วันเสาร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2555

The Darkest Hour (2011): ฝูงมฤตยูส่งเสริมการท่องเที่ยว

ลิงก์



The Darkest Hour (2011) :

หนังแนว 'เอเลี่ยนบุกโลก' นั้นได้รับความนิยมมาช้านาน จนถึงปัจจุบันก็ยังขายได้อยู่ จึงมีหนังแนวนี้ถูกสร้างออกมาให้ดูกันทุกบ่อยๆ แม้ว่าหลายคนจะตั้งข้อสังเกตว่า "พวกเอเลี่ยนบุกเป็นแต่ที่อเมริกาหรือไงฟะ?" (ก็แหงสิมันหนังฮอลลีวู้ดนี่) หนังเรื่องนี้เลยขอเปลี่ยนบรรยากาศพาพ่อแม่พี่น้องคนดูหนังที่เคารพรักไปดูเอเลี่ยนบุกประเทศอื่นกันบ้าง ซึ่งนั่นก็คือประเทศรัสเซียจ้า


เอเลี่ยนถล่มมอสโคว์กันบ้างล่ะคราวนี้
แต่ช้าก่อน ถึงจะไปถล่มเละกันที่รัสเซีย แต่หนังก็ไม่พ้นต้องมีคนมะกันเป็นตัวเอกเป็นฮีโร่อยู่ดีครับท่าน ซึ่งก็ตอกย้ำให้เห็นอีกครั้งว่ามีแต่คนอเมริกันเท่านั้นที่กอบกู้โลกได้ (เหอๆ) ด้วยเรื่องราวของวัยรุ่นหนุ่มสาวชาวมะกันที่ดันอยู่ในมอสโคว์ตอนที่เอเลี่ยนล่องหนบุกถล่มโลกพอดี พวกเขาก็เลยต้องทางเอาชีวิตรอดกลับไปยังมาตุภูมิ (สำนึกรักบ้านเกิด) ให้จงได้ด้วยประการฉะนี้เอย

คนมะกันยังคงกู้โลกอีกตามเคย
หนังเป็นการร่วมทุนระหว่างผู้สร้างมะกันและรัสเซี่ยน ดังนั้นจึงต้องแบ่งเค้กแชร์ผลพลอยได้ให้ลงตัวหน่อย โดยมะกันขอเป็นพระเอก ส่วนทางรัสเซี่ยนขออาศัยหนังเรื่องนี้โปรโมทการท่องเที่ยว หนังเน้นแสดงแสงสี ความเจริญ ความเป็นอยู่อันทันสมัย ตึกรามบ้านช่อง ห้างสรรพสินค้า สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ เพื่อเสนอความน่าตะลอนทัวร์ของมอสโคว์ในทุกวันนี้แก่สายตาชาวโลกทั้งหลาย หลายครั้งเราจึงได้เห็นร้านรวง ป้ายโฆษณาสินค้าของทางตะวันตกให้เห็นอยู่เนืองๆ (โดยเฉพาะแม็กโดนัลด์ อิอิ)


ส่วนคนชาติอื่นนั้นต้องออกแนวทำตัวเกรียนเท่านั้น
แต่ในแง่การเล่าเรื่องของหนังแล้ว ป๊าด! ถึงแม้จะมีนักแสดงหนุ่มสาวที่มีเครดิตอันดีติดตัวมาส่งเสริมโหงวเฮ้งของหนัง (พิสูจน์ให้เห็นอีกครั้งแล้วว่าหนุ่ม Emile Hirsch ยังไม่เหมาะกับหนังเน้นเอฟเฟกต์อยู่ดี) และไอเดียเอเลี่ยนล่องหนจะดูเข้าท่าดีอยู่ แต่บทนั้นยังธรรมดาและซ้ำซากเกินไป แถมหลายครั้งบทพูดและการตัดสินใจของบรรดาตัวละครยังดูตลกคาเฟ่สิ้นดี ในขณะที่ด้านโปรดักชั่นดีไซน์นั้นออกมาดูดีเพราะ ผกก.Chris Gorak เขาทำงานด้านนี้มาอยู่แล้ว


สถานที่ท่องเที่ยวมีให้เห็นตลอดงาน
นี่จึงเป็นหนังแนวเอเลี่ยนที่หน้าหนังดูดี มีบรรยากาศที่แปลกแตกต่างออกไป ชวนให้น่าดูนัก แต่ผลที่ออกมายังถือว่าน่าผิดหวังเมื่อเทียบกับจุดแข็งที่หนังมี หนังเลยออกมาดูงั้นๆ ไปๆ มาๆ มันก็คือหนังโปรโมทการท่องเที่ยวของรัสเซียเขาดีๆ นี่เอง รัฐบาลไทยจะเอาอย่างเขาชวนฮอลลีวู้ดมาทำหนังเอเลี่ยนบุกกรุงเทพบ้างก็ได้นะ ดีกว่าปล่อยให้หนังฝรั่งมาเสนอแต่มุมอโคจรของกรุงเทพอย่างที่เป็นมาอยู่นั่นแหล่ะ เหอๆ
  • + หน้าหนังดูดี นักแสดงเข้าท่า ไอเดียเอเลี่ยนล่องหนและการเปลี่ยนบรรยากาศไปถล่มกันที่มอสโคว์น่าสนใจไม่น้อย
  • - เหมือนหนังโปรโมทการท่องเที่ยวรัสเซีย แต่ด้านความสนุกของหนังกลับน้อยนิดเมื่อเทียบกับจุดแข็งที่หนังมี




*รีวิวหนังเอเลี่ยนบุกโลกเรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจภายในบล็อก*

วันพุธที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2555

The Divide (2011): ชีช้ำวันหายนะโลก



The Divide (2011) :

ในอนาคตอันใกล้ได้เกิดสงครามนิวเคลียร์ล้างโลกขึ้น และในวันที่นิวยอร์คโดนถล่มเละ ชาวประชา 9 คนหนีตายลงไปหลบภัยที่ชั้นใต้ถุนอพาร์ทเม้นท์ได้อย่างหวุดหวิด โดยมีบางคนเตรียมการตุนอาหารและสถานที่ไว้พร้อมล่วงหน้าอยู่แล้ว ทว่าถึงพวกเขาจะรอดตายมาได้ แต่ยิ่งนับวันที่ต้องอยู่ที่นั่นอย่างจำทนก็ยิ่งทำให้พวกเขาสติแตกและเผยธาตุแท้ด้านมืดของตนออกมา จนเกิดนรกย่อยๆ ขึ้นชนิดที่ว่าบางทีมันอาจจะดีกว่ามั้ยถ้าพวกเขาตายไปเสียตั้งแต่แรกซะ


หน้าตาของผู้เหลือรอดจากหายนะโลก
Xavier Gens ผกก.ชาวฝรั่งเศสซึ่งเป็นที่รู้จักขึ้นมาจากหนังโหดอย่าง Frontière(s) (2007) และโกอินเตอร์ในปีเดียวกันแบบหงอยๆ กับ Hitman หนังที่สร้างจากเกมฮิต กลับมาพร้อมผลงานล่าสุดที่คราวนี้ขอทำหนังแนว 'หลังวันหายนะโลก' (post-apocalyptic) กับเขาบ้าง โดยได้ดาราที่พอมีชื่อเสียงปานกลางกับเคยดังอย่าง Milo Ventimiglia (ซีรี่ส์ Heroes) และ Michael Biehn มาเสริมสร้างความดูดีมีชาติการ์ตูนให้แก่หน้าหนัง


คุณพี่ Milo จากซีรี่ส์ Heroes ก็มากับเขาด้วย
แม้นพล็อตหนังแนวนี้จะซ้ำๆ กันแทบทั้งหมด แต่หนังก็สามารถเปิดตัวขึ้นมาได้อย่างน่าติดตาม และสร้างความหวังให้แก่คนดูได้ว่าหนังคงจะออกมาเข้าท่า แต่พอเวลาผ่านไปสักพักก็จะพบว่าอันที่จริงแล้วหนังมุ่งเน้นไปที่การแสดงด้านมืดของมนุษย์ท่ามกลางวิกฤตการณ์อันสิ้นหวังมากกว่าจะเน้นแอ็คชั่นมันส์หยดติ๋ง โดยสร้างเงื่อนไขให้เดินเรื่องกันในสถานที่เดียวทั้งเรื่องไม่ไปไหน และบรรดานักแสดงที่ลงทุนลดน้ำหนักจนผอมโทรมสมบทบาท ซึ่งเหล่านี้ก็ช่วยสร้างบรรยากาศชวนอึดอัด หดหู่ สิ้นหวัง ให้แก่ตัวหนังได้เป็นอย่างดี


นี่ไม่ใช่ภาพจากหนัง Saw เน้อ
แต่ดูเหมือนหนังจะหดหู่ อึดอัด กดดันไปหน่อยนะ คือไม่มีช่วงให้ได้พักผ่อนตาใจ ไม่มีแง่มุมอื่นที่น่าสนใจหรือมีลีลาการเล่าเรื่องเด็ดๆ มาเสนอ หนังขาดคำอธิบายในหลายๆ อย่าง แถมตัวละครแต่ละตัวก็ไม่ค่อยจะน่าเอาใจช่วยสักเท่าไหร่ การที่ต้องมาทนนั่งดูหนังตลอดความยาวกว่าสอง ชม.จึงไม่ใช่เรื่องที่น่าอภิรมย์นัก นี่ยังดีที่ตอนจบของหนังนั้นช่วยกู้สถานการณ์ของหนังให้ดีขึ้นมาหน่อย ไม่งั้นหนังคงติดทำเนียบหนังห่วยประจำปี (ของเรา) ได้ไม่ยากเลย จริงอยู่ที่หนังประสบความสำเร็จในการตีแผ่ด้านมืดของมนุษย์ แต่ก็หนักมือจนไม่มีอะไรที่ดูบันเทิงเอาเสียเลย ขอบอก


แต่งตัวซะอย่างกับมาจากเกมเชียว
จากที่เห็นจากหนังถ้าเกิดเหตุการณ์หายนะโลกขึ้นมาจริงๆ ล่ะก็ บางทีคนที่ตายไปก่อนด้วยระเบิดนิวเคลียร์อาจจะโชคดีที่สุดแล้วก็เป็นได้ เพราะสำหรับคนที่อยู่รอดนั้น ไหนจะต้องเจอความอดอยาก กัมมันตภาพรังสี และที่น่ากลัวที่สุดก็คือ 'มนุษย์' ด้วยกันเอง แต่ก็อย่างว่า ไม่มีใครหรอกที่อยากตายเนอะ บางทีในสภาวะที่เลวร้ายที่สุดเขาก็ต้องปรับตัวให้เลวร้ายที่สุดด้วยเพื่อความอยู่รอดชนิดที่เจ้าตัวเองก็ไม่เคยนึกฝันมาก่อน


ภาพหายนะโลกยังคงน่าดูชมอยู่เสมอ
  • + หนังหายนะโลกที่หน้าหนังน่าดูดี
  • - หนังเน้นหดหู่ อึดอัด ในสถานที่เดียวทั้งเรื่อง แต่ทำได้ไม่ดีนัก จนดูแล้วอึดอัดงุ่นง่านกับหนังจริงๆ




*รีวิวหนังแนวหลังวันหายนะโลกเรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจภายในบล็อก*


The Vow (2012): รักลืมแหลก




The Vow (2012) :

หนังโรแมนติกหวานย้วยเรื่องนี้ โปรยหัวบนโปสเตอร์ว่าได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องจริง ซึ่งเป็นของ Kim และ Krickitt Carpenter คู่สามีภรรยาชาวมะกัน ที่เกิดขึ้นในปี ค.ศ.1993 หลังจากที่แต่งงานกันไม่นานทั้งคู่ก็ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ส่งผลให้คุณภรรยาเกิดอาการกระทบกระเทือนทางสมองจำเรื่องราวที่เกี่ยวกับสามีไม่ได้เลย (ฮ่วย) แต่ด้วยความรักอันเต็มล้นของคุณสามี เขาจึงต้องพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้เธอตกหลุมรักเขาอีกครั้งหนึ่งให้จงได้ เรียกว่าต้องจีบเมียตนเองใหม่อีกครั้งว่างั้นเหอะ (ขอย้ำอีกครั้งว่านี่เรื่องจริง)


คู่สวีทประจำเรื่อง
เรื่องราวที่แสนโรแมนติกปานละครช่องเจ็ดมาเองเช่นนี้ช่างเหมาะที่จะเอามาทำหนังหล่อเลี้ยงหัวใจหนุ่มสาวที่กำลังอินเลิฟจริงๆ ว่าแล้วผู้สร้างหัวใสก็ดึงตัวหนุ่ม Channing Tatum และสาว Rachel McAdams มาเป็นนายกวักนางกวักเรียกคนดูเข้าโรง ซึ่งทั้งคู่ก็มีโอกาสได้บริหารเสน่ห์ของตนอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะหนุ่ม Tatum ซึ่งทำหน้าที่ได้ดีเกินคาดไม่เล่นทำหน้าเหมือนคนท้องผูกขี้ไม่ออกเฉกเช่นหลายเรื่องที่ผ่านๆ มา จนสามารถคว้าหัวใจของสาวแท้สาวเทียมไปเต็มๆ เลยงานนี้ (ส่วนสาว McAdams ก็คว้าหัวใจของหนุ่มแท้หนุ่มเทียมไปได้ไม่แพ้กัน อิอิ)

คู่นี้เคมีลงตัวดีแท้
ถ้าไม่บอกว่าหนังสร้างจากเรื่องจริงเนี่ยก็คงต้องบอกว่าพล็อตโคตรจะน้ำเน่าเลย หนังพกความโรแมนติกชวนฝันสุดๆ มาฝากคนดู (สาวๆ) อย่างเต็มเปี่ยม ทั้งพระเอกที่ทั้งหล่อล่ำและแสนดีเกินคน นางเอกที่สวยหวานแถมพ่อรวยอีกต่างหาก แต่ด้วยเสน่ห์ของสองนักแสดงนำ และการเล่าเรื่องของ ผกก.Michael Sucsy ก็ทำให้หนังออกมาพอดูได้เพลินๆ อยู่ ทั้งนี้ทั้งนั้นถ้าหากหนังสามารถทำให้ท่านดูจบแล้วรู้สึกอยากจะรักแฟนของตนให้มากยิ่งขึ้นหรืออยากมีคนรักกับเขาบ้างล่ะก็ถือว่าหนังเรื่องนี้ประสบความสำเร็จในแนวทางของมันแล้วล่ะ จะเอาอะไรมากเนอะ


สาวๆ คงได้มีเคลิ้มกันแน่งานนี้
  • + เรื่องราวโรแมนติกชวนเคลิ้ม คู่พระนางดูดีมีเสน่ห์เคมีเข้ากัน ดูแล้วจะรู้สึกว่าตนเองโรแมนติกขึ้นมาอีกหลายขีดเชียว
  • - เรื่องราวออกแนวน้ำเน่า (แม้จะสร้างจากเรื่องจริงก็ตาม) ถ้าเทียบกับหนังโรแมนติกเรื่องอื่นๆ ยังถือว่าไม่น่าจดจำเท่านัก


หน้าตาของ Kim และ Krickitt Carpenter ที่มาของหนัง






*ช่วงเพลงในหนัง*

The Cure
สิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้โรแมนติกขึ้นเยอะคือเพลงที่เปิดประกอบทั้งหลาย โดยเฉพาะเพลงที่ใช้ในฉากจบ ซึ่งก็คือ Pictures of You เพลงรักคลาสสิกของ The Cure วงร็อครุ่นเก๋าจากอังกฤษที่ถึงจะฟังกี่ทีๆ กี่ปีๆ ก็ยังชวนเคลิบเคลิ้มถึงอารมณ์หมายได้เป็นอย่างดี เรียกว่าพอหนังจบเพลงนี้มันจะสามารถทำให้คนดูแต่ละคนนึกถึงคนที่ตนเองรักขึ้นมาได้อย่างอัตโนมัติ ซึ่งตรงนี้คือสิ่งที่น่าชื่นชมอีกจุดของหนังเรื่องนี้ครับพี่น้อง

MP3: The Cure - Pictures of You


วันจันทร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2555

Act of Valor (2012): อเมริกาโชว์เทพ




Act of Valor (2012) :

หนังแอ็คชั่นเรื่องนี้มีคำโปรยหราบนโปสเตอร์ว่า "ฮีโร่ตัวจริง ยุทธวิธีจริง แอ็คชั่นจริง ไม่ใช่เกม" และ "ภาพยนตร์ที่ใช้ทหารเนวีซีลสหรัฐตัวจริงเสียงจริงแสดงนำ" พร้อมด้วยภาพเหล่าทหารถือปืนเล็กยาววางมาดสุดเท่ปานวงบอยแบนด์เกาหลี ไม่ใช่สิ ปานจะหลุดมาจากปกเกมแนว FPS (เกมยิงมุมมองบุคคลที่หนึ่ง) ยังไงยังงั้น และไหนจะเทรลเล่อร์ที่ประโคมฉายตามเว็บไซต์เกมทั้งหลาย ทำเอาบรรดาคอเกมและผู้สนใจอะไรที่เกี่ยวกับทหารตาลุกโพลงกันเป็นแถวเลยทีเดียว

เมื่อคุณพบว่าเพื่อนร่วมทีมคุณแอบฉี่ลงน้ำ (เช่นเดียวกับคุณ)
ผกก.คู่หู Mike McCoy กับ Scott Waugh หลีกเลี่ยงการใช้นักแสดงอาชีพมาเล่นเป็นพระเอก แถมยังทำเก๋ ไม่ขึ้นเครดิตให้รู้ว่าจริงๆ แล้วใครชื่อเต็มๆ ว่าอะไรอีกด้วย (แต่พวกตัวโกงและตัวประกอบใช้นักแสดงอาชีพอยู่) หนังจึงโดนเด่นสุดๆ ในฉากการปฏิบัติหน้าที่ของเหล่าทหารหาญในหนังที่สมจริงเป๊ะๆ เพราะทหารตัวจริงมาเองเลย โดยได้รับการสนับสนุนด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ อย่างจัดเต็มจากกองทัพเรือสหรัฐ ที่มองว่าหนังเรื่องนี้จะเป็นตัวประกาศศักดาแก่ชาวโลกและสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่กองทัพได้ไม่ใช่น้อย


เฮ้ นายลืมสะพายร่มชูชีพมาด้วยว่ะ
หนังไม่เสียเวลาในการอารัมภบทให้มากความเพราะรู้ดีว่ากลุ่มเป้าหมายต้องการอะไรจึงขอเน้นไปที่ฉากรบพุ่งกันเต็มเหนี่ยว อีกทั้งรู้ดีว่าการใช้ทหารตัวจริงมาเล่นบทเด่น คงคาดหวังให้เขาเหล่านั้นเล่นฉากดราม่าเยอะๆ คงไม่ใช่เรื่อง (ซึ่งก็ดีแล้วเพราะพี่หารเราเล่นดราม่าแข็งทื่อสมกับเป็นทหารจริงๆ อิอิ) ซึ่งตรงนี้เหมือนเป็นดาบสองคมคือการไม่มีดาราดังมาเรียกแขกก็ทำให้เสียกลุ่มคนดูทั่วไปลง (พวกพระเอกเราแต่ละคนหล่อน้อยซะ) และการเน้นแอ็คชั่นสุดๆ ก็ทำให้หนังดูพร่องลงในส่วนของดราม่าชวนให้คนดูผูกพันเอาใจช่วย


ฝันเปียกของคอเกมชู้ตติ้งกลายเป็นจริงขึ้นมาแล้ว
ดังนั้นคนที่จะดูหนังเรื่องนี้แล้วชอบคือบรรดาคอหนังแอ็คชั่นทหารกะดูเอามันส์ คอเกมชู้ตติ้งที่มองหนังเหมือนฝันเปียกที่เป็นจริงของพวกเขา (มุมกล้องหลายตอนอย่างกับหลุดมาจากเกม) หรือทหารตัวจริงซึ่งในที่สุดก็ได้เห็นการถ่ายทอดยุทธวิธีการปฏิบัติภารกิจของทหารอย่างสมจริงบนจอภาพยนตร์เสียที ในขณะที่บรรดาขาจรทั่วไปอาจจะเห็นว่านี่ก็แค่หนังแอ็คชั่นทหารงั้นๆ หรือหนังโฆษณาชวนเชื่อสร้างภาพสำหรับคนที่ไม่ค่อยชอบอเมริกา รวมถึงบรรดาศัตรูของอเมริกาเองที่คงจะหมั่นไส้หนังเรื่องนี้ไม่ใช่น้อย


สไนเปอร์กับคอสตูมสุดแฟนซี
เห็นแสนยานุภาพของกองทัพเรือสหรัฐในหนังที่ออกปฏิบัติการบู๊ไปทั่วโลกแล้วก็ต้องทึ่งว่าสมแล้วกับที่เป็นประเทศมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลก แต่ถ้ามองอีกแง่ การที่พวกเขาต้องวิ่งวุ่นไปทั่วโลกเพื่อต่อกรกับศัตรูและภัยคุกคามของประเทศแบบนี้ ส่วนหนึ่งก็เพราะการที่พวกเขาวางตัวเองเป็นตำรวจโลก เป็นพี่เบิ้ม กร่างไปทั่วนั่นแหล่ะ นี่ยังไม่ได้พูดถึงการเข้าไปก้าวก่ายประเทศต่างๆ เพื่อผลประโยชน์ของตัวเองด้วยนะ เห็นทีงานนี้คงเหนื่อยกันอีกนานนะพี่กัน แต่ที่แน่ๆ หลังหนังเรื่องนี้ออกฉาย ยอดการสมัครเข้ากองทัพเรือโดยเฉพาะหน่วยเนวีซีลคงเพิ่มกระฉูดขึ้นมาสุดๆ แน่เลย ขอบอก หุหุ


จะมีสักกี่คนในโลกที่มีโอกาสเดินบนเรือดำน้ำในมหาสมุทร
  • + หนังแอ็คชั่นทหารที่สมจริงที่สุดเท่าที่เคยมีมา เพราะใช้ทหารจริงมาเล่นเป็นพระเอก ผู้ชื่นชอบเกมชู้ตติ้งและทหารคงจะสุขสมอารมณ์หมายกัน
  • - เน้นฉากแอ็คชั่นสุดๆ จนด้านอื่นๆ ถูกละเลย ไม่มีดารามาเรียกแขก คอหนังทั่วไปอาจมีเมิน





Monsieur Lazhar (2011): สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า 'ครู'




Monsieur Lazhar (2011) :

ถึงหนังแคนาดาในตลาดโลกจะไม่ฮ็อตฮิตติดดาวอย่างประเทศอื่นเขา แต่ประเทศนี้ก็ส่งออกหนังดีๆ เด็ดๆ ให้คอหนังได้ซี้ดซ้าดอยู่เนืองๆ โดยเฉพาะสองปีหลังมานี้ที่หนังโคตรดีอย่าง Incendies (2010) ได้เข้าชิงรางวัลออสก้าร์สาขาหนังภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม และในปี ค.ศ.2011 ที่ผ่านมาหนังแคนาดาก็ได้สร้างประวัติศาสตร์โดยการมีหนังได้เข้าชิงออสก้าร์สาขานี้พร้อมกันถึงสองเรื่องคือ In Darkness (ที่เป็นการร่วมทุนสร้างกันระหว่างแคนาดากับโปแลนด์) และหนังดราม่าครู/นักเรียน เล็กๆ เรื่องนี้นั่นเอง (แต่ก็ยังแห้วรางวัลไปในที่สุดอยู่ดี)ลิงก์

ถึงคุณครูหน้าจะโหดแต่ก็ใจดีนะ
หนังดัดแปลงมาจากละครเวที โดยผู้อำนวยการสร้างจาก Incendies (ที่ก็ดัดแปลงมาจากละครเวทีเหมือนกัน) และได้ ผกก.Philippe Falardeau มาเล่าเรื่องของบรรดานักเรียนในโรงเรียนประถมแห่งหนึ่งของแคนาดาซึ่งต้องเจอเหตุการณ์สุดเศร้าปนช็อคเมื่ออยู่ดีๆ ครูประจำชั้นแสนรักก็ฆ่าตัวตายคาห้องเรียนอย่างปริศนา เล่นเอาทุกคนสลดไปตามๆ กัน และด้วยการที่โรงเรียนหาครูมาทดแทนไม่ทันจึงตกลงรับนาย Bachir Lazhar (Mohamed Fellag) หนุ่มใหญ่หน้าโหดแต่ใจดี ที่เดินดุ่มเข้าโรงเรียนมาสมัครสอนเองเลย มาสอนห้องนี้แทนไปพลางๆ ก่อน


เด็กๆ เล่นดีเป็นธรรมชาติมาก
จากตอนแรกที่นักเรียนในห้องไม่ค่อยชอบหน้าคุณครูคนใหม่นี้นัก เนื่องด้วยท่าทีวิธีคิดแปลกๆ ของครูที่เป็นคนอัลจีเรียขอลี้ภัยมา กลวิธีการสอนแสนโบราณคร่ำครึล้าสมัย และการที่พวกเขายังลืมครูประจำชั้นคนเดิมไม่ลง ครู Bachir จึงต้องพยายามปรับตัวและทำทุกอย่างเพื่อเอาชนะใจเด็กนักเรียนเหล่านี้ให้ได้ และที่สำคัญที่สุดคือการสอนเด็กให้รู้จักถึงความหมายของคำว่า การสูญเสีย ความรัก มิตรภาพ เพื่อที่เขาเหล่านั้นจะสามารถก้าวข้ามความโศกเศร้าเสียใจครั้งนี้และเติบโตอย่างมั่นคงพร้อมที่จะเผชิญชีวิตต่อไปในอนาคต


การศึกษาบ้านเขาดูดีมีคุณภาพมาก
ฟังพล็อตเหมือนจะเป็นหนังแนว 'ครูครับ/คะเราจะสู้เพื่อฝัน' ชวนซาบซึ้งบิ้วท์อารมณ์ แต่หนังพยายามเต็มที่ๆ จะไม่ออกมาตามสูตรสำเร็จข้างต้น หนังเดินเรื่องเรื่อยๆ เรียบๆ แต่ไม่ซีเรียสมาก ด้วยบรรดานักแสดงไม่คุ้นหน้า แต่บทจะดราม่าทุกคนก็ล้วนทำหน้าที่ของตนได้อย่างน่าชื่นชม ไม่ว่าจะเป็นคุณ Fellag ครูที่เก็บงำเรื่องเศร้าของตนไว้และเห็นแก่เด็กๆ อย่างแท้จริง รวมทั้งบรรดาเด็กๆ ที่เล่นได้อย่างเป็นธรรมชาติไม่กระแดะเหมือนเด็กๆ หนังฮอลลีวู้ด ทั้งยังสามารถให้แง่คิดการดำเนินชีวิต วิพากษ์วิจารณ์ด้านการศึกษาของประเทศแคนาดา และปิดท้ายได้อย่างน่าประทับใจแม้จะดูห้วนๆ ไม่เป็นไปตามพิมพ์นิยมหนังแนวนี้ก็ตามที
  • + หนังครูนักเรียนเปี่ยมคุณภาพอีกเรื่องที่คุณครูไม่ควรพลาด คอหนังไม่ควรเมิน นะขอบอก
  • - หนังเดินเรื่องเรื่อยๆ เรียบๆ ไม่พยายามบิ้วท์อารมณ์แบบหนังฮอลลีวู้ดทั่วไป บางคนดูแล้วอาจมีเซ็ง




*รีวิวหนังรางวัลจากแคนาดาเรื่องอื่นๆ ภายในบล็อก*