วันพฤหัสบดีที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2553

TRON: Legacy (2010): ศึกมหากาฬ แว๊นไซเบอร์


TRON: Legacy (2010) :
ถึงภาคแรกที่ออกฉายเมื่อปี 1982 จะเจ๊งสนิทคนดูส่ายหน้า ทว่าคุณงามความดีของหนังก็เริ่มเปล่งประกายขึ้นมาอีกครั้งในยามที่หนังออกเป็นวีดีโอ แล้วก็ค่อยๆ สร้างขุมกำลังแฟนพันธุ์แท้ของหนังเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นกลุ่มเป็นก้อน และส่งผลให้ขึ้นหิ้งหนังคัลต์ไปในที่สุด ทางด้านดิสนีย์เจ้าของหนังก็เลยพยายามจะเข็นหนังภาคต่อออกมาตั้งแต่ช่วงปลายยุค 90 แต่จนแล้วจนรอดก็เพิ่งจะสร้างออกมาฉายได้ก็ในเดือนนี้นี่เอง นับว่านี่เป็นหนังซึ่งเป็นที่ตั้งตารอคอยจากบรรดาคอหนังมากที่สุดอีกเรื่องหนึ่งของปีนี้เลยทีเดียวเชียว

ฉากแว๊นพิฆาตสุดเด็ดประจำเรื่อง
หลังจากพระเอกภาคที่แล้วอย่างป๋า Jeff Bridges (Iron Man [2008]) หายสาบสูญอย่างไร้ร่องรอยไปกว่า 20 ปี ในที่สุดลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเขาอย่าง Sam (Garrett Hedlund จาก Death Sentence [2007]) ก็มีอันต้องเข้าไปผจญภัยในโลกไซเบอร์ที่เรียกว่า"The Grid"ซึ่งพ่อของเขาเป็นคนสร้างขึ้นมากับมือ และที่นั่น Sam ก็ได้พบหน้าพ่อของเขาอีกครั้ง รวมทั้งการผจญภัยสุดไฮเทคปนเท่อีกมากมายสะใจเด็กแว๊นเขาล่ะ งานนี้


คนซ้ายคือตัวเท่ประจำเรื่อง
ดิสนีย์กล้าหาญมากที่มอบหมายหน้าที่ ผกก.หนังทุนสร้างกว่า 200 ล้านเหรียญเรื่องนี้ให้แก่มือใหม่หัดทำหนังใหญ่วัย 36 ขวบ อย่าง Joseph Kosinski ที่เคยแต่ทำหนังโฆษณามาตลอด ซึ่งเขาก็สามารถทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดี ถึงหนังจะขึ้นชื่อว่าเป็นภาคต่อของหนังไซไฟสุดคัลต์ แต่ก็ออกมาดูง่ายดูเพลินไม่ซับซ้อน(แต่สำหรับขาจรอาจงงนิดๆ ในช่วงแรกๆ ของหนัง) ส่วนที่โดดเด่นมากๆ ก็คือด้านเทคนิคงานสร้าง เสื้อผ้าหน้าผม ซีจีทั้งหลายแหล่ และที่ลืมไม่ได้เลยก็คือดนตรีประกอบที่ได้สองหน่อ Daft Punk มาดูแลให้ชนิดที่ว่าเท่เข้ากับตัวหนังแบบสุดๆ ไปเลยล่ะ


พระเอกกำลังฝึกพิมพ์ดีดอย่างขะมักเขม้น
ทางด้านนักแสดง คนที่โดดเด่นจริงๆ แล้วควรจะต้องยกให้ป๋า Bridges เขาล่ะ เพราะมาในบทพ่อพระเอกและผู้ร้ายประจำเรื่อง(ที่เป็นซีจีป๋า Bridges เวอร์ชั่นสามสิบยังโฉด)ได้อย่างเข้าตาทั้งคู่ ส่วนอีกสองรายที่น่าจะได้ใจคนดูแน่ๆ ก็คือ นางเอก Quorra (Olivia Wilde จาก Year One [2009]) ที่ออกมาสวยเฉี่ยวมีเสน่ห์โดนใจหนุ่มๆ และลูกน้องตัวโกง Rinzler ที่ขอเน้นเก่งเท่แบบไม่ต้องพูดต้องจากันสักคำ (มาแนวเดียวกับตัวโกง Hellboy ภาคแรกเชียว)

ป๋าเขามาทั้งเวอร์ชั่นแก่หนุ่มเลยนะเนี่ย
ส่วนทางด้าน 3D ของหนังนั้นก็เน้นไปทางมิติความตื้นลึก มากกว่าจะเน้นให้มีอะไรพุ่งทะลุจอมาหาคนดู ซึ่งก็ถือว่าทำได้ดีพอสมควร เพราะหนังก็ถ่ายทำเป็นแบบ 3D แต่แรกอยู่แล้ว (ไม่ได้มาแปลงเป็น 3D ทีหลังเหมือนอีกหลายเรื่อง) แต่ด้วยความที่หนังมีแต่ฉากมืดๆ ในโลกไซเบอร์ พอมาเจอจุดอ่อนของหนัง 3D เรื่องความมืดของภาพก็เลยส่งผลให้หนังยิ่งมันดูมืดๆ ทึมๆ ยังไงชอบกล ซึ่งนั่นก็ไม่ได้ถึงกับแย่จนเกินรับไหวหรอกจ้า ขอบอก


นางเอกเราสวยเฉี่ยวโดนใจหนุ่มๆ เสียจริง
ถึงโดยรวมหนังจะไม่ได้ออกมาแจ่มถึงขั้นสร้างปรากฏการณ์หรือทำให้คอหนังต้องทึ่งไปตามๆ กันอย่าง Inception แต่หนังก็ทำออกมาได้ดีในระดับที่ไม่ทำให้แฟนพันธุ์แท้ต้องผิดหวังแน่นอน ส่วนแฟนพันธุ์ทางก็ยังดูสนุก ดูเพลินได้อยู่ แถมยังจะทำให้คนรุ่นใหม่อยากจะทำความรู้จักกับ Tron เวอร์ชั่นต้นฉบับมากขึ้นอีกต่างหาก เห็นหนังไปได้สวยบนตารางหนังทำเงินแบบนี้แล้ว สงสัยว่าเราคงจะได้ดูภาคต่อกันอีกแน่นอน แจ่มไปเลยจ้า

*ปล.อิตา Cillian Murphy (จาก Inception) ก็โผล่มามีบทบาทกับเขาด้วยฉากหนึ่ง สังเกตดูดีๆ เน้อ ว่าตอนไหน อิอิ*

  • จุดเด่น: เป็นหนังแอ็คชั่นไซไฟภาคต่อที่ทำออกมาได้เข้าท่า ดูเพลิน ถูกใจแฟนๆ จากภาคแรกแน่นอน ส่วนขาจรก็ยังดูสนุกไปได้ด้วย
  • จุดด้อย: คนที่ยังไม่เคยผ่านตาภาคแรกมาอาจจะต้องใช้เวลาสักนิดกว่าจะจับต้นชนปลายเรื่องราวของหนังได้ และหนังก็เน้นเอาใจแฟนพันธุ์แท้ซึ่งเป็นผู้ใหญ่ใจเด็กมากกว่าจะเอาใจเด็กๆ เน้อ





*ช่วงเพลงในหนัง*

สองหน่อ Daft Punk โผล่มารวมแจมในหนังด้วย
สิ่งที่โดดเด่นมากอีกอย่างในหนังก็คือดนตรีประกอบ ที่ได้คู่หูอิเลคโทรนิคจากฝรั่งเศสอย่าง Daft Punk มาทำสกอร์ให้ ซึ่งพวกเขาสามารถนำเอาดนตรีแนวอิเลคโทรนิคมาผสมผสานกับวงออร์เคสต้า 85 ชิ้นได้ออกมาแจ่มแจ๋ว ฟังดูทั้งไฮเทคทั้งยิ่งใหญ่ เข้ากับตัวหนังได้อย่างดีเยี่ยมจริงๆ นับเป็นอีกหนึ่งอัลบั้มซาวน์แทร็คยอดเยี่ยมประจำปีนี้เลยทีเดียว(นอกจากซาวน์แทร็คหนัง Inception แล้ว) ที่เก๋ได้ใจคือในหนังตอนฉากพระเอกไปคลับ The End of the Line เราจะได้เห็นสองหน่อนี้โผล่มารับบทเป็นดีเจประจำคลับ ให้แฟนเพลงได้ยิ้มแก้มปริกันไปเลยทีเดียว ว่าแล้วเราก็มาฟังแทร็คแจ่มๆ จากในหนังกันเต๊อะ




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น