วันจันทร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

Scott Pilgrim vs. the World (2010): รักน้องต้องตึ้บกิ๊ก(เก่า)

Scott Pilgrim vs. the World (2010) :
ทุกวันนี้ถ้าจะให้นึกถึง ผกก.หนังตลกรุ่นใหม่ไฟแรงจากฝั่งอังกฤษแล้วล่ะก็ คงต้องนึกถึง ผกก.Edgar Wright เป็นอันดับต้นๆ เลย เพราะผลงานที่ผ่านของเขาอย่าง Shaun of the Dead (2004) กับ Hot Fuzz (2007) ก็ล้วนแต่เป็นที่ชื่นชอบของคอหนังและนักวิจารณ์ทั้งสิ้น และสำหรับผลงานเรื่องล่าสุดของเขานี้ก็เป็นการหยิบหนังสือการ์ตูนเด็กแนวชุด Scott Pilgrim ของ Bryan Lee O'Malley มาทำเป็นเวอร์ชั่นหนังโรง ซึ่งว่ากันว่าตัวหนังสือถูกซื้อลิขสิทธิ์มาสร้างเป็นหนังตั้งแต่เมื่อเล่มแรกเพิ่งวางตลาดได้ไม่นานเลยทีเดียวเชียว (โอ้ว!)


ปิ๊งสาวต้องใจกล้า(หน้าด้าน)
เวอร์ชั่นหนังนี้เกณฑ์ดาราวัยทีนมาเพียบ(ไม่ทีนก็เพียบเช่นกัน) ซึ่งนำทัพโดยพ่อหนุ่ม Michael Cera (Juno [2007]) และสาว Mary Elizabeth Winstead (Live Free or Die Hard [2007]) กับเรื่องราวสุดแนว(การ์ตูน)เกี่ยวกับยอดชายนาย Scott Pilgrim (Cera) หนุ่มมือเบสของวงร็อคต๊อกต๋อยในแคนาดาที่ชื่อ "Sex Bob-omb"ที่ดันไปหลงรัก Ramona Flowers (Winstead) สาวในฝัน(ในฝันจริงๆ นะ)ชาวมะกันสุดมั่นผู้นิยมเปลี่ยนสีผมตนทุกๆ สองสัปดาห์ ที่เพิ่งย้ายมาอยู่แถบนั้นพอดี


เหล่าวัยทีนในเรื่อง
แต่ในขณะที่ความสัมพันธ์ทั้งคู่กำลังจะไปได้สวย พระเอกเราก็พบว่าบรรดากิ๊กเก่าผู้ชั่วร้ายทั้งเจ็ดคนของหล่อน(ป๊าด) ต่างพากันดาหน้ามาเล่นงานเขาชนิดกะให้เดี้ยงเลย ดังนั้นถ้าหากเขาอยากจะพิชิตใจเจ้าหล่อนและครองรักกันอย่างสุขสมอารมณ์หมายตลอดไปล่ะก็ เห็นทีจะต้องกำหราบคนเหล่านั้นให้ราบคาบเสียก่อน ซึ่งงานนี้คงได้บู๊กันแหลกสไตล์การ์ตูนชนิดที่เว่อร์น้องๆ เรื่องดราก้อนบอลแซดเลยทีเดียวล่ะครับ พี่น้องที่เคารพรัก


โฉมหน้ากิ๊กเก่าผู้ชั่วร้ายทั้งเจ็ดคน(โห)
ผกก.Wright จงใจทำหนังออกมาสำหรับคอหนังสือการ์ตูนและคอเกมรุ่นเก่าเต็มที่เลย(แค่ช่วงโลโก้ลูกโลกของยูนิเวอร์แซลตอนต้นเรื่องที่มากับเสียงดนตรี 8 บิตสุดกระป๋องก็ได้ใจแล้ว) โดยจะเห็นได้จากการใช้เทคนิคการแบ่งเฟรมเป็นช่องๆ การใส่ตัวหนังสือบรรยายแทนเสียงเตะต่อย ฉากแอ็คชั่นสุดเวอร์ที่ยังกับในเกมอาเขตหยอดเหรียญ การเดินเรื่องที่ฉับไว เมื่อมาเจอเหล่านักแสดงคุ้นหน้าที่มาช่วยกันสร้างสีสันตลอดเรื่อง และอารมณ์ขันกวนๆ อันล้นเหลือ อีกทั้งเพลงร็อคมันส์ๆ โจ๊ะๆ ด้วยแล้ว จึงเป็นอะไรที่ดูสนุกเพลิดเพลินถูกใจวัยมันส์ยิ่งนัก


ดูลีลาบู๊ของแต่ละคนซะก่อน
ถึงหนังจะมีเสน่ห์และเต็มไปด้วยรายละเอียดสิ่งละพันอันละน้อยเรี่ยราดรายทางให้ได้คอยสังเกตอยู่ตลอดเรื่อง แต่กระนั้นด้วยความที่ดูเป็นการ์ตูนเกินไปแบบนี้เลยส่งผลให้หนังมั่วซั่ว ขาดความจริงจัง และเรียกความสนใจจากคนดูวงกว้างไม่ได้(นอกจากเหล่าวัยรุ่น คอหนังสือการ์ตูนและคอเกมรุ่นเก๋าทั้งหลาย) จนทำให้หนังไม่ทำเงินอย่างที่หวัง(ได้ 40 ล้านจากทุนสร้างประมาณ 60 ล้านเหรียญ)เล่นเอาอดฉายโรงบ้านเราและในอีกในหลายๆ ประเทศไปอย่างน่าเสียดาย ทั้งที่ความจริงหนังสนุกออกจะตายไป ยังไงก็หวังว่าหนังจะประสบความสำเร็จในตอนเป็นแผ่น ซึ่งก็เชื่อเลยว่าจะเป็นเช่นนั้นแน่ และคงจะขึ้นหิ้งหนังคัลต์คลาสสิคภายในอนาคตอันใกล้อีกด้วยเอย เจ๋งๆ


แบ่งเฟรมสไตล์หนังสือการ์ตูนเป๊ะ
  • น่าดูเพราะ: เป็นหนังตลกวัยรุ่นที่สร้างจากการ์ตูนที่ทำได้ กวน เจ๋ง ดูเพลิน ตลก มีเสน่ห์ ถูกใจเด็กแนวจริงหนอ(ไม่แนวก็ชอบได้) ไม่เสียชื่อ ผกก.เขาเลยจริงๆ
  • ไม่น่าดูเพราะ: คงจะเหมาะกับแฟนเฉพาะกลุ่มเท่านั้น คนดูในวงกว้างดูแล้วคงจะไม่สนุกไปด้วยมั้งเนี่ย




*ช่วงเพลงในหนัง*

เฮีย Beck มาดูแลเพลงให้กับหนัง
หนังวัยรุ่นกับเพลงร็อคเป็นสิ่งที่แยกจากกันไม่ได้เลย โดยเฉพาะหนังวัยรุ่นที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับวงดนตรีด้วยแล้ว และหนังเรื่องนี้ก็โดดเด่นในส่วนนี้มากเสียด้วย เพราะเล่นเกณฑ์เหล่าศิลปินนักดนตรีชาวแคนาเดี้ยนดังๆ มาทำเพลงให้กับหนังตรึมเลย(เพราะท้องเรื่องคือแคนาดา การ์ตูนก็ของแคนาดา) ไม่ว่าจะเป็น Beck, Metric, Broken Social Scene ที่มาเล่นให้ในส่วนของวงดนตรีต่างๆ ในหนัง ทางด้านงานเพลงด้านสกอร์นั้นได้ศิลปินชาวอังกฤษผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็น'สมาชิกคนที่หกของ Radiohead' อย่าง Nigel Godrich มาดูแลให้ ซึ่งตัวอัลบั้มซาวน์แทร็คก็ทำออกมาสองชุดคือชุดปกแดงที่บรรจุเพลงร้องจากศิลปินต่างๆ และชุดปกฟ้าที่บรรจุเพลงสกอร์ที่เน้นไปที่แนวอิเลคโทรนิคเก๋ๆ ว่าแล้วเราก็ขอเลือกเพลงของ Sex Bob-Omb (วงพระเอก)จากชุดปกแดงมาฝากกันซะเลยจ้า


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น