Barefoot Gen (1983) :
นี่คือผลงานการ์ตูนสำหรับฉายโรงเรื่องแรกของสตูดิโอ Madhouse เจ้าของผลงานที่คออนิเมะล้วนรู้จักกันดีอย่าง Ninja Scroll, Vampire Hunter D: Bloodlust, Trigun ซึ่งหนังเรื่องนี้สร้างมาจากหนังสือการ์ตูนชุดสิบเล่มจบของ เคอิจิ นาคาซาวะ ที่คลาสสิคซะจนถูกหยิบไปสร้างเป็น ละครทีวี หนังโรง หนังการ์ตูน หรือแม้แต่ละครเพลง มานับหลายต่อหลายครั้งแล้ว
เจอนิวเคลียร์แบบนี้เป็นใครก็ต้องเหงื่อตก
หนังพาย้อนไปญี่ปุ่นช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่สองเพื่อเสนอเรื่องราวของหนูน้อย เก็น นาคาโอกะ และครอบครัวอันประกอบด้วยพี่สาวแสนสวย น้องชายแสนซน พ่อแสนใจดี และแม่ที่กำลังท้องแก่ ซึ่งถึงพวกเขาจะอยู่อย่างยากจนข้นแค้นเพราะประเทศกำลังอยู่ในภาวะข้าวยากหมากแพงจากสงคราม แต่พวกเขาก็ยังมีความสุขเฮฮาไปตามอัตภาพกันได้อยู่ แม้เก็นและน้องชายจะเบื่อหน่ายที่ต้องคอยวิ่งหนีลงหลุมหลบภัยในยามที่ได้ยินเสียงสัญญาณเตือนภัยดังอยู่บ่อยๆ ก็ตาม
ไปทำอะไรให้คุณแม่ร้องไห้เนี่ย
ครอบครัวของเขาก็คงจะพยุงกันจนผ่านพ้นช่วงสงครามไปได้เป็นอย่างดีด้วยความรักความเข้าใจที่มีต่อกัน ถ้าไม่ใช่เพราะว่าพวกเขาดันอาศัยอยู่ในเมือง ฮิโรชิม่า เช่นนี้ซะก่อน(กรรม) ซึ่งในเช้า
วันหนึ่งชีวิตของเก็นและครอบครัวก็ต้องเปลี่ยนไปตลอดกาล เมื่ออยู่ๆ ระเบิดนิวเคลียร์ก็ถูกทิ้งลงมากลางเมือง ส่งผลให้ทุกอย่างพังพินาศ ผู้คนล้มตาย ซึ่งแม้เก็นจะรอดตายมาได้อย่างหวุดหวิด แต่ก็เหมือนตกนรกทั้งเป็นอยู่ดีจากผลพวงของกัมมันตภาพรังสี ซึ่งเราก็ต้องเอาใจช่วยกันต่อไปว่าชีวิตของหนูน้อยเก็นผู้กล้าหาญจะเป็นยังไงต่อไปล่ะจ้า
ตัวการ์ตูนหน้าตาน่ารักต้องมาเจอเรื่องโหดร้ายแสนสาหัส
เวอร์ชั่นนี้กำกับโดย โมริ มาซากิ ซึ่งนำเสนอลายเส้นที่ดูเรียบง่ายและน่ารักกว่าในหนังสือการ์ตูนขึ้นมาหน่อย(ลายเส้นออกแนวการ์ตูนอิคคิวซัง) ที่มาพร้อมอารมณ์ขันเฮฮาในช่วงต้นเรื่อง โดยโฟกัสไปที่ตัวเก็นและน้องชายที่แม้ชีวิตพวกเขาจะเข้าขั้นลำบากแต่ก็ยังสดใสตามประสาเด็กได้อยู่(แบบที่เรียกว่าหัวเราะร่าน้ำตารินแหล่ะ) แต่พอเข้าช่วงระเบิดลงนั่นแหล่ะตัวหนังก็ไม่รีรอที่จะแสดงให้เห็นถึงพิษสงของระเบิดเลย โดยเน้นกันให้เห็นจะๆ ถึงสภาพของคนที่โดนระเบิดทั้งเด็กและผู้ใหญ่ซึ่งเป็นอะไรที่สยองปนหดหู่มากๆ
ลายเส้นเรียบง่ายแต่กลับมีพลังสะกดคนดู
ถึงลายเส้นจะเรียบง่ายตามประสาการ์ตูนเก่าแต่ก็รับใช้เรื่องราวได้อย่างมีพลัง และอย่าได้แปลกใจถ้าดูการ์ตูนเรื่องนี้แล้วจะร้องไห้น้ำตานองหน้าไปกับโชคชะตาของเก็นและครอบครัวรวมถึงชาวบ้านตาดำๆ ผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่แต่ต้องมาเจอระเบิดนิวเคลียร์แบบนี้เข้า ซึ่งจะว่าไปแล้วการ์ตูนเรื่องนี้ก็เปรียบเสมือนพี่ชายต่างมารดาของ Grave of the Fireflies (1988) ที่หลายคนเคยเสียน้ำตาให้ก็ว่าได้ เพราะทั้งคู่อยู่ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันและนำเสนอผลพวงของสงครามโลกครั้งที่สองผ่านสายตาของเด็กเช่นเดียวกัน เพียงแต่ว่าเรื่องนี้จะเต็มไปด้วยความหวังและมีโทนสดใสมากกว่าเรื่องนั้นอยู่บ้าง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ถือว่าเป็นการ์ตูนคลาสสิคอีกเรื่องที่ควรค่าแก่การชมยิ่งนัก ถ้าเจอก็รีบคว้ามาดูเลยเน้อ
ปล.อันที่จริงเขามีภาคสองด้วยนะ แต่เอาไว้ได้ดูแล้วจะมารีวิวกันอีกทีเน้อ
- น่าดูเพราะ: เป็นอนิเมะสุดคลาสสิคอีกเรื่อง ที่จะเรียกน้ำตาท่านไม่น้อยไปกว่า Grave of the Fireflies เลย คออนิเมะคุณภาพไม่ควรพลาดเลยจ้า
- ไม่น่าดูเพราะ: เต็มไปด้วยเรื่องราว สลด หดหู่ รันทด (แต่ก็เต็มไปด้วยความหวังด้วย) ไม่ใช่การ์ตูนที่ดูเอาสนุกเน้อ
*ช่วงอันเนื่องมาจากหนัง*
ภาพ'Little Boy'ลงที่ฮิโรชิม่า
คงมีหลายคนที่ยังค่อยไม่รู้ที่มาที่ไปของเหตุการณ์ระเบิดนิวเคลียร์ลงแบบที่เห็นในหนังนัก ทางบล็อกจึงขอสรุปสั้นๆ แบบพอเข้าใจให้ดังนี้คือ ในช่วงปี ค.ศ.1945 ซึ่งเป็นช่วงท้ายสงครามโลกครั้งที่สองนั้น ญี่ปุ่นซึ่งยึดครองเอเซียอยู่เริ่มเพลี่ยงพล้ำต่อฝ่ายสัมพันธมิตรที่นำโดยอเมริกา แต่พวกเขาก็ไม่ยอมแพ้สักที ทางอเมริกาเห็นท่าไม่ดีเพราะถ้าขืนรบต่อไปเหมือนเดิมคงต้องใช้เวลาอีกเป็นปีๆ แน่ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องนำเอาอาวุธลับที่ซุ่มผลิตมานานแล้วนั่นก็คือ'ระเบิดนิวเคลียร์'มาใช้กับญี่ปุ่นเป็นรายแรกซะเลย
นิวเคลียร์ที่ถูกนำมาใช้กับญี่ปุ่นมีสองลูกซึ่งแต่ละลูกก็มีชื่อเล่นตามรูปร่างของมันว่า 'Fat Man' และ 'Little Boy' โดยอเมริกากะเล่นเมือง ฮิโรชิม่า ซึ่งเป็นจุดยุทธศาตร์ที่สำคัญของญี่ปุ่นก่อน และแล้วในเช้าวันที่ 6 ส.ค.1945 เวลา 08.15 น. 'Little Boy' ก็ถูกทิ้งลงกลางเมืองฮิโรชิม่า ซึ่งส่งผลให้เมืองพังพินาศ ชาวบ้านตายทันทีแปดหมื่นคน(แต่ยอดรวมในอีกสี่เดือนต่อมาคือหนึ่งแสนหกหมื่นหกพันคน)
ภาพ 'Fat Man' ที่นางาซากิ
แต่ถึงกระนั้นทางการญี่ปุ่นก็ยังดื้อแพ่งหาได้ยอมแพ้ไม่ จนในอีกสามวันต่อมาทางสหรัฐจึงได้ทิ้ง 'Fat Man' ที่ นางาซากิ ซึ่งก็สังเวยกันไปอีกสี่หมื่นคน(ยอดรวมแปดหมื่น) คราวนี้ในอีกหกวันต่อมาทางการญี่ปุ่นจึงได้ประกาศยอมแพ้อย่างไม่มีเงื่อนไข ปิดฉากสงครามโลกด้านเอเซียลงไปในที่สุด ซึ่งความชีช้ำครั้งนั้นเป็นอะไรที่คนญี่ปุ่นอยากจะลืมแต่ก็ลืมไม่ลงมาจนทุกวันนี้ ยังไงก็หวังว่าคงจะไม่มีใครถูกนิวเคลียร์ถล่มในเร็ววันนี้อีกน
*รวบรวมข้อมูลแบบมั่วๆ มาจาก wikipedia เน้อ*