The King's Speech (2010) :
นี่เป็นหนังคุณภาพจากอังกฤษที่มาแรงแซงทางโค้งมากที่สุดเรื่องหนึ่งของปีที่แล้ว เพราะใครๆ ที่ได้ดูก็ต่างซูฮกถึงความดีงามของหนัง จนหนังตระเวนกวาดรางวัลมาแล้วจากแทบทุกจะเวที และถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสก้าร์มากถึง 12 สาขา รวมทั้งสาขานำชายที่เฮีย Colin Firth (Bridget Jones's Diary [2001]) เป็นตัวเก็งแบบไม่ต้องเกร็งชนิดที่แทบจะนอนกางมุ้งรอรับรางวัลมาแต่ไกลเชียว
นี่เป็นหนังคุณภาพจากอังกฤษที่มาแรงแซงทางโค้งมากที่สุดเรื่องหนึ่งของปีที่แล้ว เพราะใครๆ ที่ได้ดูก็ต่างซูฮกถึงความดีงามของหนัง จนหนังตระเวนกวาดรางวัลมาแล้วจากแทบทุกจะเวที และถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสก้าร์มากถึง 12 สาขา รวมทั้งสาขานำชายที่เฮีย Colin Firth (Bridget Jones's Diary [2001]) เป็นตัวเก็งแบบไม่ต้องเกร็งชนิดที่แทบจะนอนกางมุ้งรอรับรางวัลมาแต่ไกลเชียว
เฮียเขาขอจองออสก้าร์มาแต่ไกล
หนังพาย้อนไปอังกฤษตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ.1925 เพื่อพบกับเรื่องราวของเจ้าชาย Albert (Firth) ซึ่งมีปัญหาในการพูดไม่ค่อยออกบอกไม่ค่อยถูกมาตั้งแต่ยังเยาว์วัย โดยเฉพาะเมื่อต้องพูดต่อหน้าธารกำนัลอาการจะยิ่งกำเริบหนัก ดังนั้นฝ่ายพระชายา (Helena Bonham Carter) จึงได้ดอดไปพบนักแก้ไขการพูดที่เป็นชาวบ้านธรรมดาๆ นาม Lionel Logue (Geoffrey Rush) เพื่อให้มาช่วยบำบัดพระสวามีซึ่งจะต้องขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์ George ที่หก จนเกิดเป็นเรื่องราวมิตรภาพอันสุดแสนประทับใจระหว่างสามัญชนคนเดินดินกับพระมหากษัตริย์แห่งสหราชอาณาจักรเอยอิตาคนซ้ายก็เล่นได้ดีมิใช่หยอก
ดูเหมือน ผกก.Tom Hooper จะชื่นชอบในการสร้างหนังประวัติคนดังซะจริงๆ (คราวก่อนก็ The Damned United [2009] หนังที่เกี่ยวกับ Brian Clough โค้ชฟุตบอลในตำนานไงล่ะ) ซึ่งมาคราวนี้กับเรื่องราวในรั้วในวังของราชวงศ์(อังกฤษ)ที่ ใครๆ ก็ใคร่รู้ใคร่เห็น(จริงมั้ย เหอๆ) ถึงกระนั้นหนังโดยรวมก็ไม่ได้ออกมาซีเรียสอะไรหนักหนา หากแต่เป็นหนังที่มาในอารมณ์สบายๆ แบบที่สามารถดูไปยิ้มไปได้เกือบตลอดเรื่อง(ทว่าหนังก็ไม่ได้ออกแนวตลกโปกฮาหรอกนะ) แถมยังให้ข้อคิด ความรู้ทางประวัติศาสตร์ ความบันเทิง และความประทับใจอีกต่างหาก
พระราชาก็ร้องไห้จิตตกเป็นนะ
และที่โดดเด่นที่สุดคงจะไม่พ้นเหล่านักแสดง ไม่ว่าจะเฮีย Firth ที่ยอดเยี่ยมและทรงพลังสุดๆ ในทุกลีลา ชนิดที่ว่าดูไปก็ต้องคอยนึกแต่ว่า "โอ๊ย!! ให้ๆ แกไปเห๊อะ ออสก้าร์น่ะ" เพราะว่าเฮียเขาคู่ควรจริงๆ ทางด้านลุง Rush แกก็ใช่ย่อยซะจนถึงเราจะรักจะเชียร์เฮีย Christian Bale จาก The Fighter มากแค่ไหน ก็ยังต้องแอบปันใจให้ลุงเขาเลย ส่วนเจ๊ Carter ก็พลิกบทบาทมารับบทที่ดูเป็นผู้เป็นคนปกติมากที่สุดในหนังระยะหลังๆ ของเจ๊ได้อย่างน่าชื่นชมเช่นกัน แต่คงยังไม่ถึงกับโดดเด้งพอที่จะซิวออสก้าร์ประกอบหญิงมาครองได้หรอกนะ ส่วนงานด้านอื่นๆ ก็ล้วนยอดเยี่ยมดูดีมีชาติตระกูลทั้งหมดเชียวเจ๊แกได้บทที่ปกติสุขที่สุดในรอบสิบปีแล้วมั้ง
เชื่อว่าถ้าหากหนังเรื่องนี้ได้รางวัลออสก้าร์หนังยอดเยี่ยมไปครองก็คงจะไม่มีใครต่อว่าแต่อย่างใด แถมยังจะมีแต่คนอนุโมทนาสาธุที่ผลออกมาเป็นแบบนั้นอีกต่างหาก เพราะนี่เป็นหนังที่ดีจริงๆ ซึ่งนอกจากจะแสดงให้เห็นถึงหัวอกคนเป็นพระราชาที่ใช่ว่าจะต้องเพอร์เฟ็กต์ดีพร้อมเสมอไปแล้ว ยังได้เห็นถึงมุมมองที่เกี่ยวกับมิตรภาพระหว่างสามัญชนกับกษัตริย์ เช่นในฉากหนึ่งที่พระราชาและพระราชินีแห่งอังกฤษมาเยี่ยมเยียนลุง Rush ถึงบ้าน(อันแสนซอมซ่อ)เป็นการส่วนพระองค์ ว้าว! แค่นี้ก็น่าทึ่งแล้วนะ โดยเฉพาะถ้าหากสิ่งที่เราเห็นในหนังนั้นเป็นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นจริงๆ ล่ะก็ ปล.ที่หนังได้เรท R เพราะมีฉากที่พระราชาท่านแจกฟักอยู่หลายคำ เหอๆ (แค่นั้นอ่ะ?)
- จุดเด่น: เป็นหนังโคตรดี สาระความบันเทิงครบครัน การแสดงก็โดดเด่นมากๆ เยี่ยมจริงๆ เลยขอบอก
- จุดด้อย: หน้าหนังชวนให้เข้าใจว่าเป็นหนังที่ดูยาก ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วไม่ใช่เลย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น