วันจันทร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2553

The Karate Kid (2010): ไอ้หนูกังฟู(สู้เพื่อหมวย)


The Karate Kid (2010) :
หลังจากหนูน้อย Jaden Smith ถูกป๊ะป๋ากระเตงไปแสดงด้วยใน The Pursuit of Happyness (2006) จนคอหนังเริ่มเห็นแวว ว่าแล้ว Will Smith และ Jada Pinkett Smith ก็ขอทำหน้าที่เป็นป๋าดัน เป็นโปรดิวซ์เซอร์หนังให้ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของตนได้เป็นพระเอกเต็มตัวกับเขาซะเลย ในหนังที่รีเมคจากหนังฮิตชื่อเดียวกันเมื่อปี 1984 ที่อยู่ในดวงใจของใครหลายคนที่โตมากับยุค 80 นั่นเอง


หนูน้อย Smith หล่นตุ๊บไม่ไกลต้นเลย
แต่แทนที่จะเดินตามเวอร์ชั่นต้นฉบับแบบเป๊ะๆ เวอร์ชั่นใหม่นี้ขอปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอะไรหลายๆ อย่าง เช่นการลดอายุพระเอกให้อยู่ในชั้นประถมแทนที่จะเป็นมัธยม และที่สำคัญคือหันไปจับเอาศิลปะป้องกันตัวอย่าง 'กังฟู' มาใช้แทนที่ 'คาราเต้' ตามกระแสนิยมไปซะงั้น (ไม่รู้ว่าด้วยความที่กลัวคนจะไม่รู้ว่าเป็นหนังรีเมคเลยขอดันทุรังใช้ชื่อ Karate Kid เหมือนเดิมหรือเปล่า?) โดยบุกไปถ่ายทำถึงถิ่นกังฟูอย่างประเทศจีนอีกด้วย


เปลี่ยนจากคาราเต้ มาเป็น กังฟู ซะงั้น
เนื้อเรื่องก็เป็นลักษณะพิมพ์นิยมของหนังแนวนี้ เมื่อ Dre Parker (Smith) ต้องย้ายตามแม่จาก ดีทรอยต์ ไปอยู่ที่ ปักกิ่ง ประเทศจีน แรกๆ อะไรก็ดูโอเคเมื่อเขาไปปิ๊งปั๊งสาวหมวย(หน้าแก่)แถวบ้าน แต่พอโดนก๊วนเด็กโข่งจิ๊กโก๋เจ้าถิ่นมากลั่นแกล้งหนักๆ เข้า พระเอกน้อยเราก็ชักเริ่มไม่โอเคซะแล้วสิ ดีนะที่ช่างซ่อมประจำอพาร์ทเม้นท์ที่เขาพักอยู่เป็น เฉินหลง เอ๊ยเป็นกังฟู งานนี้ก็เลยทำให้เขาได้มีโอกาสฝึกกังฟู ที่นอกจากจะได้ทำให้สาวประทับใจแล้ว ยังได้เรียกศักดิ์ศรีคืนให้แก่ตนเอง และได้เรียนรู้ปรัชญาที่ว่า 'ทุกสิ่งทุกอย่างคือกังฟู' อีกด้วย โอ้ว ยิงทีเดียวได้นกสามตัวเลยนะเนี่ย


ตัวเท่านี้ริอ่านเดทกับสาวซะแล้วพ่อคุ๊ณณ
Harald Zwart (Agent Cody Banks [2003]) เขาถนัดทำหนังสำหรับวัยรุ่นตอนต้นอยู่แล้ว งานนี้ก็เลยมาแบบสบายๆ ยิ่งมีต้นฉบับให้เป็นแนวทางแบบลางๆ ให้ด้วย ก็เลยไปได้เรื่อยๆ ของแกล่ะ แต่ดูเหมือนหนังความยาว 140 นาทีมันจะยาวไปสักหน่อยนะ นี่ถ้ากระชับพื้นที่หนังให้สั้นกว่านี้สักหน่อยจะแหล่มมากเลย ยังดีหน่อยที่หนูน้อย Smith ที่เป็นศูนย์กลางของเรื่อง เล่นได้อย่างมีเสน่ห์ ถอดแบบพ่อมาเป๊ะๆ ทั้งฉากที่ต้องทำตลก ฉากดราม่าน้ำตาไหลพราก ฉากบู๊เตะยอดหน้า น้องเขาสอบผ่านเลยล่ะ ในขณะที่คุณลุง เฉินหลง ในบททั่นอาจารย์ ฮาน ก็มาแบบ แปะแก่ๆ นิ่งๆ ไม่ค่อยมีโอกาสได้เอาฮากับเขาหรอก แต่ออกแนวตลกหน้าตายซะมากกว่าจะตลกท่าทางในแบบของเขาที่เราคุ้นเคยกันดี

ถ้าอยากเก่งกังฟูไวๆ ก็ต้องไปฝึกกันบนกำแพงเมืองจีนโลด
ถึงหนังจะมาพร้อมกับสูตรสำเร็จที่ขนาดว่ายังไม่ได้ดูก็เดาเรื่องได้แล้ว เรื่องราวก็ธรรมดาไปหน่อย และช่วงท้ายของหนังก็ไม่สามารถพาอารมณ์ขึ้นไปสูงสุดเท่ากับเวอร์ชั่นเก่า แต่ก็ถือว่ายังดูได้เพลินๆ ได้อยู่ วิวประเทศจีนก็สวยดี มีแง่คิดปรัชญาอันล้ำลึกประมาณ 'หากล้มลงก็จงลุกขึ้นมาใหม่จนกว่าจะเป็นราชสีห์'(เฮ้ย ผิดเรื่องแล้ว!)แถมมาให้ด้วย เด็กๆ ในวัยประถมถึง ม.ต้น น่าจะชอบกัน(และคงจะมีหลายคนอยากจะเรียนกังฟูล่ะทีนี้) ส่วนผู้มีวัยวุฒิ(แก่)เยี่ยงเราๆ ท่านๆ ทั้งหลาย ถ้าไม่ยึดติดกับเวอร์ชั่นต้นฉบับ และไม่ตะขิดตะขวงใจกับชื่อเรื่องที่คนละเรื่องกับเนื้อหาเลย ถ้ามีโอกาสก็ดูเอาเถิดจ่ะ มันไม่ได้เลวร้ายอะไรนักหรอก อ่อ เห็นในอเมริกาทำเงินไปร้อยกว่าล้านแบบนี้แล้ว ดูท่าว่าคงจะมีภาคต่อออกมาให้ดูกันซะแล้วกระมังงานนี้ เหอๆ
  • น่าดูเพราะ: หนังเหมาะสำหรับเด็กประถมถึง ม.ต้น และใครอยากเห็นหนูน้อย Jaden Smith ในบทพระเอกเต็มตัวก็เชิญเลยจ้า
  • ไม่น่าดูเพราะ: เต็มไปด้วยสูตรสำเร็จอันซ้ำซาก หนังยาวไปหน่อย แฟนๆ เวอร์ชั่นต้นฉบับมาดูแล้วอาจมีเซ็ง




*ช่วงย้อนรอยหนังต้นฉบับ*

อาจารย์กับศิษย์ขณะหัดเซิ้ง
ใครที่เกิดทันยุค 80 จะรู้จักเรื่องนี้กันเป็นอย่างดี เพราะฮิตซะถึงขนาดที่ว่าทำให้วัยรุ่นแห่กันไปเรียนคาราเต้ และสาวๆ ก็จะหาซื้อรูปของพระเอก Ralph Macchio มาแปะฝาบ้านกันให้ควั่ก กับผลงานของ ผกก.John G. Avildsen อันว่าด้วยเรื่องของหนุ่ม Daniel LaRusso (Macchio) ที่ย้ายตามแม่จาก นิวเจอร์ซี่ มายัง แอลเอ ซึ่งพอย้ายเข้าโรงเรียนเขาก็ไปปิ๊งสาวฮอตประจำโรงเรียนเข้า ก็เลยไปเข้าตาจิ๊กโก๋ประจำโรงเรียน ซึ่งเป็นคาราเต้กันซะด้วย งานนี้พระเอกเราเลยอ่วม ว่าแล้วทั่นอาจารย์ มิยากิ (Pat Morita) ที่เป็นคนดูแลอพาร์ทเม้นท์เลยต้องยื่นมือเข้ามาช่วย โดยสอนคาราเต้ให้พระเอกไปทวงศักดิ์ศรี(ทวงสาว?)คืนมาจนได้


เทรลเลอร์หนังภาคแรก(เชยดีจัง)
หนังภาคแรกทำเงินไปกว่า 90 ล้านเหรียญ ซึ่งก็ถือว่าทำเงินถล่มในสมัยนั้น จนต้องเข็นภาคสองออกมาอีกในปี 1986 ซึ่งก็ฮิตระเบิดทำเงินได้เยอะกว่าภาคแรกซะอีก (115 ล้านในอเมริกาและ 245 ล้านทั่วโลก) แต่พอภาคสามที่ออกฉายปี 1989 กลับล้มเหลวโดยสิ้นเชิง (38 ล้านในอเมริกา) เล่นเอาพระเอก Ralph Macchio ไปต่อไม่เป็นเลย (แล้วเขาก็ค่อยๆ หายไปในที่สุด)


หนังอุตส่าห์แถสร้างกันต่อออกมาอีกสามภาคแน่ะ
แต่ดูเหมือนผู้สร้างจะยังไม่เข็ด โดยเข็นภาค 4 ออกมาในปี 1994 โดยคราวนี้เปลี่ยนตัวเอกเป็นผู้หญิงบ้าง (รับบทโดยเจ๊ Hilary Swank สมัยยังเอ๊าะ) ซึ่งผลที่ออกมาก็คือเจ๊งระเบิดระเบ้อไปในที่สุด จนถือว่าเป็นการตอกตะปูปิดฝาโลงแฟรนไชส์คาราเต้คิด กระทั่งวันดีคืนดีจู่ๆ ก็มีการสร้างเวอร์ชั่นรีเมคนี้ขึ้นมาตามกระแสนิยมรีเมคหนังยุค 80 ของฮอลลีวู้ดช่วงนี้ ซึ่งก็ทำเงินไปตามฟอร์ม เราก็ต้องคอยดูกันต่อไปว่าแฟรนไชส์คาราเต้คิดเวอร์ชั่น 2.0 จะอยู่ยงคงกระพันไปได้ถึงขนาดไหนกันล่ะจ้า


ที่มาของการสร้าง Karate Kid ฉบับปี 2010
และเราก็มีเพลงจากหนังมาฝากกันเช่นเดิม โดยเรื่องนี้มีเพลงคุ้นหูวัยจ๊าบบรรจุอยู่มากกมาย แต่เราขอเลือกเอามาฝากสักสองเพลงก็แล้วกัน ซึ่งก็คือเพลงของ John Mayer ที่เปิดในช่วงเดินทางไปจีนในช่วงต้นเรื่องและเพลงโปรโมทของหนังโดย Justin Bieber (ที่ได้ Jaden Smith มาร่วมแจมด้วย)ที่อยู่ในช่วงเอนด์เครดิต ว่าแล้วก็ไปฟังกันเลยจ้า

MP3: John Mayer - Say

MP3: Justin Bieber - Never Say Never (feat. Jaden Smith)


*ของแถม*
ใครที่นึกสงสัยว่าพระเอกเวอร์ชั่นต้นฉบับอย่าง Ralph Macchio (ปัจจุบันอายุ 48 ขวบ) จะเป็นยังไงบ้างในตอนนี้ และเขามีความเห็นอย่างไรกับการรีเมคหนังที่เคยส่งให้เขาโด่งดังเมื่อช่วงกลางยุค 80 ขึ้นมา เราก็มีหนังสั้นขำๆ ที่เกี่ยวกับการที่เขาพยายามออกมาวาดลวดลายทุกอย่างเพื่อจะกลับมาดังอีกครั้ง มาให้ดูให้หายคิดถึงกันจ้า



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น