วันอังคารที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2553

Percy Jackson & the Olympians: The Lightning Thief (2010): หัวอกของคนเป็นลูก(เทพเจ้า)


Percy Jackson & the Olympians: The Lightning Thief (2010) :
มาอีกเรื่องแล้วครับพี่น้อง สำหรับหนังฮอลลีวู้ดที่สร้างจากวรรณกรรมแฟนตาซีสุดฮิต ซึ่งเล่มไหนเด็ดเล่มไหนดังก็จะถูกจับมาสร้างขึ้นจอใหญ่ซะหมด นัยว่าแต่ละสตูดิโอล้วนอยากจะมีแฟรนไชส์หนังสุดฮิตเหมือน The Lords of the Ring หรือไม่ก็ Harry Potter เป็นของตัวเองบ้าง ซึ่งที่สร้างๆ กันมาส่วนใหญ่ก็ล้วนแป้กกันเกือบทั้งนั้น และดูเหมือนหนังเรื่องนี้ที่ดัดแปลงจากเล่มแรก(จากทั้งหมดห้าเล่ม)ในหนังสือชุด Percy Jackson & the Olympians ของ Rick Riordan (ที่ฮิตไม่ใช่ย่อยในแวดวงคอหนังสือ) จะไม่ตูมตามอย่างที่หลายฝ่ายคาดการณ์เอาไว้ ที่สำคัญคือหนังถูกก่นด่าจากบรรดาแฟนหนังสือซะกระจุยกระจายเลยเชียวล่ะ


เจ๊เมดูซ่ามัวแต่เพลิดเพลินกับไอโฟนจนกำลังจะเจอดีเข้าแล้ว
ที่ถูกด่าคงเป็นเพราะตัดทอนเปลี่ยนแปลงเนื้อหาในหนังสือซะอุตลุด จนแฟนๆ รับไม่ได้ ส่วนเนื้อเรื่องในเวอร์ชั่นหนังก็ประมาณว่า ในยุคปัจจุบันเทพเจ้าโพเซดอน กับ เทพเจ้าซีอุส ฮึ่มๆ ใส่กันเพราะฝ่ายหลังโทษว่าฝ่ายแรกให้ Percy Jackson (Logan Lerman จาก Gamer [2009])ลูกชายที่เป็นครึ่งคนครึ่งเทพเจ้าดอดไปขโมยสายฟ้ามา ว่าแล้วก็ให้เวลา 14 วันเพื่อเอามาคืนไม่งั้นจะเปิดศึกเทพเจ้าให้โลกวุ่นวายแน่ ทางด้านหนุ่มน้อย Jackson ที่ไม่เคยรู้ฐานะอันแท้จริงของตนมาก่อนว่าเป็นลูกไผ ก็จะได้รู้กันล่ะทีนี้เพราะเหล่าทวยเทพต่างอยากได้สายฟ้านั้นไว้ครอบครอง และส่งสมุนมาตามล่าพระเอกเราจนเป็นเหตุให้แม่ของเขาถูกจับไปโดย Hades เทพเจ้าแห่งยมโลก ซึ่งหนุ่มน้อยของเราก็ต้องพยายามสุดฤทธิ์ที่จะช่วยแม่และหาทางหยุดยั้งสงครามเทพเจ้าที่กำลังจะบังเกิดขึ้นให้จงได้เอย


มิสเตอร์บอนด์ก็มากับเขาด้วย
ทางเราไม่เคยอ่านหนังสือ จึงขอว่ากันเฉพาะในส่วนของหนังอย่างเดียวก็แล้วกัน ผกก.Chris Columbus จาก Harry Potter สองตอนแรก กลับมาในหนังแนวนี้อีกครั้ง ซึ่งคราวนี้น้าเขาไม่อ้อยสร้อยให้มากความ เพราะหนังเดินเรื่องเร็วมาก แค่ไม่เกินนาทีที่ 15 ก็เริ่มมีฉากตื่นเต้นซะแล้ว ที่เป็นแบบนี้คงเพราะหนังมีเรื่องจะเล่าเยอะแต่เวลาจำกัดเลยทำให้ทุกอย่างดูปุบปับๆ จึงไม่สามารถทำให้คนดูได้มีเวลาผูกพันกับตัวละคร แต่จะรู้สึกว่าหนังตั้งหน้าตั้งตาเดินดุ่ยๆ จนขาดความรู้สึกและหย่อนความสนุกไปหน่อยแทน ส่วนการเลื่อนอายุพระเอกให้เป็น 16 แทนที่จะเป็น 12 ขวบเหมือนในหนังสือคงเพราะอยากให้หนังดูผู้ใหญ่ขึ้น(หมายถึงฐานคนดูที่กว้างขึ้นด้วย) ซึ่งอันนั้นก็ว่ากันไป


น้องเขาสามารถปั้นน้ำให้เป็นตรีศูล(สามง่าม)
เหล่านักแสดงก็ไปของเขาเรื่อยๆ ไม่มีอะไรโดดเด่น (บท Grover เพื่อนซี้พระเอกออกแนวน่ารำคาญมากว่าน่าขำ) แต่คนที่พอจะน่าจดจำหน่อยก็เจ๊ Uma Thurman ในบท Medusa (เสียดายที่เป็นแค่บทรองๆ) ในขณะที่งานด้านอื่นๆ ล้วนอยู่ในขั้นดีตามมาตรฐานฮอลลีวู้ด ถ้าเป็นแฟนหนังสือมาดูหนังเรื่องนี้คงจะไม่ค่อยชอบกันนัก เพราะเปลี่ยนแปลงหลายอย่างจนเกินงาม แต่ถ้าไม่เคยอ่านหนังสือชุดนี้มาก่อนจะพบว่าเป็นหนังแฟนตาซีสำหรับครอบครัวที่พอดูได้เพลินๆ ก็ต้องดูกันต่อไปว่าหนังภาคต่อจะออกมาให้ดูเมื่อไหร่ ยังไงก็หวังว่าจะสนุกกว่าภาคนี้เน้อ

  • น่าดูเพราะ: เป็นหนังแฟนตาซีสำหรับครอบครัวที่ดูได้เพลินๆ
  • ไม่น่าดูเพราะ: ถ้าเป็นแฟนตัวจริงของหนังสือมาดูคงจะมีเคือง และหนังไปดุ่ยๆ ดูจบแล้วก็แล้วกันไป



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น