วันพุธที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2553

Enter the Void (2009): ทริปมึนๆ ของวิญญาณเมายา

Enter the Void (2009) :
ยังแรงกันต่อสำหรับผลงานล่าสุดของ ผกก.Gaspar Noé (Irréversible [2002]) ซึ่งจะว่าไปแล้วนี่ก็คือโปรเจกต์ในฝันของเขาเลยก็ว่าได้ เพราะเขาคิดอยากจะทำหนังที่เกี่ยวกับชีวิตหลังความตายแบบนี้มาตั้งแต่สมัยวัยรุ่นแล้ว แต่จนแล้วจดรอดก็ไม่ได้ทำเสียทีเพราะหนังต้องใช้ทุนสูง ยังดีนะที่ Irréversible ประสบความสำเร็จมากมาย จนมีนายทุนบ้าจี้ยอมออกทุนสร้างให้ เฮียเขาจึงได้ทำเรื่องนี้ออกมาสมใจเสียที


งานด้านภาพไม่ธรรมดาเลยจริงๆ
สำหรับเรื่องราวก็เกี่ยวกับ Oscar (Nathaniel Brown) และ Linda (Paz de la Huerta) สองศรีพี่น้องชาวมะกันที่สูญเสียพ่อแม่ไปจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ตั้งแต่สมัยพวกเขายังเด็กๆ พอโตมาทั้งคู่ก็ได้มาปักหลักอยู่ด้วยกันที่โตเกียว ญี่ปุ่น โดยทางพี่ชายเป็นพ่อค้ายารายย่อยที่ขอทั้งจำหน่ายและเล่นเองครบสูตรขี้ยาดีเด่น ส่วนน้องสาวก็เป็นนักระบำเปลื้องผ้าสุดฮ็อตประจำคลับแห่งหนึ่ง


ใครเคยนอนหลับคาส้วมบ้าง
แต่แล้วงานก็เข้าเมื่อพี่ชายโดนเพื่อนหักหลังมาล่อซื้อยาให้ตำรวจรอรวบตัว แล้วก็โดนวิสามัญเดี้ยงไปตามระเบียบ มาถึงตอนนี้ก็อย่าเพิ่งคิดว่าเราสปอยล์ตอนจบซะล่ะ เพราะอันที่จริงแล้วการตายของเขาเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นของหนังเท่านั้น ซึ่งหลังจากนั้นเราจะได้เห็นวิญญาณเขาหลุดออกจากร่าง ลอยละล่องไปทั่วโตเกียว เพื่อเฝ้าสังเกตการณ์บรรดาคนที่เขาเคยรู้จักมักจี่ สลับกับการพาระลึกชาติไปตั้งแต่ครั้งสมัยอดีตของเขา แม้แต่การพาเข้าไปสำรวจในช่องคลอดของผู้หญิงขณะกำลังมีเซ็กซ์ก็ยังอุตส่าห์พาไปเล๊ย (ป๊าด!)


มีสาวโป๊ให้ดูเพียบเชียว
ผลงานล่าสุดของ ผกก.Noé เรื่องนี้ช่างเต็มไปด้วยแสงสีฉูดฉาดวูบวาบ กับวิชั่นสุดบรรเจิด การใช้มุมกล้องก็เก๋และน่าทึ่งไม่ใช่เล่นเพราะเล่นถ่ายจากมุมมองแทนสายตาของพระเอกตลอดทั้งเรื่อง (แบบที่เรียกว่า POV: Point of View shot) หรือไม่ก็ถ่ายจากด้านหลังของพระเอกเท่านั้น พอมาเจอเรื่องราวที่พูดถึงยาเสพติด เซ็กซ์ และชีวิตหลังความตาย หนังก็เลยดูโคตรจะพิลึก สุดแนว เหมือนความฝัน หรือไม่ก็ราวกับเรากำลังเมายาอยู่ก็มิปานงั้นแหล่ะ


หน้าตาพระเอกของเรื่อง
ด้านความแรงความโป๊ของหนังเนี่ยไม่ต้องสืบ เพราะมีอยู่ตรึมในระดับน้องๆ เรต NC-17 กันเลยล่ะ (เอาแค่ครึ่งชม.สุดท้ายของหนังก็ร่ายยาวฉากเซ็กซ์กันตลอดแล้ว) แต่สำหรับปัญหาหลักของหนังคงจะไม่พ้นการใช้มุมมองแทนสายตาตลอดงานแบบนี้ โดยเฉพาะช่วงที่วิญญาณโบยบิน ซอกซอน สำรวจไปตามหลืบตามอาคาร ก็เล่นคนดูเอาปวดตาเวียนหัวได้เหมือนกัน(ช่วงไตเติ้ลของหนังก็ชวนตาลายใช่ย่อย) และการเล่าเรื่องที่ชวนมึนชวนงง ชวนตีความหมายของ ผกก.เขาที่น้อยคนคงจะเก็ทจากการดูเพียงครั้งเดียว

สองศรีพี่น้องประจำเรื่อง
ยังไงซะก็ยังถือว่านี่เป็นหนังที่แจ่มไม่ใช่เล่น เพราะทั้งแนวคิด วิชั่น เทคนิคการนำเสนอ ล้วนบรรเจิดทั้งสิ้น คิดดูสิว่าจะมีหนังสักกี่เรื่องที่สามารถจำลองภาพหลอนซึ่งคนกำลังเมายาเขาเห็นกันให้เราได้เห็นด้วย และยังพาคนดูโบยบินสำรวจไปทั่วโตเกียวยามค่ำคืน ที่เด็ดสุดคือแนวคิดที่ว่า ตอนที่เล่นยาเราบางคนอาจพบประสบการณ์สุดเคลิ้มคล้ายวิญญาณออกจากร่าง แต่มันก็แค่แป๊บเดียวเท่านั้น ซึ่งถ้าหากอยากเมายาตลอดกาลก็ลองตายดูสิ รับรองว่างานนี้คงได้เมายากันนันสตอปไปเลยล่ะ สนมะๆ? (อืมม มันคิดได้ไงเนี่ย...)
  • จุดเด่น: เป็นหนังฝรั่งเศสพูดอังกฤษถ่ายทำที่ญี่ปุ่น ที่มีการนำเสนอสุดบรรเจิด สีสันวูบวาบฉูดฉาด โป๊กระจาย แต่ก็ยังมีแนวคิดให้ขบคิด แหล่มไปเลยจ้า
  • จุดด้อย: หนังมีงานด้านภาพที่ชวนปวดตา ปวดตับ ดูมากๆ จะวิงเวียนศรีษะคล้ายจะเมาเอาได้ และหนังเล่าเรื่องแบบงงๆ จนอาจจะต้องดูมากกว่ารอบเดียวถึงจะเก็ต ซึ่งกว่าจะดูจบรอบเดียวก็เล่นเอาเหนื่อยแล้วเนี่ย เหอๆ






วันอังคารที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2553

Cashback (2006): หยุดเวลาไว้จี๊ดรัก


Cashback (2006) :
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว (เมื่อปี 2004) ยอดชายนาย Sean Ellis เกิดปิ๊งไอเดียกระฉูดทำหนังสั้นความยาว 18 นาทีที่เกี่ยวกับหนุ่มอารมณ์ศิลป์ที่อกหักจากแฟนสาว แล้วก็เกิดจิตตกนอนไม่หลับขึ้นมาเสียดื้อๆ ว่าแล้วก็เลยตัดสินใจไปสมัครทำงานกะกลางคืนในซูเปอร์มาเก็ตมันซะเลย แต่งานมันก็แสนจะน่าเบื่อจริงๆ เชียว เขาก็เลยจินตนาการแก้เซ็งว่าตนสามารถหยุดเวลาเอาไว้ได้ แล้วก็เที่ยวไปแก้ผ้าบรรดาลูกค้าสาวๆ สวยๆ ที่กำลังยืนนิ่งไม่ไหวติงจากการหยุดเวลานั้น เพื่อเอามาเป็นแบบให้ตนวาดรูปเปลือย ชนิดสะใจโก๋ไปเลยล่ะงานนี้


บางทีรักจี๊ดๆ ก็เกิดขึ้นในซูเปอร์มาเก็ตได้เหมือนกันนะ
ตัวหนังสั้นนี้นั้นก็ทำออกมาโดนใจทุกคนที่ได้ดูเอามากๆ จนกวาดรางวัลเวทีต่างๆ มาเพียบ ส่งผลให้ ผกก.เราต้องต่อยอดขยายเรื่องราวให้กลายเป็นหนังยาวมันซะเลย ประจวบเหมาะกับการที่ตัวหนังถูกเสนอชื่อเข้าชิงออสก้าร์สาขาหนังสั้นยอดเยี่ยมในปี 2006 อีกด้วย(แต่สุดท้ายก็กินแห้ว) ผลก็เลยออกมาเป็นหนังรักตลกไอเดียสุดเก๋ปนเซ็กซี่เรื่องนี้ไปในที่สุด


ดูหน้าตาพวกพระเอกเราแต่ละคนซะก่อน
ผกก.Ellis เขามีสไตล์การเล่าเรื่องที่แนวไม่ใช่เล่น เราจึงจะได้เห็นไอเดียสร้างสรรค์ในหนังเพียบเลยล่ะ ทั้งงานด้านภาพและการตัดต่อที่ดูดีตามสไตล์มิวสิควีดีโอ แถม ผกก.ยังยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียงโดยเอาหนังฉบับเดิม มาแปะไว้ในหนังเวอร์ชั่นยาวเพื่อเป็นการประหยัดงบได้ชนิดเนียนๆ ไร้รอยต่อชวนสะดุดอารมณ์ และก็มีไดอะล็อกโดนๆ กับฉากจี๊ดๆ เก๋ๆ ให้คอหนังได้ปลื้มกันอีกด้วย


หนังเต็มไปด้วยสาวสวยๆ (มาโชว์เต้า)
อีกอย่างหนึ่งที่โดดเด่นมากๆ ในหนังก็คือความโป๊ ที่โป๊กระหน่ำซัมเมอร์เซลชนิดเห็นเต้าลอยไปลอยมาอยู่หลายฉากหลายตอน(แต่ออกแนวศิลปะไม่อนาจาร) ซึ่งตรงนี้บรรดาหนุ่มๆ คงจะแฮปปี้ดีแทคกันเป็นพิเศษ ส่วนบางช่วงก็มาด้วยมุกหนังตลกพื้นๆ ที่ส่งผลให้ความแจ่มของหนังลดน้อยลงไปพอสมควร และอะไรหลายๆ อย่างก็ดูจะคลี่คลายไปในทางแง่บวกง่ายๆ ไปนิด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นหนังโดยรวมก็ออกมาฟีลกู้ด ดูเพลิน การนำเสนอก็เข้าท่า แนวนิดๆ แถมยังจี๊ดได้อีกต่างหากจ้า
  • จุดเด่น: เป็นหนังรักตลกจากอังกฤษที่ไอเดียดี การนำเสนอเก๋ เต็มไปด้วยสาวเปลือยถูกใจหนุ่มๆ และยังมีอะไรจี๊ดๆ โดนใจคอหนังรักได้อีกด้วย แหล่มไปเลยจ้า
  • จุดด้อย: บางช่วงดูเป็นหนังตลกแบบพื้นๆ ไปอย่างน่าเสียดาย และสาวโป๊เพียบซะปานนี้ คงจะไม่ใช่หนังที่นั่งดูกันได้พร้อมหน้าพร้อมตากันทั้งครอบครัวหรอกนะ เหอๆ


งานด้านภาพดูสวยเก๋ไม่ใช่เล่น





*ช่วงเพลงในหนัง*

Grand Avenue
เพลงที่ใช้ในช่วงเอนด์เครดิตเป็นผลงานของวงร็อคสี่หนุ่มจากเดนมาร์กที่ชื่อ Grand Avenue ซึ่งเพลงที่ว่าก็คือ 'She' เพลงจังหวะโจ๊ะปานกลาง ทำนองติดหูง่าย เข้ากับความแนวของหนังได้ไม่เลวทีเดียว ว่าแล้วเราก็มาฟังกันเลยจ้า





วันจันทร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2553

Wristcutters: A Love Story (2006): เลิฟสตอรี่ของผีตายโหง


Wristcutters: A Love Story (2006) :
หนังโรแมนติกคอมเมดี้ทุนเล็กๆ เรื่องนี้ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว เพราะหยิบเอาไอเดียที่เกี่ยวกับชีวิตหลังความตายมายำคลุกกับแนวแฟนตาซีเหวอๆ โร้ดมูวี่แจ่มๆ และตลกร้ายขำๆ เข้าไปจนหนังออกมาเก๋ไก๋สไลเดอร์ไม่หยอก ถูกใจคอหนังแนวๆ (แนวไหนก็ไม่รู้)เสียเหลือเกินเชียว (แต่ตอนออกฉาย หนังเจ๊งสนิทจ้า เหอๆ)

ก็ผีเขาจะรักกัน ใครจะทำไม
หลังจากที่ยอดชายนาย Zia (Patrick Fugit จาก Almost Famous [2000]) อกหักรักคุดจากแฟนสาวแสนสวย เขาก็ตัดสินใจฆ่าตัวตายโดยการเชือดข้อมือตนเองเสียจนม่องเท่ง รู้ตัวอีกทีก็มาอยู่ในแดนมรณาที่มีไว้สำหรับคนที่ฆ่าตัวตายซะแล้ว ซึ่งที่นั่นเกือบจะเหมือนกับบนแดนคนเป็นทุกประการ จะต่างกันก็ตรงที่ ที่นี่ดูหมองเศร้าอับเฉากว่า แถมยังไร้ดวงดาว ไร้ดอกไม้ และทุกดวงวิญญาณที่นั่นต่างก็ไร้ซึ่งรอยยิ้ม เป็นผียิ้มยากกันซะทุกตัวไป


เมืองผีเขาก็มีพิซซ่าขายนะ ขอบอก
แล้ววิญญาณของพระเอกเราก็รู้สึกกระชุ่มกระชวยขึ้นมาได้อีกครั้ง เมื่อเขาได้ยินจากใครบางคนว่า แฟนสาวของเขาก็ฆ่าตัวตายหลังจากที่เขาตายไปได้ไม่นาน ทำให้เขาตัดสินใจออกเดินทางไปตามหาสาวเจ้า จนเกิดเป็นเรื่องราวสไตล์โร้ดมูวี่ในดินแดนเมืองผี ปนเรื่องราวความรักจี๊ดๆ ซึมลึก สไตล์เราสองสามคน ให้คอหนังได้เพลิดเพลินจำเริญใจยามที่ได้ชมเอย

คนนี้คือแสงประกายอันเจิดจ้าของหนังเรื่องนี้
ผกก.Goran Dukic ดัดแปลงเรื่องสั้นชื่อ"Kneller's Happy Campers" ออกมาเป็นหนังยาวได้อย่างเข้าท่าเข้าทางดี หนังเด่นตรงที่จับเอาไอเดียและแนวทางอันหลากหลายมาผสมผสานกันจนออกมาเป็นหนังที่มีความแตกต่างจากเรื่องอื่นๆ แต่ถึงจะแนวปานนี้ก็ไม่ได้ออกมาดูยากแต่ประการใด แถมยังจะโดนใจคอหนังได้ไม่ยากเลย ส่วนบรรดาตัวละครในหนังล้วนแต่มีความน่ารักเฉพาะตัวด้วยกันทั้งสิ้น โดยเฉพาะพระนางของเราที่เปี่ยมเสน่ห์ได้ใจคนดูไปเต็มๆ (โดยเฉพาะนางเอก อิอิ) เป็นหนังรักแบบผีๆ ปนโรดมูวี่ที่น่าสนใจเสียจริงๆ จ้า
  • จุดเด่น: เป็นหนังโรแมนติกคอมเมดี้ที่มาด้วยไอเดียแปลกกว่าทั่วๆ ไป แถมยังจี๊ดได้อีกต่างหาก
  • จุดด้อย: บางทีอาจจะพิลึกเกินไปสำหรับคอหนังโรแมนติคคอมเมดี้ทั่วๆ ไปก็ได้นะ



วันอาทิตย์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2553

In My Skin (2002): ซาดิสม์วันละนิดจิตแจ่มใส


In My Skin (2002) :
สาวออฟฟิศนาม Esther (Marina de Van) ดันไปหกล้มจนได้แผลเหวอะหวะที่ขา ณ งานปาร์ตี้ในค่ำคืนหนึ่ง ต่อมาเธอก็พบว่าตนหาได้มีความเจ็บปวดต่อบาดแผลนั้นไม่ แถมยังรู้สึกอยากจะ เฉือน กรีด ผ่า ร่างกายตนให้เลือดไหลออกมาแล้วก็ดื่มกินมัน ซึ่งนับวันเธอก็ยิ่งกระสันที่จะทำอย่างนี้มากขึ้นทุกทีจนควบคุมตนเองไม่ได้ เรียกได้ว่าเธอเสพติดและดื่มด่ำไปกับการ 'กินตนเอง' ซะแล้ว อ่าา งานนี้เสื่อมได้ใจอีกแล้วครับทั่น


ดื่มเลือดตนเองนี่มันก็อร่อยไปอีกแบบนะ
Esther Marina de Van ขอเหมาหน้าที่ทั้ง แสดงนำ เขียนบท กำกับ เองเลย ซึ่งก็นะ หนังจิตๆ แบบนี้การที่ได้คนหน้าตาออกจิตๆ อย่างเจ๊มาแสดงเนี่ยมันช่างสมกันอย่างกับผีเน่ากับโลงผุเสียจริงๆ (แถมตอนเจ๊โป๊ก็ดูเซ็กซ์เสื่อมมากกว่าเซ็กซี่ซะอีก) หนังมาแบบเรื่อยๆ ไม่ฉูดฉาดระทึกขวัญ แต่ก็ยังหวาดเสียวได้อยู่ และงานด้านภาพที่มีการแบ่งเฟรมครึ่งจอในบางฉากซึ่งก็ดูเก๋และสื่อความหมายดีไปอีกแบบ

เลือดเขรอะเชียวนะเจ๊
หนังเสนอภาพการเสพเลือดเนื้อตนเองของนางเอก แบบที่ดื่มด่ำ ลุ่มหลง ซาบซ่าน ปานกำลังมีเซ็กซ์ (แถมชียังถ่ายรูปเก็บไว้ดูอีกแน่ะ) โดยไม่ได้ออกแนวทรมานทรกรรมแม้แต่นิด และจบแบบปลายเปิดไม่ได้มีบทสรุปของเรื่องที่แน่ชัด ให้คนดูเอาไปตีความกันเองตามประสาหนังอาร์ตทั้งหลาย ในขณะที่ด้านฉากแหว่ะแม้จะไม่มีแบบเห็นจะๆ แต่แค่ฟังจากเสียง เห็นจากสีหน้าท่าทางนางเอก ก็เล่นเอาคนดูเสียวไส้ไปตามๆ กันได้แล้วล่ะ


คอหนังคัลต์คงจะคุ้นหน้าอิตาคนนี้กันดี
หนังสยองขวัญฝรั่งเศสเรื่องนี้มาแปลกกว่าเรื่องอื่นๆ ตรงที่ไม่ได้เสนอเรื่องราวการจับชาวบ้านไปทรมานแล่เนื้อเถือหนัง แต่เป็นการทำร้ายร่างกายตนเองแบบดื่มด่ำ ซึ่งมันก็แปลกแตกต่างดีและเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศที่ไม่เลวสำหรับคอหนังแนวทรมานบันเทิงที่เบื่อหนังสไตล์เดิมๆ แล้ว เก่งมากจ่ะ แม่คุ๊ณณ
  • จุดเด่น: เป็นหนังดราม่าสยองขวัญเล็กๆ จากฝรั่งเศสที่แปลกแตกต่างจากหนังแนวนี้เรื่องอื่นๆ แถมยังอาร์ตชวนตีความเสียด้วยสิ
  • จุดด้อย: เป็นหนังที่เสื่อมและจิตได้ใจ ไม่เหมาะกับคอหนังทั่วๆ ไปที่ยังไม่มีภูมิคุ้มกันความเสื่อมเน้อ เหอๆ




วันเสาร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2553

Black Swan (2010): นางพญาหงส์หลอน

Black Swan (2010) :
"Darren Aronofsky ชื่อนี้ทำแต่หนังคุณภาพ" คือสโลแกนที่เราตั้งให้ ผกก.ชาวมะกันวัย 41 ขวบรายนี้ และสำหรับผลงานเรื่องล่าสุดของเขานี้ก็ยังคงเปี่ยมทั้งคุณภาพความบันเทิงครบครัน ชนิดที่น่าจะได้ดิบได้ดีบนเวทีแจกรางวัลต่างๆ ชัวร์ ที่สำคัญคือนางเอก Natalie Portman เขาฝากบทบาทการแสดงระดับสุดยอดไว้ให้คอหนังได้ทึ่ง จนเธอน่าจะมีสิทธิ์ซิวออสก้าร์นำหญิงครั้งต่อไปมานอนกอดได้ไม่ยากเลยล่ะ


โฉมหน้านางหงส์ทั้งสองสี
หนังทริลเลอร์จิตวิทยาเรื่องนี้เสนอเรื่องราวของสาวน้อย Nina (Portman) นักบัลเล่ต์สาวแสนอินโนเซ้นท์ผู้ที่อยากครองบทบาทสำคัญของการแสดงบัลเล่ต์เรื่อง Swan Lake เสียยิ่งกว่าอะไร และด้วยความทุ่มเทบวกกับฝีมือในที่สุดเธอก็คว้าบทนี้มาได้ แต่ปัญหาก็ยังมี คือเธอจะต้องรับบท Black Swan ควบคู่ไปด้วย ซึ่งเธอดันแบ๊วเกินไปสำหรับบทบาทนี้ เมื่อเธอพยายามจะอินกับบทบาทนี้มากขึ้นเท่าไร เธอก็ยิ่งพบกับเรื่องราวสุดหลอนมากขึ้นตามไปด้วย จนท่านผู้ชมจะต้อง อึ้ง ทึ่ง เสียว ซี้ด ไปกับชะตากรรมของเธอเลยทีเดียว


นางเอกเราผอมได้ใจในเรื่องนี้
ผกก. Aronofsky ยังคงแฮปปี้กับการทำหนังทุนต่ำ และพาคนดูไปสำรวจกับอีกหนึ่งอาชีพที่ไม่ธรรมดาอย่างนักบัลเล่ต์(เรื่องที่แล้วก็นักมวยปล้ำ) แถมคราวนี้ยังเติมความหลอนแบบหนังลึกลับระทึกขวัญเข้ามาอีกนั่น หนังเต็มไปด้วยบรรยากาศที่ไม่น่าไว้วางใจ และมีฉาบวาบหวิวอีกเพียบ(แต่ก็ไม่โป๊เปลือยนะ) เมื่อมาเจอสไตล์การเล่าเรื่องและงานด้านภาพที่สื่อความหมายอันเป็นเครื่องหมายการค้าของเขาเข้าด้วย หนังก็เลยออกมาน่าพอใจมากๆ ทีเดียว

เจ๊ Winona Ryder ก็โผล่มาร่วมแจมกะเขาด้วย
แต่ที่ทำให้หนังแจ่มขึ้นไปอีกขั้นก็คือสาว Portman ที่ทำหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยมในบทสาวผู้บอบบางปนเก็บกดที่ต้องมาเจอเรื่องสุดหลอนเข้าจนแทบสติแตก และเธอยังดูไหลลื่นมากๆ ในฉากที่ต้องเต้นบัลเล่ต์(เธอลงทุนเรียนบัลเล่ต์กว่าหกเดือนเพื่อหนังเรื่องนี้) จนเรียกได้ว่าเธอคือทุกสิ่งทุกอย่างของหนังเรื่องนี้เลยก็ว่าได้ เห็นลีลาของเธอแล้วแทบจะปูผ้ากราบงามๆ พร้อมประเคนออสก้าร์นำหญิงให้ไปเลยทีเดียวสองตัว(ถ้ามีให้น่ะนะ อิอิ) สรุปว่านี่เป็นหนังที่แจ่มที่สุดอีกเรื่องหนึ่งของปีนี้ที่คอหนังคุณภาพไม่ควรพลาดเชียวแหล่ะครับพี่น้อง


ชีสวยและน่าทนุถนอมจริงๆ
  • จุดเด่น: ชื่อของผกก.เขายังคงขลังอยู่ หนังออกมาน่าพอใจมาก โดยเฉพาะการแสดงของคุณ Portman ที่เห็นแล้วน่าประเคนออสก้าร์ให้ในบัดเดี๋ยวนั้นเลย เพราะว่าคุณคู่ควร!
  • จุดด้อย: หนังที่เกี่ยวกับบัลเล่ต์แบบนี้ คงจะมีหลายคนที่ดูแล้วไม่ค่อยอินเท่าไหร่มั้ง





วันพฤหัสบดีที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2553

TRON: Legacy (2010): ศึกมหากาฬ แว๊นไซเบอร์


TRON: Legacy (2010) :
ถึงภาคแรกที่ออกฉายเมื่อปี 1982 จะเจ๊งสนิทคนดูส่ายหน้า ทว่าคุณงามความดีของหนังก็เริ่มเปล่งประกายขึ้นมาอีกครั้งในยามที่หนังออกเป็นวีดีโอ แล้วก็ค่อยๆ สร้างขุมกำลังแฟนพันธุ์แท้ของหนังเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นกลุ่มเป็นก้อน และส่งผลให้ขึ้นหิ้งหนังคัลต์ไปในที่สุด ทางด้านดิสนีย์เจ้าของหนังก็เลยพยายามจะเข็นหนังภาคต่อออกมาตั้งแต่ช่วงปลายยุค 90 แต่จนแล้วจนรอดก็เพิ่งจะสร้างออกมาฉายได้ก็ในเดือนนี้นี่เอง นับว่านี่เป็นหนังซึ่งเป็นที่ตั้งตารอคอยจากบรรดาคอหนังมากที่สุดอีกเรื่องหนึ่งของปีนี้เลยทีเดียวเชียว

ฉากแว๊นพิฆาตสุดเด็ดประจำเรื่อง
หลังจากพระเอกภาคที่แล้วอย่างป๋า Jeff Bridges (Iron Man [2008]) หายสาบสูญอย่างไร้ร่องรอยไปกว่า 20 ปี ในที่สุดลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเขาอย่าง Sam (Garrett Hedlund จาก Death Sentence [2007]) ก็มีอันต้องเข้าไปผจญภัยในโลกไซเบอร์ที่เรียกว่า"The Grid"ซึ่งพ่อของเขาเป็นคนสร้างขึ้นมากับมือ และที่นั่น Sam ก็ได้พบหน้าพ่อของเขาอีกครั้ง รวมทั้งการผจญภัยสุดไฮเทคปนเท่อีกมากมายสะใจเด็กแว๊นเขาล่ะ งานนี้


คนซ้ายคือตัวเท่ประจำเรื่อง
ดิสนีย์กล้าหาญมากที่มอบหมายหน้าที่ ผกก.หนังทุนสร้างกว่า 200 ล้านเหรียญเรื่องนี้ให้แก่มือใหม่หัดทำหนังใหญ่วัย 36 ขวบ อย่าง Joseph Kosinski ที่เคยแต่ทำหนังโฆษณามาตลอด ซึ่งเขาก็สามารถทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดี ถึงหนังจะขึ้นชื่อว่าเป็นภาคต่อของหนังไซไฟสุดคัลต์ แต่ก็ออกมาดูง่ายดูเพลินไม่ซับซ้อน(แต่สำหรับขาจรอาจงงนิดๆ ในช่วงแรกๆ ของหนัง) ส่วนที่โดดเด่นมากๆ ก็คือด้านเทคนิคงานสร้าง เสื้อผ้าหน้าผม ซีจีทั้งหลายแหล่ และที่ลืมไม่ได้เลยก็คือดนตรีประกอบที่ได้สองหน่อ Daft Punk มาดูแลให้ชนิดที่ว่าเท่เข้ากับตัวหนังแบบสุดๆ ไปเลยล่ะ


พระเอกกำลังฝึกพิมพ์ดีดอย่างขะมักเขม้น
ทางด้านนักแสดง คนที่โดดเด่นจริงๆ แล้วควรจะต้องยกให้ป๋า Bridges เขาล่ะ เพราะมาในบทพ่อพระเอกและผู้ร้ายประจำเรื่อง(ที่เป็นซีจีป๋า Bridges เวอร์ชั่นสามสิบยังโฉด)ได้อย่างเข้าตาทั้งคู่ ส่วนอีกสองรายที่น่าจะได้ใจคนดูแน่ๆ ก็คือ นางเอก Quorra (Olivia Wilde จาก Year One [2009]) ที่ออกมาสวยเฉี่ยวมีเสน่ห์โดนใจหนุ่มๆ และลูกน้องตัวโกง Rinzler ที่ขอเน้นเก่งเท่แบบไม่ต้องพูดต้องจากันสักคำ (มาแนวเดียวกับตัวโกง Hellboy ภาคแรกเชียว)

ป๋าเขามาทั้งเวอร์ชั่นแก่หนุ่มเลยนะเนี่ย
ส่วนทางด้าน 3D ของหนังนั้นก็เน้นไปทางมิติความตื้นลึก มากกว่าจะเน้นให้มีอะไรพุ่งทะลุจอมาหาคนดู ซึ่งก็ถือว่าทำได้ดีพอสมควร เพราะหนังก็ถ่ายทำเป็นแบบ 3D แต่แรกอยู่แล้ว (ไม่ได้มาแปลงเป็น 3D ทีหลังเหมือนอีกหลายเรื่อง) แต่ด้วยความที่หนังมีแต่ฉากมืดๆ ในโลกไซเบอร์ พอมาเจอจุดอ่อนของหนัง 3D เรื่องความมืดของภาพก็เลยส่งผลให้หนังยิ่งมันดูมืดๆ ทึมๆ ยังไงชอบกล ซึ่งนั่นก็ไม่ได้ถึงกับแย่จนเกินรับไหวหรอกจ้า ขอบอก


นางเอกเราสวยเฉี่ยวโดนใจหนุ่มๆ เสียจริง
ถึงโดยรวมหนังจะไม่ได้ออกมาแจ่มถึงขั้นสร้างปรากฏการณ์หรือทำให้คอหนังต้องทึ่งไปตามๆ กันอย่าง Inception แต่หนังก็ทำออกมาได้ดีในระดับที่ไม่ทำให้แฟนพันธุ์แท้ต้องผิดหวังแน่นอน ส่วนแฟนพันธุ์ทางก็ยังดูสนุก ดูเพลินได้อยู่ แถมยังจะทำให้คนรุ่นใหม่อยากจะทำความรู้จักกับ Tron เวอร์ชั่นต้นฉบับมากขึ้นอีกต่างหาก เห็นหนังไปได้สวยบนตารางหนังทำเงินแบบนี้แล้ว สงสัยว่าเราคงจะได้ดูภาคต่อกันอีกแน่นอน แจ่มไปเลยจ้า

*ปล.อิตา Cillian Murphy (จาก Inception) ก็โผล่มามีบทบาทกับเขาด้วยฉากหนึ่ง สังเกตดูดีๆ เน้อ ว่าตอนไหน อิอิ*

  • จุดเด่น: เป็นหนังแอ็คชั่นไซไฟภาคต่อที่ทำออกมาได้เข้าท่า ดูเพลิน ถูกใจแฟนๆ จากภาคแรกแน่นอน ส่วนขาจรก็ยังดูสนุกไปได้ด้วย
  • จุดด้อย: คนที่ยังไม่เคยผ่านตาภาคแรกมาอาจจะต้องใช้เวลาสักนิดกว่าจะจับต้นชนปลายเรื่องราวของหนังได้ และหนังก็เน้นเอาใจแฟนพันธุ์แท้ซึ่งเป็นผู้ใหญ่ใจเด็กมากกว่าจะเอาใจเด็กๆ เน้อ





*ช่วงเพลงในหนัง*

สองหน่อ Daft Punk โผล่มารวมแจมในหนังด้วย
สิ่งที่โดดเด่นมากอีกอย่างในหนังก็คือดนตรีประกอบ ที่ได้คู่หูอิเลคโทรนิคจากฝรั่งเศสอย่าง Daft Punk มาทำสกอร์ให้ ซึ่งพวกเขาสามารถนำเอาดนตรีแนวอิเลคโทรนิคมาผสมผสานกับวงออร์เคสต้า 85 ชิ้นได้ออกมาแจ่มแจ๋ว ฟังดูทั้งไฮเทคทั้งยิ่งใหญ่ เข้ากับตัวหนังได้อย่างดีเยี่ยมจริงๆ นับเป็นอีกหนึ่งอัลบั้มซาวน์แทร็คยอดเยี่ยมประจำปีนี้เลยทีเดียว(นอกจากซาวน์แทร็คหนัง Inception แล้ว) ที่เก๋ได้ใจคือในหนังตอนฉากพระเอกไปคลับ The End of the Line เราจะได้เห็นสองหน่อนี้โผล่มารับบทเป็นดีเจประจำคลับ ให้แฟนเพลงได้ยิ้มแก้มปริกันไปเลยทีเดียว ว่าแล้วเราก็มาฟังแทร็คแจ่มๆ จากในหนังกันเต๊อะ