วันจันทร์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2554

Vanishing on 7th Street (2010): เงามัจจุราชเขมือบโลก


Vanishing on 7th Street (2010) :
ผกก.Brad Anderson ป็นที่รู้จักจากคอหนังส่วนใหญ่ด้วยผลงานสุดหลอนอย่าง The Machinist (2004) แต่ดูเหมือนว่าหลังจากนั้นเขาจะยังไม่มีผลงานที่โดดเด่นเข้าตาคอหนังอีกเลย จนระยะหลังๆ เขาต้องไปปักหลักกำกับบรรดาหนังซีรี่ส์แทน(รวมถึงซีรี่ส์ฮิตอย่า Fringe ด้วย) สลับกับการทำหนังออกมาบ้าง ซึ่งหนังลึกลับระทึกขวัญเรื่องนี้ก็คือผลงานล่าสุดของเขาเองจ้า


ไฟฉายคือสิ่งจำเป็นในหนังเรื่องนี้
ส่วนพล็อตเรื่องก็มีอยู่ว่า จู่ๆ ในค่ำคืนวันหนึ่งก็เกิดไฟฟ้าดับไปทั้งเมือง(หรืออาจจะทั้งโลก?!) ซึ่งต่อมาก็ปรากฏว่าผู้คนล้วนหายตัวกันไปหมด เหลือแต่เพียงเสื้อผ้าที่พวกเขาใส่กองอยู่กับพื้นเท่านั้น แต่ก็ยังมีบางคนที่ไม่ได้หายตัวไป ซึ่งก็คือคนที่เผอิญจุดไฟแช็คหรือเปิดไฟฉายหรือไม่ได้โดนความมืดปกคลุมตัวในช่วงเวลาเกิดเหตุพอดี และพระเอก Hayden Christensen (Jumper [2008]) ก็คือหนึ่งในคนเหล่านั้น ซึ่งเขาและคนอื่นๆ ที่รอดมาได้อีกหยิบมือก็ต้องพยายามหาทางเอาตัวรอดจากหายนะสุดสยองปนลึกลับครั้งนี้ไปให้ได้เอย

หนังเมืองร้างมาอีกเรื่องแล้วจ้า
นับว่าหนังมีไอเดียที่น่าสนใจทีเดียว เพราะดูเหมือนจะได้แนวคิดมาจากเหตุการณ์ 'The Lost Colony'ที่เกิดขึ้นที่อเมริกาเมื่อกว่าสี่ร้อยปีที่แล้ว มาทำเป็นหนังในเหตุการณ์ยุคปัจจุบันได้อย่างน่าดู พร้อมด้วยดาราที่แม้จะมาน้อยแต่ก็ล้วนแต่คุ้นหน้าคุ้นตาคอหนังกันเป็นอย่างดี หนังเริ่มต้นก็กระโจนเข้าสู่เหตุการณ์ตื่นเต้นแทบจะทันทีโดยไม่ต้องต้องปูเรื่องให้มากความ แล้วค่อยย้อนไปเล่าเรื่องของแต่ละคนสลับกันไปในทีหลัง ส่วนด้านความตื่นเต้นก็พอลุ้นได้อยู่โดยเฉพาะบรรดาผู้ที่กลัวความมืดทั้งหลายที่น่าจะอินไปกับหนังเป็นพิเศษ ส่วนด้านเอฟเฟกต์ก็ไม่เรียกร้องอะไรมากอยู่แล้ว เพราะตัวร้ายในหนังเรื่องนี้มาในรูปของเงามืดแค่นั้นเอง


เรื่องนี้พระเอกเราไม่มีพลังพิเศษอะไรเสียด้วยล่ะสิ
และก็เหมือนกับหนังแนวนี้ส่วนใหญ่ที่ไม่ได้อธิบายถึงต้นตอหรือสาเหตุของสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้กระจ่างชัด(ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่ปัญหาถ้าทำหนังออกมาดี) ทว่าถึงจะมีไอเดียที่น่าสนใจแต่หนังยังเล่าเรื่องได้ไม่น่าติดตามนัก ส่วนบรรดาตัวละครหลักก็ไม่สามารถได้ใจคนดูให้คอยลุ้นคอยเชียร์พวกเขาไปตลอดรอดฝั่งซะนี่ และไม่มีอะไรเด็ดๆ ที่จะทำให้หนังโดดเด่นกว่าเรื่องอื่นๆ ยิ่งในทุกวันนี้ที่เรามีหนังแนว'คนร้างเมืองเกลี้ยง' ออกมาให้ดูกันบ่อยๆ ด้วยแล้ว หนังก็เลยได้แค่ระดับ'เกือบจะดีแล้ว'ในท้ายที่สุดไปอย่างน่าเสียดายจ้า
  • จุดเด่น: เป็นหนังตื่นเต้นลึกลับที่มีไอเดียน่าสนใจ นักแสดงมีเกรด ดูลุ้นได้ดีพอสมควรเลย
  • จุดด้อย: หนังเล่าเรื่องได้ไม่ค่อยน่าติดตามไปอย่างน่าเสียดาย และไม่มีอะไรเด็ดๆ ที่จะทำให้คนดูต้องฮือฮาเสียด้วยสิ





*ช่วงอันเนื่องมาจากหนัง*

ภาพการค้นพบคำว่า"Croatoan"
อย่างที่เอ่ยไปข้างต้นว่าหนังน่าจะได้แรงบันดาลใจจากเหตุการณ์ 'The Lost Colony'ที่เกิดขึ้นที่อเมริกาเมื่อกว่าสี่ร้อยปีที่แล้ว เพราะมีการนำมาเอ่ยถึงในหนังด้วยอย่างชัดเจน เราจึงขอนำข้อมูลย่อๆ ของเหตุการณ์นี้มาฝากกันจ้า เผื่อจะได้มองเห็นภาพรวมมากขึ้น

ช่วงปลายศตวรรษที่ 16 ชาวอังกฤษพากันมาตั้งอาณานิคมที่อเมริกา ซึ่ง Sir Richard Grenville ก็ได้พาผู้คนไปตั้งอาณานิคม The Roanoke Colony บนเกาะ Roanoke (ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของรัฐ North Carolina) แต่ช่วงนั้นดันเกิดสงคราม Anglo-Spanish War ขึ้นพอดี จึงทำให้ชาวอาณานิคมต้องถูกตัดขาดการติดต่อจากแผ่นดินแม่ให้หาอยู่หากินกันตามมีตามเกิดเองซะ
หลายปี

จนกระทั่งในปี 1950 เมื่อเรืออังกฤษเข้าเทียบฝั่งก็ปรากฏว่า อาณานิคมแห่งนี้ก็รกร้างว่างเปล่าไปซะงั้น ผู้ชาย
90 คน ผู้หญิง 17 คนและเด็ก 11 คนหายไปอย่างไร้ร่องรอย โดยไม่มีร่องรอยของการต่อสู้ หรือเบาะแสใดๆ ทิ้งไว้ให้ นอกจากมีคำว่า"Croatoan" สลักไว้ที่ต้นไม้แถวนั้น จนเล่นเอาฝรั่งงงเป็นไก่ตาแตกไปตามๆ กัน หลังจากนั้นที่นี่ก็ถูกเรียกว่า "อาณานิคมที่สาบสูญ"มาจนทุกวันนี้

คนยุคหลังต่างก็ตั้งทฤษฏีต่างๆ นาๆ ขึ้นมาเพื่ออธิบายเหตุการณ์ครั้งนั้นไม่ว่าจะเป็น เพราะพวกนั้นย้ายไปอยู่ที่อื่นแล้วบ้าง, บ้างก็ว่าพวกสเปนมาทำลายอาณานิคมแล้ว, บ้างก็ว่าพวกเขาอดอยากจนกินกันเองหมดแล้ว, หรือพยายามเดินทางกลับอังกฤษแบบไปตายเอาดาบหน้า(และก็ตายหมดจริงๆ) ฯลฯ ซึ่งคำตอบที่แท้จริงนั้นคงมีแต่ชาวอาณานิคมเองและพระเจ้าเท่านั้นที่รู้ สำหรับเราๆ ท่านๆ ก็คงได้แต่งงและเดากันต่อไปนั่นแหล่ะจ้า

*คัดข้อมูลแบบมั่วๆ จาก wikipedia จ้า*



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น