TRON: Legacy (2010) :
ถึงภาคแรกที่ออกฉายเมื่อปี 1982 จะเจ๊งสนิทคนดูส่ายหน้า ทว่าคุณงามความดีของหนังก็เริ่มเปล่งประกายขึ้นมาอีกครั้งในยามที่หนังออกเป็นวีดีโอ แล้วก็ค่อยๆ สร้างขุมกำลังแฟนพันธุ์แท้ของหนังเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นกลุ่มเป็นก้อน และส่งผลให้ขึ้นหิ้งหนังคัลต์ไปในที่สุด ทางด้านดิสนีย์เจ้าของหนังก็เลยพยายามจะเข็นหนังภาคต่อออกมาตั้งแต่ช่วงปลายยุค 90 แต่จนแล้วจนรอดก็เพิ่งจะสร้างออกมาฉายได้ก็ในเดือนนี้นี่เอง นับว่านี่เป็นหนังซึ่งเป็นที่ตั้งตารอคอยจากบรรดาคอหนังมากที่สุดอีกเรื่องหนึ่งของปีนี้เลยทีเดียวเชียว
ถึงภาคแรกที่ออกฉายเมื่อปี 1982 จะเจ๊งสนิทคนดูส่ายหน้า ทว่าคุณงามความดีของหนังก็เริ่มเปล่งประกายขึ้นมาอีกครั้งในยามที่หนังออกเป็นวีดีโอ แล้วก็ค่อยๆ สร้างขุมกำลังแฟนพันธุ์แท้ของหนังเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นกลุ่มเป็นก้อน และส่งผลให้ขึ้นหิ้งหนังคัลต์ไปในที่สุด ทางด้านดิสนีย์เจ้าของหนังก็เลยพยายามจะเข็นหนังภาคต่อออกมาตั้งแต่ช่วงปลายยุค 90 แต่จนแล้วจนรอดก็เพิ่งจะสร้างออกมาฉายได้ก็ในเดือนนี้นี่เอง นับว่านี่เป็นหนังซึ่งเป็นที่ตั้งตารอคอยจากบรรดาคอหนังมากที่สุดอีกเรื่องหนึ่งของปีนี้เลยทีเดียวเชียว
ฉากแว๊นพิฆาตสุดเด็ดประจำเรื่อง
หลังจากพระเอกภาคที่แล้วอย่างป๋า Jeff Bridges (Iron Man [2008]) หายสาบสูญอย่างไร้ร่องรอยไปกว่า 20 ปี ในที่สุดลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเขาอย่าง Sam (Garrett Hedlund จาก Death Sentence [2007]) ก็มีอันต้องเข้าไปผจญภัยในโลกไซเบอร์ที่เรียกว่า"The Grid"ซึ่งพ่อของเขาเป็นคนสร้างขึ้นมากับมือ และที่นั่น Sam ก็ได้พบหน้าพ่อของเขาอีกครั้ง รวมทั้งการผจญภัยสุดไฮเทคปนเท่อีกมากมายสะใจเด็กแว๊นเขาล่ะ งานนี้คนซ้ายคือตัวเท่ประจำเรื่อง
ดิสนีย์กล้าหาญมากที่มอบหมายหน้าที่ ผกก.หนังทุนสร้างกว่า 200 ล้านเหรียญเรื่องนี้ให้แก่มือใหม่หัดทำหนังใหญ่วัย 36 ขวบ อย่าง Joseph Kosinski ที่เคยแต่ทำหนังโฆษณามาตลอด ซึ่งเขาก็สามารถทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดี ถึงหนังจะขึ้นชื่อว่าเป็นภาคต่อของหนังไซไฟสุดคัลต์ แต่ก็ออกมาดูง่ายดูเพลินไม่ซับซ้อน(แต่สำหรับขาจรอาจงงนิดๆ ในช่วงแรกๆ ของหนัง) ส่วนที่โดดเด่นมากๆ ก็คือด้านเทคนิคงานสร้าง เสื้อผ้าหน้าผม ซีจีทั้งหลายแหล่ และที่ลืมไม่ได้เลยก็คือดนตรีประกอบที่ได้สองหน่อ Daft Punk มาดูแลให้ชนิดที่ว่าเท่เข้ากับตัวหนังแบบสุดๆ ไปเลยล่ะ
พระเอกกำลังฝึกพิมพ์ดีดอย่างขะมักเขม้น
ทางด้านนักแสดง คนที่โดดเด่นจริงๆ แล้วควรจะต้องยกให้ป๋า Bridges เขาล่ะ เพราะมาในบทพ่อพระเอกและผู้ร้ายประจำเรื่อง(ที่เป็นซีจีป๋า Bridges เวอร์ชั่นสามสิบยังโฉด)ได้อย่างเข้าตาทั้งคู่ ส่วนอีกสองรายที่น่าจะได้ใจคนดูแน่ๆ ก็คือ นางเอก Quorra (Olivia Wilde จาก Year One [2009]) ที่ออกมาสวยเฉี่ยวมีเสน่ห์โดนใจหนุ่มๆ และลูกน้องตัวโกง Rinzler ที่ขอเน้นเก่งเท่แบบไม่ต้องพูดต้องจากันสักคำ (มาแนวเดียวกับตัวโกง Hellboy ภาคแรกเชียว) ป๋าเขามาทั้งเวอร์ชั่นแก่หนุ่มเลยนะเนี่ย
ส่วนทางด้าน 3D ของหนังนั้นก็เน้นไปทางมิติความตื้นลึก มากกว่าจะเน้นให้มีอะไรพุ่งทะลุจอมาหาคนดู ซึ่งก็ถือว่าทำได้ดีพอสมควร เพราะหนังก็ถ่ายทำเป็นแบบ 3D แต่แรกอยู่แล้ว (ไม่ได้มาแปลงเป็น 3D ทีหลังเหมือนอีกหลายเรื่อง) แต่ด้วยความที่หนังมีแต่ฉากมืดๆ ในโลกไซเบอร์ พอมาเจอจุดอ่อนของหนัง 3D เรื่องความมืดของภาพก็เลยส่งผลให้หนังยิ่งมันดูมืดๆ ทึมๆ ยังไงชอบกล ซึ่งนั่นก็ไม่ได้ถึงกับแย่จนเกินรับไหวหรอกจ้า ขอบอกนางเอกเราสวยเฉี่ยวโดนใจหนุ่มๆ เสียจริง
ถึงโดยรวมหนังจะไม่ได้ออกมาแจ่มถึงขั้นสร้างปรากฏการณ์หรือทำให้คอหนังต้องทึ่งไปตามๆ กันอย่าง Inception แต่หนังก็ทำออกมาได้ดีในระดับที่ไม่ทำให้แฟนพันธุ์แท้ต้องผิดหวังแน่นอน ส่วนแฟนพันธุ์ทางก็ยังดูสนุก ดูเพลินได้อยู่ แถมยังจะทำให้คนรุ่นใหม่อยากจะทำความรู้จักกับ Tron เวอร์ชั่นต้นฉบับมากขึ้นอีกต่างหาก เห็นหนังไปได้สวยบนตารางหนังทำเงินแบบนี้แล้ว สงสัยว่าเราคงจะได้ดูภาคต่อกันอีกแน่นอน แจ่มไปเลยจ้า*ปล.อิตา Cillian Murphy (จาก Inception) ก็โผล่มามีบทบาทกับเขาด้วยฉากหนึ่ง สังเกตดูดีๆ เน้อ ว่าตอนไหน อิอิ*
- จุดเด่น: เป็นหนังแอ็คชั่นไซไฟภาคต่อที่ทำออกมาได้เข้าท่า ดูเพลิน ถูกใจแฟนๆ จากภาคแรกแน่นอน ส่วนขาจรก็ยังดูสนุกไปได้ด้วย
- จุดด้อย: คนที่ยังไม่เคยผ่านตาภาคแรกมาอาจจะต้องใช้เวลาสักนิดกว่าจะจับต้นชนปลายเรื่องราวของหนังได้ และหนังก็เน้นเอาใจแฟนพันธุ์แท้ซึ่งเป็นผู้ใหญ่ใจเด็กมากกว่าจะเอาใจเด็กๆ เน้อ
*ช่วงเพลงในหนัง*
สองหน่อ Daft Punk โผล่มารวมแจมในหนังด้วย
สิ่งที่โดดเด่นมากอีกอย่างในหนังก็คือดนตรีประกอบ ที่ได้คู่หูอิเลคโทรนิคจากฝรั่งเศสอย่าง Daft Punk มาทำสกอร์ให้ ซึ่งพวกเขาสามารถนำเอาดนตรีแนวอิเลคโทรนิคมาผสมผสานกับวงออร์เคสต้า 85 ชิ้นได้ออกมาแจ่มแจ๋ว ฟังดูทั้งไฮเทคทั้งยิ่งใหญ่ เข้ากับตัวหนังได้อย่างดีเยี่ยมจริงๆ นับเป็นอีกหนึ่งอัลบั้มซาวน์แทร็คยอดเยี่ยมประจำปีนี้เลยทีเดียว(นอกจากซาวน์แทร็คหนัง Inception แล้ว) ที่เก๋ได้ใจคือในหนังตอนฉากพระเอกไปคลับ The End of the Line เราจะได้เห็นสองหน่อนี้โผล่มารับบทเป็นดีเจประจำคลับ ให้แฟนเพลงได้ยิ้มแก้มปริกันไปเลยทีเดียว ว่าแล้วเราก็มาฟังแทร็คแจ่มๆ จากในหนังกันเต๊อะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น