It's Kind of a Funny Story (2010):
Craig Gilner (Keir Gilchrist) หนุ่มวัย 16 ขวบมีอาการจิตตก หดหู่ มาได้สักระยะจากการกลัวว่าตนจะประสบความล้มเหลวในชีวิต(โห ตั้งแต่ตอนนี้เลยนะ?!) จนคิดจะฆ่าตัวตายโดยการโดดสะพานบรู้คลินซะให้รู้แล้วรู้รอด แต่ยังดีที่เขายังคิดถึงพ่อแม่และน้องสาวอยู่ จึงได้ล้มเลิกความตั้งใจนั้น แล้วเดินดุ่มเข้าไปที่ รพ.แถวบ้านเพื่อกะจะขอยามาระงับความเครียดซะหน่อย แต่คุณหมอกลับสั่งแอดมิท เพื่อขอสังเกตอาการของเขาเป็นเวลาห้าวัน ซึ่งพ่อแม่ของเขาก็ดันเห็นดีเห็นงามกับหมอซะด้วยสิ งานนี้พระเอกเราเลยจำต้องอยู่กินนอนรวมกับบรรดาผู้ป่วยคนอื่นๆ จนเกิดเรื่องราวสนุกๆ ขึ้นมากมายเลยเชียว
Craig Gilner (Keir Gilchrist) หนุ่มวัย 16 ขวบมีอาการจิตตก หดหู่ มาได้สักระยะจากการกลัวว่าตนจะประสบความล้มเหลวในชีวิต(โห ตั้งแต่ตอนนี้เลยนะ?!) จนคิดจะฆ่าตัวตายโดยการโดดสะพานบรู้คลินซะให้รู้แล้วรู้รอด แต่ยังดีที่เขายังคิดถึงพ่อแม่และน้องสาวอยู่ จึงได้ล้มเลิกความตั้งใจนั้น แล้วเดินดุ่มเข้าไปที่ รพ.แถวบ้านเพื่อกะจะขอยามาระงับความเครียดซะหน่อย แต่คุณหมอกลับสั่งแอดมิท เพื่อขอสังเกตอาการของเขาเป็นเวลาห้าวัน ซึ่งพ่อแม่ของเขาก็ดันเห็นดีเห็นงามกับหมอซะด้วยสิ งานนี้พระเอกเราเลยจำต้องอยู่กินนอนรวมกับบรรดาผู้ป่วยคนอื่นๆ จนเกิดเรื่องราวสนุกๆ ขึ้นมากมายเลยเชียว
กี่เรื่องๆ เฮียเขาก็มากับเคราทรงนี้
ผกก.แพ็คคู่ Anna Boden และ Ryan Fleck ที่เคยร่วมงานกันมาจาก Half Nelson (2006) ขอดัดแปลงนิยายชื่อเดียวกันของ Ned Vizzini ที่ตีพิมพ์ตั้งแต่ปี 2006 มาขึ้นจอเงิน โดยได้เฮียเคราเฟิ้มจอมขโมยซีน Zach Galifianakis (The Hangover [2009]) สาว Emma Roberts (Valentine's Day [2010]) มาเป็นตัวเรียกแขก และ Keir Gilchrist หนุ่มหน้าใสวัย 18 ขวบมารับบทพระเอกจิตตกประจำเรื่องนั่นเอง
นางเอกช่างน่ารักน่าหยิกเสียจริงๆ
หนังออกมาแนววัยรุ่นเรียนรู้ชีวิตในสังคมที่แตกต่าง(สุดๆ)ที่เจืออารมณ์ขันออกมาแบบพอดีๆ ไม่มากเกินไปจนถึงกับต้องหัวเราะอึแตกอึแตนหรือน้อยเกินไปจนหนังฝืดสนิทคนดูส่ายหน้า และถึงหนังจะเต็มไปด้วยเรื่องราวของบรรดาผู้ป่วยทางจิต(ในระดับที่ไม่รุนแรงมาก)ที่มีปัญหาชีวิตสุดชีช้ำ แต่หนังก็เล่าเรื่องออกมาได้อย่างคลี่คลาย สบายๆ เต็มไปด้วยข้อคิด ลีลาท่าทางค่อนข้างจะกิ๊บเก๋ แถมยังมีแต่นักแสดงและตัวละครที่มีเสน่ห์ได้ใจคนดูอีกด้วยต่างหากอิตาคนขวาหลบไปเล่นซีรี่ส์ Lost ซะหลายปีเชียว
ซึ่งคนที่เด่นที่สุดย่อมไม่พ้นเฮียเคราเฟิ้มเราที่ปกติแกก็ชอบมากับบทคนที่ออกจะรั่วๆ อยู่แล้ว มาในเรื่องนี้จึงถือเป็นการวางบทที่เหมาะสมกับแกเป็นอย่างยิ่ง ถึงแม้จะไม่มีอะไรที่แปลกแตกต่างจากที่เราเคยเห็นแกมากก็ตาม ส่วนอีกคนที่เป็นดั่งแสงประกายอันแสนสุกสกาวในหนังก็คือคุณน้อง Roberts ที่ถึงบทบาทจะไม่เด่นมากมายอะไร แต่ก็สามารถนำความสดใสเป็นธรรมชาติมาสู่บทบาทของเธอได้อย่างน่าหลงใหลทีเดียว และที่จะละเลยไม่ได้เลยคือดนตรีประกอบที่เลือกเพลงอินดี้แนวๆ มาใช้ได้อย่างบรรเจิด ลงตัวกับหนังมากมายทีเดียวเชียว
คู่พระนางของเรื่องกำลังสวีทกัน
ถึงโดยรวมแล้วหนังจะไม่มีอะไรเด็ดๆ ใหม่ๆ ที่แตกต่างจากหนังแนวนี้อื่นๆ มาฝาก แต่เท่าที่ออกมาก็ถือว่าทำออกมาได้ดูเพลิน ให้แง่คิดในระดับหนึ่งเลยแหล่ะ ซึ่งบทเรียนจากหนังอาจจะไม่ได้มีไว้สำหรับเด็กวัยรุ่นเท่านั้น แต่ยังรวมถึงบรรดาคนทุกเพศทุกวัยที่กำลังรู้สึกสับสน กดดัน หมดหวังในการสู้ชีวิตอีกด้วย เฮียเคราเฟิ้มเขาขอรับประกันคุณภาพเลยจ้า พี่น้องที่เคารพรักทุกท่าน - จุดเด่น: เป็นหนังดราม่าตลก เรียนรู้ชีวิต ที่ทำออกมาได้ดูเพลินดี ดารามีเสน่ห์ น่าดูทีเดียวจ้า
- จุดด้อย: ไม่ค่อยลงลึกไปในทางดราม่า จนหนังดูเบาบางทางอารมณ์ไปบ้าง และไม่มีอะไรใหม่ๆ เกินไปกว่าหนังแนวนี้ที่เคยมีมา
*ช่วงเพลงในหนัง*
David Bowie และวง Queen
หนังได้วงรวมพลคนอินดี้จากแคนาดาอย่าง Broken Social Scene มาทำเพลงประกอบให้ รวมทั้งยังมีเพลงอินดี้เด็ดๆ อีกหลายวงอย่างเช่น The xx, White Hinterland, The Drums ฯลฯ ไปยันเพลงเก่าๆ รุ่นลายครามจาก Black Sabbath, Bob Dylan และที่โดดเด่นสุดๆ คือเพลงเก่าสุดฮิตจากปี 1981 ของ Queen และ David Bowie อย่าง Under Pressure ที่มาฟังในทุกวันนี้ก็ยังแจ่มอยู่ ส่งผลให้หนังเรื่องนี้มีเพลงประกอบที่รื่นหูยิ่งนัก ว่าแล้วเราก็มาฟังเพลงเด่นๆ กันเลยจ้า