วันเสาร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

I am Number Four (2011): หนีเรียนไปกู้โลก

I am Number Four (2011) :
หนังวัยรุ่นพลังเอเลี่ยนเอาใจวัยทีนที่สร้างจากนิยายขายดีของ Pittacus Lore (นามแฝงของ James Frey และ Jobie Hughes ที่ประสานพลังกันแต่ง) เรื่องนี้ ถูกตั้งความหวังไว้ว่าจะเปิดแฟรนไชส์ใหม่ที่มีกลุ่มเป้าหมายเป็นบรรดาวัยทีนที่เคยปลื้ม Twilight โดยถ้าเกิดฮิตติดลมบนขึ้นมาล่ะก็คงจะมีภาคต่อออกมาให้ดูกันยาวเลยทีเดียวล่ะงานนี้


งานนี้พระเอกเราไม่ต้องเสียเงินซื้อไฟฉายเลย
ภาคแรกนี้ว่ากันด้วยเรื่องราวของ John Smith (รับบทโดย Alex Pettyfer ที่ไม่เห็นกันแป๊บเดียวก็กลายเป็นหนุ่มล่ำเต็มตัวซะแล้ว) หนึ่งในเอเลี่ยนเก้าตัวสุดท้ายของดาวดวงหนึ่งที่หลบหนีการตามฆ่าล้างโคตรของศัตรูจอมโหดมากบดานยังโลกมนุษย์ โดยนอกจากเขาจะต้องเรียนรู้การใช้ชีวิตในฐานะวัยทีนริจะมีกิ๊กแล้วยังต้องคอยรับมือกับภยันตรายจากแก๊งเอเลี่ยนหัวโล้นที่กำลังตามล่าเขาเข้ามาใกล้ทุกทีแล้วด้วย


หนังเต็มไปด้วยคนหน้าตาดี (ไม่ดีไม่ให้แสดง)
D.J. Caruso (Eagle Eye [2008]) ที่หายหน้าไปซะหลายปีกลับมาอีกครั้งด้วยหนังที่มีตัวละครนำเป็นวัยทีน ม.ปลาย หลังจากที่เขาเคยทำไว้ได้ดีมาแล้วใน Disturbia (2007) ซึ่งในเรื่องนี้ก็เน้นไปที่เรื่องราวของวัยรุ่นแปลกถิ่น (ในที่นี้คือการเป็นมนุษย์ต่างดาว) ผู้พยายามปรับตัวให้เข้ากับสังคม และริจะมีความรัก แทรกด้วยเรื่องราวแอ็คชั่นตื่นเต้นเข้ามาเป็นระยะๆ และปิดท้ายด้วยฉากจบที่เต็มไปด้วยความหวังเพื่อบิ้วท์อารมณ์ไว้สำหรับภาคต่อ (ถ้ามีนะ)


สาวคนซ้ายมาเพื่อขโมยซีนโดยเฉพาะ
หนังเดินเรื่องตามฟอร์มและขนบของหนังแนวนี้ไปแบบเรื่อยๆ ซึ่งถึงแม้จะดูกันได้เพลินๆ แต่ก็ไม่ได้แปลกแตกต่างจากเรื่องอื่นๆ ที่ตรงไหน (หรือที่เรียกว่าซ้ำซากนั่นเอง) แต่ก็ยังดีที่หนังได้บรรดานักแสดงวัยทีนหน้าตาดีและมีเสน่ห์มาดึงคนดูให้เอาใจช่วยได้ เรื่องราวเงื่อนงำในหนังที่พอจะสามารถสร้างความหวังว่าคงจะมีอะไรแจ่มๆ มาโชว์ในอนาคตข้างหน้า แถมด้วยงานด้านสเปเชี่ยลเอฟเฟกต์และคิวบู๊ที่แจ่มดูดีเกินคาดทีเดียว ผลลัพธ์สุดท้ายของหนังจึงถือว่าสอบผ่านไปได้ในที่สุด


พระเอกมีวิทยายุทธฝ่ามือหยุดตำหนวด
นี่จึงเป็นหนังอีกเรื่องที่ถึงจะถูกก่นด่าจากคนที่คาดว่าจะเห็นอะไรแปลกใหม่หรืออะไรที่เด็ดขาดกว่านี้ แต่ในขณะเดียวกันหนังก็ยังสามารถตอบสนองผู้ชมที่คาดหวังความบันเทิงที่ไม่ต้องปวดหมองอะไรมากมาย ซึ่งทั้งสองฝ่ายก็คงไม่มีใครผิดใครถูกหรอกขอรับพ่อแม่พี่น้อง มันเป็นเรื่องของรสนิยมและแนวคิดของแต่ละคน ทว่าสำหรับเราแล้ว คงต้องบอกว่าหนังสนุกกว่าหนังที่มีเนื้อหาใกล้ๆ กันอย่าง Push (2009) และขอชมว่าน้องหมาในเรื่องเขาแสดงดีจริงๆ อยากดูภาคต่อเร็วๆ จังวุ้ย อิอิ
  • + หนังทำออกมาได้ดูเพลินๆ ดีแท้ คิวบู๊แจ่ม เอฟเฟกต์ดี แถมมีแต่หนุ่มๆ สาวๆ หน้าตาดีอีกต่างหาก
  • - ยังค่อนข้างเดินตามสูตรที่ซ้ำซากไปบ้าง กว่าจะมันส์กันก็ปลายเรื่องซะแล้ว






*รีวิวหนังของ ผกก.D.J. Caruso และหนังเรื่องอื่นๆที่เกี่ยวข้องเรื่องอื่นๆ ภายในบล็อก*



*ช่วงเพลงในหนัง*

Kings of Leon
เป็นหนังเอาใจวัยทีนเช่นนี้จึงจำเป็นต้องมีแต่เพลงโดนๆ ของศิลปินดังๆ ที่กำลังเป็นที่นิยมทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็น Radioactive ของ Kings of Leon ที่ใช้ในฉากเปิดตัวพระเอก หรือแทร็กที่โชว์พลังเสียงของสาว Adele ในฉากเปิดตัวสาวนัมเบอร์ 6 แต่เพลงช้าๆ โดนๆ ก็ยังมีมาให้ฟังอย่างเช่น Shelter ของวงอินดี้สุดแนว The xx ว่าแล้วเราก็มาฟังกันเลยจ้า




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น