Everything Must Go (2010) :
เฮีย Will Ferrell นับเป็นหนึ่งในนักแสดงตลกชายระดับเต้ยแห่งยุคนี้ แม้ว่าชื่อเสียงนอกอเมริกาของเขาดูจะด้อยกว่าเพื่อนร่วมสำนัก Saturday Night Live คนอื่นๆ อยู่บ้างก็ตามที และก็เป็นไปตามธรรมเนียมของดาราตลกชื่อก้องทั้งหลาย ที่พอดังถึงจุดหนึ่งก็จะหันไปเล่นหนังแนวที่ซีเรียสขึ้นมาบ้าง นัยว่าเพื่อเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศกลัวคนดูเฝือและยังเป็นการพิสูจน์ฝีมือการแสดงของตนให้ประชาชีได้รู้เช่นเห็นชาติรู้แจ้งเห็นจริงอีกด้วย
เฮีย Will Ferrell นับเป็นหนึ่งในนักแสดงตลกชายระดับเต้ยแห่งยุคนี้ แม้ว่าชื่อเสียงนอกอเมริกาของเขาดูจะด้อยกว่าเพื่อนร่วมสำนัก Saturday Night Live คนอื่นๆ อยู่บ้างก็ตามที และก็เป็นไปตามธรรมเนียมของดาราตลกชื่อก้องทั้งหลาย ที่พอดังถึงจุดหนึ่งก็จะหันไปเล่นหนังแนวที่ซีเรียสขึ้นมาบ้าง นัยว่าเพื่อเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศกลัวคนดูเฝือและยังเป็นการพิสูจน์ฝีมือการแสดงของตนให้ประชาชีได้รู้เช่นเห็นชาติรู้แจ้งเห็นจริงอีกด้วย
เฮีย Ferrell เล่นบทที่ไม่บ้าบอก็เป็นนะจ้ะ
Nick Halsey หนุ่มใหญ่พนักงานบริษัทแห่งหนึ่ง ซึ่งตัวเขาเองนั้นมีปัญหาติดเหล้ามาช้านานแล้ว และในที่สุดวันหนึ่งเขาก็ถูกไล่ออกจากงานเพราะความเมาทำพิษ ครั้นพอกลับไปถึงที่บ้านก็พบว่าเมียของเขาหนีไปแล้วพร้อมกับขนข้าวของๆ เขามากองทิ้งไว้หน้าบ้าน แถมยังยึดบ้านยึดเงินเรียบจนเฮียเขาไปต่อไม่ถูกเลยทีเดียว ซึ่งเราก็ต้องติดตามกันต่อไปว่าเฮียเขาจะทำยังไงกับชีวิตอันอับเฉาของตนล่ะนะ จุ๊บๆ
หนูน้อย(แต่ตัวใหญ่)คนนี้ทำหน้าที่ได้ไม่เลวเลยทีเดียว
ผกก.Dan Rush ประเดิมผลงานเรื่องแรกนี้ได้อย่างน่าดูชม ถึงแม้หนังจะมาด้วยเรื่องราวบ้านๆ พื้นๆ มีนักแสดงไม่กี่คน ฉากไม่กี่ฉาก ไม่มีอะไรพิศดารมาฝาก แต่ทั้งสิ่งทั้งปวงที่ปรากฏบนจอล้วนช่วยส่งเสริมให้หนังออกมาน่าพอใจเกินคาด ทั้งการแสดงของเฮีย Ferrell ที่ทำหน้าที่แบกรับหนังทั้งเรื่องได้เป็นอย่างดี มอบการแสดงที่ทั้งดูน่าเห็นใจและอบอุ่น ไม่มีติดตลกบ้าบอมาให้เห็นสักนิด นักแสดงสมทบแจ่มๆ ดนตรีประกอบเพราะเศร้าหงอยซึ้ง อีกทั้งงานด้านภาพอันเปี่ยมไปด้วยโทนอบอุ่นเต็มไปด้วยความหวัง
สนามหญ้าหน้าบ้านคือฉากหลักของหนัง
นอกจากจะดูเพลินดูดีแล้ว หนังยังมีข้อคิดคำคมในการดำเนินชีวิตมาฝากเพียบ โดยเฉพาะในแง่ให้กำลังใจสำหรับผู้ที่ประสบเรื่องแย่ วันมามาก ผู้ที่ทำผิดพลาดจนเกิดความสูญเสียมหาศาล จนไม่รู้จะทำยังไงกับชีวิตต่อดี ซึ่งบางทีสิ่งที่เราควรทำก็คือปล่อยวาง และตระหนักว่าอะไรที่มันเกิดขึ้นไปแล้วเราไม่สามารถย้อนเวลากลับไปได้ ถึงแม้ดูเหมือนเราจะสูญเสียทุกอย่างในชีวิตไปแล้ว แต่ถ้าตั้งสติและพิจารณาดีๆ ก็จะพบว่ายังมีสิ่งดีๆ ในชีวิตเราหลงเหลืออยู่เสมอ และยังไม่สายเกินไปที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง ขอให้พี่น้องโชคดีมีชัยในการสู้ชีวิตครั่บ :)
- + เป็นหนังดราม่าเล็กๆ ที่ดูดีดูเพลิน มีแง่คิดในการดำเนินชีวิต แจ่มไปเลยจ้า
- - เรื่องราวบ้านๆ พื้นๆ เรียบๆ แบบนี้หลายคนเมินแบบไม่ต้องคิดเลยล่ะ
*ช่วงเพลงในหนัง*
The Band
MP3: The Band - I Shall Be Released
หนังปิดฉากสุดท้ายอย่างเต็มไปด้วยความหวังกำลังใจ ซึ่งการใช้เพลง I Shall Be Released ของ Bob Dylan ในเวอร์ชั่นของวงโฟล์คร็อคในตำนานอย่าง The Band ก็ทำให้ฉากนั้นออกมาเสร็จสมอารมณ์หมายตามที่ผู้สร้างต้องการ เพราะเพลงสุดอมตะเพลงนี้ก็มีเนื้อหาที่ปล่อยวาง และเข้าใจชีวิตเป็นอย่างที่สุด นี่จึงเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของการใช้เพลงส่งเสริมอารมณ์หนังอย่างเหมาะเจาะและลงตัวจริงๆ เน้อ
MP3: The Band - I Shall Be Released