้อย่างมีเสน่ห์ น่าชื่นชมจริงๆ
  • - หนังนิ่งๆ เรื่อยๆ เอื่อยๆ ซะจนบางคนอาจพาลเบื่อเอาได้ง่ายๆ






*รีวิวหนังของ ผกก.Elia Suleiman และเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องภายในบล็อก*


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น