วันพฤหัสบดีที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2553

Clash of the Titans (2010): ศึกอภินิหารเทพเจ้ามีเคือง


Clash of the Titans (2010) :

มาแล้วจ้า หนังใหญ่เรื่องแรกแห่งกองทัพหนังซัมเมอร์ปีนี้ ซึ่งก็เป็นหนังที่ใครหลายคนคงจะหมายหัวไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ แล้วว่างานนี้พลาดไม่ได้เชียว เพราะหนังแฟนตาซีที่รีเมคจากหนังชื่อเดียวกันในปี 81 เรื่องนี้ รับประกันความมันส์โดยพระเอกมาแรงแห่งยุคอย่าง Sam Worthington (Avatar [2009]) และ ผกก.ที่ถนัดทำหนังแอ็คชั่นเยี่ยง Louis Leterrier (The Incredible Hulk [2008]) แบบนี้จะพลาดกันได้ไงล่ะเนอะ





พระเอกมาแรงแห่งยุคกลับมาพบคอหนังอีกครั้ง
Perseus (Worthington) คือลูกครึ่งคน/เทพเจ้าซุส ที่ถูกจับถ่วงทะเลกะให้ตายตั้งแต่เกิด แต่ด้วยความที่เป็นพระเอกเอ๊ยลูกเทพเจ้าเลยรอดตายมาได้ และถูกเก็บมาชุบเลี้ยงจนเติบโตโดยชาวประมงแก่ๆ คนหนึ่ง ทว่าอนิจจาดันเกิดปัญหาง๊องแง๊งระหว่างมนุษย์กับเทพเจ้าซุสขึ้นพอดี เทพเจ้าฮาเดสผู้ครองแดนมรณาเลยสบช่องเข้ามาเป็นป๋าเสี้ยมยุแยงตะแคงรั่วให้ทะเลาะกัน ส่งผลให้ครอบครัวพระเอกเราโดนลูกหลงไปเต็มๆ เล่นเอาตายยกแก๊ง พระเอกเราซึ่งรอดตาย(อีกแล้ว)จึงพกความแค้นมาตุงมินิสเกิร์ต ต่อมาเมื่อเขาจับผลัดจับผลูได้เข้าร่วมกลุ่มผู้กล้าที่อาสาจะไปหาทางยับยั้งหายนะของเมืองอากอส ที่จะเกิดขึ้นในอีกสิบวัน การผจญภัยสุดเมพจึงได้เริ่มขึ้น ณ บัดเดี๋ยวนั้น เพราะเขาจะได้ต่อกรกับ เหล่าแมงป่องยักษ์ เมดูซ่าปิศาจสาว(หัวงู) และเหล่าตัวประหลาดนาๆ พันธุ์อีกเป็นโขยงเลยทีเดียว



ฉากแอ็คชั่นเล่นกันแบบไม่กลัวขาเขียว
คุณ ผกก.Louis Leterrier ทำหนังออกมาได้ดูเพลิดเพลินดี ไม่ว่าจะบรรดาฉากแอ็คชั่น เสื้อผ้าหน้าผม เหล่าตัวประหลาด และเอฟเฟกท์ที่ทำออกมาดูดี รวมถึงบรรดาโลเกชั่นที่แสนจะอเมซิ่งเสียจริง พระเอก Worthington ก็มาในมาดพระเอ๊กพระเอกซึ่งก็ไปได้ของแกเรื่อยๆ และเล่นคิวบู๊ได้อย่างดูแข็งขันดี (แต่ก็แอบดูแปลกๆ ในชุดโบราณที่ดูแล้วคล้ายกำลังสวมมินิสเกิร์ตอยู่) ส่วนคุณนางเอก Gemma Arterton (Quantum of Solace [2008]) ถึงจะมาในสภาพหน้าขาวว่อก ซึ่งไม่ค่อยจะได้ทำอะไรสักเท่าไหร่ แต่ก็ยังน่าชื่นชมในยามเล่นคิวบู๊ ที่เธอลงทุนล้มลุกคลุกคลานซะจนน่าจะเล่นเอาขาขาวๆ เขียวไปมิใช่น้อย(เหอๆ) ในขณะที่คนอื่นๆ ก็เล่นไปตามบทชนิดที่ไม่มีใครโดดเด่นขึ้นมา แต่ก็ไม่ได้ย่ำแย่อะไร




เสื้อผ้าหน้าผมดูดีมีชาติการ์ตูน
ถ้าเคยดูต้นฉบับปี 81 มาก่อนจะพบว่าหนังตัดเรื่องราวยิบย่อยออกไปเยอะทีเดียว แล้วหันมาเน้นการเดินเรื่องที่กระชับฉับไวตามสไตล์หนังเอาใจวัยทีนยุคนี้ ซึ่งส่งผลดีที่ทำให้หนังไม่ซับซ้อนดูเข้าใจง่าย ดูเพลิน เหมาะกับที่เป็นหนังซัมเมอร์นักเชียว แต่ก็ส่งผลเสียเช่นกัน เพราะทำให้หนังขาดเสน่ห์ ความขลัง แบบในต้นฉบับ และเป็นความบันเทิงที่ดูจบแล้วก็จบไป ไม่มีอะไรติดออกมาจากโรงหนัง นอกจาก อืม 'หนังสนุกดีเนอะ' (แต่ถ้าใครชอบคิดเอาสาระ ก็คงจะมีประเด็นให้ขบอยู่บ้าง) แต่เอ๊ะ เราต่างก็ตั้งใจไปดูหนังเรื่องนี้เอาสนุกไว้ก่อนอยู่แล้วไม่ใช่เร๊อะ อิอิ

  • + เป็นหนังแฟนตาซี ที่ดูเพลิดเพลิน วิวสวย งานสร้างและเอฟเฟคท์ดูดี ตามสไตล์หนังซัมเมอร์ที่ดี

  • - นอกนั้นแล้วไม่มีอะไรโดดเด่น หรือน่าจดจำ เป็นความบันเทิงที่ดูแล้วก็แล้วกันไป



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น