วันพุธที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2553

Get Him to the Greek (2010): เพื่อนผมเป็นร็อคสตาร์(จอมป่วน)

Get Him to the Greek (2010):
ดูเหมือนว่ายอดชายนาย Russell Brand จะสวมบทร็อคสตาร์สุดมั่นใน Forgetting Sarah Marshall (2008) ได้อย่างโดดเด้ง จนเล่นเอาบรรดาคอหนังพากันติดใจ ทาง ผกก.Nicholas Stoller เลยปิ๊งไอเดียกระฉูดสร้างหนังสปินออฟให้เขาและตัวละครสุดแนวตัวนี้ขึ้นมาเป็นตัวนำบ้างซะเลย โดยได้นักแสดงหนุ่มตุ้ยมาแรงอย่าง Jonah Hill (Superbad [2007]) มาเป็นลูกคู่ ซึ่งพอหนังออกฉายก็ประสบความสำเร็จทั้งด้านรายได้และคำวิจารณ์พอสมควรเลยทีเดียว


คู่หูคู่ฮาประจำเรื่อง
จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อ Aaron Green (Hill) แมวมองร่างตุ้ยของบริษัทแผ่นเสียงจาก แอลเอ ต้องถูกส่งไปลอนดอนเพื่อรับตัว Aldous Snow (Brand) ร็อคสตาร์ชื่อดังจากเกาะอังกฤษแห่งวง Infant Sorrow ให้มาเล่นคอนเสิรต์ใหญ่ที่แอลเอ ซึ่งทางต้นสังกัดหวังว่าคอนเสริต์ครั้งนี้จะกอบกู้สภาวะฝืดเคืองของทางบริษัทแผ่นเสียงได้ ส่วน Green เองก็หวังว่ามันจะสามารถปลุกชีพ Snow ที่เขาชื่นชอบให้กลับมาฮ็อตฮิตอีกครั้งได้ด้วย แต่แน่นอนว่าอะไรมันคงไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดเมื่อ Snow พาเขาให้เข้าสู่โลกของ Sex, Drug & Rock n' Roll เลยได้ปาร์ตี้จนเมาปลิ้นหัวทิ่มหัวตำ อ้วกกระฉูด แถมยังลากเขาแวะไปผจญภัยที่โน่นที่นี่ซะจนงานนี้คงต้องลุ้นกันแฮ่กซะแล้ว ว่าทั้งคู่จะกลับไปทันเล่นคอนเสิร์ตครั้งสำคัญนี้ได้หรือไม่หนอ?


ใครๆ ก็ต้องกรี๊ดแต๋วแตกเมื่อเจอร็อคสตาร์สุดเท่ขวัญใจของพวกเขา
หนังเริ่มต้นมาได้อย่างน่าสนใจด้วยการทำเป็นภาพข่าวจากรายการทีวีต่างๆ ถึงความล้มเหลวของอัลบั้มล่าสุดของ Snow ที่เพิ่งออกมา (แถมเขายังโดนเมียที่อยู่กินกันมาหลายปีทิ้งไปคบกับมือกลองวง Metallica อีกต่างหาก) หนังใช้ประโยชน์จากการเชิญบรรดาคนบันเทิงดังๆ ทั้งนักร้อง นักแสดง นักข่าว ให้โผล่มาร่วมแจมกันคนละนิดละหน่อย ซึ่งก็ช่วยสร้างสีสันให้กับหนังขึ้นมาเยอะทีเดียว ในขณะที่นักแสดงนำทั้งคู่ก็เล่นเข้าขากันได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะนาย Brand ที่ยังวาดลวดลายได้ใจเช่นเดิม เมื่อรวมทั้งอารมณ์ขันกวนๆ แบบติดเรทเข้าไปอีก เลยเป็นหนังตลกที่ใช้ได้เลยทีเดียวเชียว


นักแสดงและคนดังคุ้นหน้าโผล่กันมาเพียบ
แต่น่าเสียดายที่หนังยิ่งฉายไปก็ดูเหมือนยิ่งหมดเรื่องจะเล่าขึ้นทุกที การผจญภัยของทั้งคู่ก็หนักไปทางปาร์ตี้เมาหัวทิ่มซะมากกว่าอย่างอื่น(โดยเฉพาะการที่พากันไปเมาที่ลาสเวกัสก็ชวนให้นึกถึง The Hangover (2009)ชอบกล) และการที่มีแต่มุกเกี่ยวกับอ้วกแตก, การเมาเหล้ายา, ทวารหนัก, การมีเซ็กซ์หมู่แบบเราสองสามคน มันก็ดูไม่ค่อยตลกนักหรอกสำหรับหลายๆ คน(แต่ก็แล้วแต่รสนิยมของแต่ละคนด้วยเนอะ) นี่ถ้าไม่ได้ตัวละครนำที่มีเสน่ห์ และการได้เห็นคนดังๆ มาร่วมแจมเยอะๆ แบบนี้ด้วยล่ะก็ หนังคงจะฝืดขึ้นเยอะทีเดียวเชียว


ตาเหลือกกันเชียวนะหนุ่มๆ
ถึงจะเป็นหนังตลกมุกห่ามติดเรท แต่ก็ยังอุตส่าห์มีข้อคิดสาระให้อีกด้วย เช่นที่ว่าถึงเราจะมีชื่อเสียง เงินทอง ลาภยศสรรเสริญ ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องมีความสุขในชีวิตเสมอไป ดังเช่นตัวของ Snow เองที่ไม่ขาดสิ่งที่เอ่ยมาข้างต้นเลย แถมไปไหนก็มีแต่คนนิยมชมชอบ(โดยเฉพาะสาวๆ) แต่ที่สุดแล้วเขากลับรู้สึกโดดเดี่ยว ว่างเปล่า ไร้สันติสุข ซึ่งก็นะถึงจะบอกว่านี่เป็นแค่ในหนังแต่ก็ต้องยอมรับว่าในชีวิตจริงๆ แล้ว เราก็มักจะได้ยินข่าวเกี่ยวกับเหล่าคนดังที่เซ็งชีวิตจนฆ่าตัวตายกันอยู่บ่อยๆ มิใช่เหรอ?
  • น่าดูเพราะ: ใครที่ติดใจร็อคเกอร์สุดเซอร์คนนี้จาก Forgetting Sarah Marshall คงจะถูกใจกัน แถมหนังมีคนดังโผล่มารับเชิญกันเพียบ ดูเพลินดีจริง
  • ไม่น่าดูเพราะ: เต็มไปด้วยมุกประเภท อ้วก เมา เซ็กซ์(เสื่อม) ซึ่งอันนี้มันไม่ขำสำหรับหลายคนนะ




*ช่วงเพลงในหนัง*

ปกอัลบั้มซาวน์แทร็คของหนัง
ในเมื่อเป็นหนังที่เกี่ยวกับศิลปินร็อคเช่นนี้ ก็ต้องมีเพลงร็อคมาให้ฟังกันเพียบแน่ โดยเฉพาะบรรดาเพลงร็อคคลาสสิคๆ จากเกาะอังกฤษทั้งหลาย แต่เพราะพระเอกเราเป็นร็อคสตาร์แห่งวง Infant Sorrow จะให้เอาเพลงคนอื่นมาร้องก็ยังไงๆ อยู่ ว่าแล้วผู้สร้างก็เลยทำเก๋ขึ้นไปอีกขั้นด้วยการแต่งเพลงเป็นอัลบั้มขึ้นมาเพื่อใช้ในหนังโดยเฉพาะเลย(หนุ่ม Brand ร้องเองเลยด้วยนะ) ซึ่งหนึ่งในคนที่ร่วมแต่งก็เป็นป๋า Jarvis Cocker แห่งวง Pulp เชียวนะ ที่พอฟังแล้วก็พบว่าแต่งเพลงได้ฟังเพลินและเพราะเข้าท่าดีซะด้วย จนถ้าตัดเนื้อร้องขำๆ เหวอๆ ออกไปนี่ก็ฮิตได้ไม่ยากเลยล่ะ ว่าแล้วเราก็เลือกเอาบางเพลงจากอัลบั้มมาฝากกันตามฟอร์มจ้า


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น