The Social Network (2010) :
ยุคนี้เป็นยุคของ Facebook จริงๆ เพราะดูเหมือนว่าใครๆ เขาก็มีหน้า Facebook เป็นของตนเองกันทั้งนั้น เลยฮิตถึงขนาดที่ว่ามียอดผู้ใช้สูงถึง 500 ล้านคนไปแล้วเมื่อเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา เล่นเอาบรรดาหนุ่มๆ ผู้ก่อตั้งร่ำรวยไปตามๆ กัน ที่สำคัญคือพวกเขาเพิ่งจะมีอายุ 20 กว่าๆ กันเท่านั้นเอง โดยเฉพาะนาย Mark Zuckerberg (26 ขวบ)โต้โผใหญ่ที่ขณะนี้ได้ชื่อว่าเป็นเศรษฐีพันล้านที่อายุน้อยที่สุดในโลกเลยทีเดียว
พวกหนุ่มๆ ไม่ได้กำลังดูเว็บโป๊กันหรอกนะจ้ะ
ว่าแล้วผู้สร้างหนังสุดหัวใสแถมมือไวใจเร็วก็คว้าเอาหนังสือ The Accidental Billionaires ของ Ben Mezrich ที่ตีแผ่เรื่องราวการฟ้องร้องกันของสองผู้ก่อตั้ง Fackbook อย่าง Mark Zuckerberg และ Eduardo Saverin มาสร้างเป็นหนัง โดยในเวอร์ชั่นหนังนี้ก็ได้ ผกก.David Fincher (Fight Club [1999]) มารับหน้าที่ถ่ายทอดเรื่องราว และได้หนุ่มหัวหยอย Jesse Eisenberg (Zombieland [2009]) มารับบทนาย Zuckerberg พร้อมด้วยนักแสดงคุ้นหน้าอีกคับคั่งเลยเชียวคนซ้ายคือสไปเดอร์แมนคนใหม่
หนังเสนอบรรยากาศการหาทางตกลงความกันระหว่างคุณ Zuckerberg กับบรรดาผู้ฟ้องร้องที่เกี่ยวข้องกับ Facebook โดยตรงและโดยอ้อม ไม่ว่าจะเป็น Eduardo Saverin (รับบทโดยสไปเดอร์แมนคนใหม่ Andrew Garfield) เพื่อนรักที่ร่วมก่อตั้ง Facebook มาด้วยกัน หรือแฝดตระกูล Winklevoss ที่หาว่า Zuckerberg ขโมยไอเดียของพวกเขาไปทำเป็น Facebook และตัดสลับกับภาพเหตุการณ์ตั้งแต่สมัย Facebook ยังเป็นวุ้นไปจนกระทั่งประสบความสำเร็จมีผู้ใช้ถึงยอด 1 ล้านคนแน่นอนว่าทุกคนในหนังย่อมหน้าตาดีกว่าตัวจริงอยู่แล้ว
ผกก.Fincher สามารถทำหนังที่เหมือนจะเป็นเรื่องน่าเบื่อเช่นนี้ให้ออกมาได้ดูสนุกทีเดียว งานด้านต่างๆ ก็ดูดี ไม่ว่าจะด้านภาพที่ยังสวยได้อีก และดนตรีประกอบจากฝีมือของทั่น Trent Reznor (แห่งวง Nine Inch Nails)และ Atticus Ross ก็ช่วยเสริมอารมณ์ให้แก่หนังได้เป็นอย่างดี แต่ที่โดดเด่นที่สุดคงไม่พ้นบรรดานักแสดงทั้งหลายที่ล้วนทำหน้าที่ของตนได้ดี อย่างเช่นนาย Eisenberg ที่มาในมาดหนุ่มไอคิวสูงที่พูดเร็วปรื๋อผู้ไม่สนใจอะไรนอกจากความสำเร็จ หรือ Justin Timberlake ที่ดูน่าหมั่นไส้เป็นอย่างยิ่งในบทผู้ก่อตั้ง Napster ผู้ทำให้เพื่อนต้องแตกคอกัน
ดูเหมือนว่าจะมีคนดูยืมมุกใน A Beautiful Mind มาใช้นะ
ไม่ใช่ว่าหนังเรื่องนี้ดูแล้วจะชอบกันได้ทุกคน เพราะเต็มไปด้วยบทสนทนาที่มีศัพท์แสงเฉพาะกลุ่ม และก็ไม่มีอะไรมากมายเกินไปกว่าที่มาที่ไปของ Facebook ซึ่งก็อย่าเพิ่งปักใจเชื่อทุกอย่างที่เห็นในหนังล่ะ เพราะต้องเข้าใจว่านี่เป็นหนังที่สร้างจากมุมมองแค่ฝ่ายเดียวเท่านั้น (Zuckerberg และ Fackbook ไม่ได้เข้ามามีเอี่ยวกับโปรเจกท์เลยสักนิด) แต่ถ้าจะมองว่าหนังสะท้อนให้เห็นถึงเรื่องราวของมิตรภาพระหว่างเพื่อนฝูงที่ถูกทำลายโดยความละโมบและการกระหายความสำเร็จจนพร้อมจะทิ้งทุกคนที่ไม่มีประโยชน์ไว้เบื้องหลัง ก็คงจะโอเคอยู่ ซึ่งก็นะ ใครจะไปคิดว่า Facebook ที่ถูกคิดค้นขึ้นมาเพื่อเป็นตัวช่วยสร้างสังคมและเพื่อนฝูงบนโลกไซเบอร์แก่เหล่าผู้ใช้ทั่วโลก แต่ตัว Mark Zuckerberg ซึ่งเป็นผู้คิดค้นมันขึ้นมาเองกับมือกลับไม่มีเพื่อนแม้ตนคนเดียวอยู่เคียงข้างในท้ายที่สุดไปซะงั้น (ฮ่วย)เปรียบเทียบระหว่างตัวจริง(แถวล่าง)และตัวปลอมในหนัง
- น่าดูเพราะ: เป็นหนังดราม่าที่เกี่ยวกับความเป็นมาของ Facebook ซึ่งมีสาระ แง่คิดให้เก็บเกี่ยว งานสร้างก็ทำได้ดี และมาถูกยุคสมัยหรือที่เรียกว่าอินเทรนด์อีกต่างหาก
- ไม่น่าดูเพราะ: เต็มไปด้วยบทสนทนา ศัพท์แสงทางคอมพิวเตอร์และอะไรที่เกี่ยว Facebook ซึ่งคงจะไม่ค่อยน่าสนใจสำหรับคนทั่วๆ ไปที่ไม่คุ้นเคยกับ Facebook นักหรอก
*ช่วงเพลงในหนัง*
Scala & Kolacny Brothers
นอกจากงานด้านสกอร์ที่ออกแนวอิเลคโทรนิคของ Trent Reznor และ Atticus Ross แล้ว ในหนังยังมีเพลงจากศิลปินหลากหลายแนวไม่ว่าจะเพลงของ The White Stripes, Roots Manuva, The Cramps หรือแม้แต่งานดนตรีคลาสสิคของ Edvard Grieg แต่ที่เด่นที่สุดคงไม่พ้นเพลง Creep ของ Radiohead ที่ถูกนำมาขับร้องโดยคณะร้องประสานเสียงสาวล้วนจากเบลเยี่ยมอย่าง Scala & Kolacny Brothers ซึ่งใช้ในเทรลเล่อร์ของหนังแบบได้อารมณ์เหงาๆ เศร้าๆ หรือว่าจะเป็นเพลง Baby You're a Rich Man ของ The Beatles ที่ใช้ในช่วงตอนจบของหนังได้อย่างประชดประชันและเจ็บปวดยิ่งนัก ว่าแล้วเราก็มาฟังสองเพลงที่ว่ากันเต๊อะพี่น้อง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น