สองปีก่อน ผกก.Danny Boyle โด่งดังระเบิดระเบ้อไปกับ Slumdog Millionaire ที่สามารถซิวแปดรางวัลออสก้าร์ไปครองได้สำเร็จ (รวมถึงสองรางวัลใหญ่อย่างภาพยนตร์ยอดเยี่ยมและผู้กำกับยอดเยี่ยมด้วย) มาคราวนี้น้าเขาขอพาท่านผู้ชมบินลัดฟ้าจากอินเดียแดนโรตีไปยังอเมริกาถิ่นแฮมเบอร์เกอร์กันบ้าง เพื่อพบกับหนังเรื่องเยี่ยมอีกเรื่องแห่งปีที่อาจจะทำให้น้ามีสิทธิ์ขึ้นไปลั้นลาบนเวทีออสก้าร์อีกครั้งก็เป็นได้
ขอผมแจ้งเกิดเสียทีเถ๊อะ
หนังสร้างจากเรื่องจริงของ Aron Ralston (รับบทโดย James Franco จากไตรภาค Spider-Man) หนุ่มนักปีนเขาชาวมะกันวัย 28 ขวบ ที่ดันไปประสบอุบัติเหตุโดนหินก้อนใหญ่ทับมือจนติดแหง่กอยู่ในหุบเขาแถบ ร็อบเบอร์ รูสท์ รัฐยูท่าห์ อเมริกา ซึ่งตรงนั้นก็ดันเป็นจุดที่ไม่ใคร่จะมีใครผ่านไปมาเสียด้วยสิ ดังนั้นเขาจึงต้องติดอยู่ตรงนั้นเป็นเวลานานกว่าห้าวัน (127 ชั่วโมงตามชื่อเรื่อง) ก่อนจะหาทางเอาชีวิตรอดมาจากตรงนั้นได้ในท้ายที่สุดในสภาพต่ายอรทัย มื้อใด๋สิคิดฮอด เอ๊ย! อ่วมอรทัยไปเลยทีเดียว แหม เห็นสาวๆ เป็นไม่ได้เชียวนะ พ่อคุ๊ณณ
หนังเริ่มต้นขึ้นมาก็คงจะได้ใจใครหลายคนแล้วล่ะ เพราะทั้งสไตล์ด้านภาพ ดนตรี การตัดต่อ ล้วนแจ่มแจ๋วในแบบที่เราคาดหวังได้จากหนังของน้าเขาเลย (เอาแค่ชื่อเรื่องก็มาขึ้นเอาในนาทีที่ 15 แล้ว เก๋ซะ!) ดังนั้นถึงหนังจะเสนอเรื่องของชายซึ่งต้องติดแหง่กอยู่กับที่เกือบตลอดทั้งเรื่อง แต่ก็ยังออกมาดูเพลิดเพลินเอามากๆ ไม่มีช่วงไหนที่น่าเบื่อเลย ส่วนช่วงไคลแมกซ์ก็ถึงอารมณ์สุดๆ จนเล่นเอาคนดูขวัญอ่อนต้องหวาดเสียวไปตามๆ กันแน่เชียว (ประมาณว่าต้องเอามือปิดตาแล้วมองลอดนิ้วเอา) ปานนั้นจักรยานล้มก็ยังถ่ายรูปเก็บไว้
หนังใช้นักแสดงอยู่ไม่กี่คน อันที่จริงยอดชายนาย Franco เขาก็แทบจะเล่นแบบวันแมนโชว์อยู่แล้ว ซึ่งเขาก็ทำหน้าที่ได้ดีเอามากๆ คือดูมีเสน่ห์แบบฝรั่งบ้านๆ น่ารักน่าเอาใจช่วย และเยี่ยมในฉากที่ต้องแสดงอารมณ์ช่วงที่สติเริ่มแตก จนงานนี้ต้องรับเครดิตไปแบบเต็มๆ และโดดเด่นมากพอที่อาจจะมีลุ้นออสก้าร์นำชายเลยทีเดียว ในขณะที่งานด้านดนตรีก็ยังได้บัง A. R. Rahman จาก Slumdog Millionaire ตามมาดูแลให้อีกครั้ง ซึ่งก็ยังออกมาน่าฟังเข้ากับหนังแบบไม่ให้เสียเชิงบังแต่ประการใดเปรียบเทียบหน้าตาตัวจริง (ขวา) กับตัวปลอมในหนัง
ในหนังนอกจากจะแสดงภาพการหาทางเอาตัวรอดของพระเอกแล้ว หนังยังตัดสลับกับภาพห้วงความคิดของพระเอกต่างๆ นาๆ ที่เขาได้ย้อนไปสำรวจชีวิตของตนเองแบบเต็มๆ ซึ่งนั่นก็ทำให้เขารู้สึกมีความหวังกำลังใจที่จะต่อสู้ดิ้นรนเพื่อกลับไปพบคนที่เขารักและคนที่รักเขาอีกครั้ง ดังนั้นจึงเป็นการดีที่เราจะสำรวจชีวิตของตนยามที่รู้สึกท้อแท้สิ้นหวังบ้าง แต่คงไม่ถึงขนาดต้องรอให้ไปติดแหง่กแบบในหนังก่อนแล้วค่อยมาสำรวจชีวิตตนเองหรอกเน้อ อิอิ
พ่อหนุ่ม Cillian Murphy เกือบได้มาเล่นเป็นพระเอกแล้ว
- จุดเด่น: ผกก.Boyle สร้างสรรค์ผลงานดีมีคุณภาพอีกแล้วครับทั่น หนังทั้งดูเพลิน ถึงอารมณ์ เพลงก็โดน วิวก็แจ่ม แหล่มมากๆ เลยจ้า
- จุดด้อย: หนังเล่นอยู่เกือบคนเดียว ในสถานที่เดียวแทบจะทั้งเรื่อง ได้ยินเท่านี้หลายคนก็คงเมินแล้วล่ะ
*ช่วงเพลงในหนัง*
Sigur Rós
คนที่ดูหนังของ ผกก.Boyle มาตลอดจะรู้ว่าเพลงประกอบก็เป็นอีกจุดเด่นจุดแข็งอีกอย่างในหนังของเขา เพราะนอกจากจะฟังเอาเพราะเอาแนวได้แล้ว ยังจะส่งเสริมอารมณ์ของหนังได้อย่างชะงัดยิ่งนัก ซึ่งคราวนี้ดูเหมือนว่า ผกก.Boyle เขาจะติดอกติดใจบัง A. R. Rahman จากเรื่องก่อน จนต้องชวนมาทำดนตรีประกอบให้เรื่องนี้อีก
ในขณะที่เพลงจากศิลปินหลากหลายแนว ก็ถูกนำมาใช้ในหนังอย่างโดดเด่นเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นเพลง 'Lovely Day' ของ Bill Withers ที่ให้อารมณ์เย้ยหยันแต่ก็ยังเพราะติดหู หรือเพลง 'Festival' ของวงสุดแนวจากไอซ์แลนด์อย่าง Sigur Rós ที่ถูกนำมาใช้ในช่วงไคลแม็กซ์อย่างถึงอารมณ์เป็นที่สุด จนทำให้หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ใช้ดนตรีประกอบได้อย่างโดดเด่นและทรงประสิทธิภาพที่สุดเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว
*รีวิวหนังของ ผกก.Danny Boyle เรื่องอื่นภายในบล็อก*
ในขณะที่เพลงจากศิลปินหลากหลายแนว ก็ถูกนำมาใช้ในหนังอย่างโดดเด่นเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นเพลง 'Lovely Day' ของ Bill Withers ที่ให้อารมณ์เย้ยหยันแต่ก็ยังเพราะติดหู หรือเพลง 'Festival' ของวงสุดแนวจากไอซ์แลนด์อย่าง Sigur Rós ที่ถูกนำมาใช้ในช่วงไคลแม็กซ์อย่างถึงอารมณ์เป็นที่สุด จนทำให้หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ใช้ดนตรีประกอบได้อย่างโดดเด่นและทรงประสิทธิภาพที่สุดเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว
*ท่านสามารถดาวน์โหลดอัลบั้มซาวน์แทรคชุดนี้ได้โดยการคลิกที่รูปปกอัลบั้ม*
*รีวิวหนังของ ผกก.Danny Boyle เรื่องอื่นภายในบล็อก*
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น