วันพฤหัสบดีที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2556

The Secret Life of Walter Mitty (2013): การผจญภัยของนายเหม่อ


The Secret Life of Walter Mitty (2013): การผจญภัยของนายเหม่อ

     ผลงานล่าสุดของเฮีย Ben Stiller ที่แกขอควบหน้าที่กำกับ/เล่นเป็นพระเอกเรื่องนี้ดึงดูดความสนใจอย่างสูงจากบรรดาคอหนังนับตั้งแต่ตัวเทรลเลอร์แล้ว ครั้นมาดูตัวหนังเต็มๆ แล้วก็พบว่าหนังมีดีจริงอะไรจริงและคงจะเข้าไปอยู่ในดวงใจของใครหลายคนได้ไม่ยากเลยทีเดียวล่ะ

     แม้ว่าบางช่วงหนังดูจะอืดๆ ง่วงๆ ไปบ้าง และก็ไม่ได้ดีเด่นระดับซิวรางวัล แต่สิ่งดีๆ ก็มีมาทดแทนเพียบ ไม่ว่าจะสไตล์การนำเสนอเก๋ๆ วิวทิวทัศน์อันงดงามสุดอะเมซิ่ง (ไอซ์แลนด์) ที่จัดเต็มจัดหนักกันมาเพียบ ดนตรีประกอบเพราะๆ โดนๆ ที่เข้าใจคัดสรรกันมา และแน่นอนคือข้อคิดดีๆ ในการใช้ชีวิตที่หนังตั้งใจนำมามอบให้ท่านผู้ชมโดยเฉพาะ

     เฮียแกบอกว่าเรื่องนี้ตั้งใจจะไม่เอาฮาเหมือนผลงานอื่นๆ ของแก ซึ่งก็จริงเพราะไม่มีมุกตลกบ้าบอคอแตกมาให้เห็น แต่ก็ยังมีมุกขำๆ หึๆ มาฝากกันอยู่เรื่อยๆ รวมทั้งมุกที่พาดพิงถึงหนังดังๆ เรื่องอื่น ทั้ง The Curious Case of Benjamin Button ไปยันกระทั่ง The Matrix (ฉากเลือกรถนั่นไง) ที่ก็เอามาใช้แต่พองามไม่ได้น่าเกลียดหรือเกินเลยอะไร

     จะว่ากันจริงๆ แล้วหนังเรื่องนี้ไม่ได้ดูแล้วจะชอบหรือปลื้มกันทุกคน เพราะหนังน่าจะเหมาะสำหรับคนวัยทำงาน คนที่เป็นผู้ใหญ่หน่อย (แก่) หรือคนที่รักการท่องไปในโลกกว้าง หนังอาจจะแลดูไม่โดนใจแต่แรกเห็น แต่เมื่อดูไปเรื่อยๆ คุณความดีงามของมันจะค่อยๆ เบ่งบานเติบโตในหัวใจของคุณ จนวินาทีที่หนังจบเอนด์เครดิตขึ้นนั่นแหล่ะ คุณอาจจะเพิ่งรู้ตัวว่าได้หลงรักหนังเรื่องนี้เข้าให้แล้วก็ได้



นี่คือหนังดีๆ จากเฮีย Ben Stiller ที่รอให้พี่น้องมิตรรักแฟนหนังรับเข้าไปไว้ในอ้อมใจอีกเรื่องหนึ่ง ให้ไป 8/10 โลดครับ







*ช่วงเพลงในหนัง*

José González
     สิ่งที่ดีงามอีกอย่างของหนัง The Secret Life of Walter Mitty คือเพลงประกอบที่คัดสรรกันมาแต่เพลงน่าฟังๆ และนี่คือเพลงเพราะๆ ของ Jose Gonzalez ที่ถูกใช้ในช่วงเอนด์เครดิต ฟังแล้วเลิฟทันทีเลยทีเดียว ขอบอก







*รีวิวหนังเรื่องอื่นๆ ของเฮีย Ben Stiller ภายในบล็อก*
  











วันพุธที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2556

47 Ronin (2013): ซามูไรดาบลูกครึ่ง (ไม่ควบสอง)

47 Ronin (2013): ซามูไรดาบลูกครึ่ง (ไม่ควบสอง)

     หลังจากเลื่อนฉายชนิดข้ามปี ในที่สุดหนังซามูไร/แฟนตาซี ฟอร์มบิ๊กของเฮีย Keanu Reeves ก็ได้ลงโรง (ไม่ใช่โลงนะ) เสียที โดยหนังอยู่ในมือของ ผกก.โนเนม Carl Rinsch ที่โผล่มากำกับหนังยาวเรื่องแรกนี้ก็ได้ทำหนังทุนระดับ 225 ล้านเหรียญสหรัฐเลยทีเดียว

     และหนังก็ออกมาสมกับทุนสร้าง เพราะเสื้อผ้าหน้าผมฉากเฉิกเอฟเฟกต์นั้นดูดีมีชาติการ์ตูน ใครชอบดูคอสตูมกับวิวงามๆ คงชอบใจ ซึ่งเอ่อ...นั่นก็คือสิ่งที่ดีที่สุดของหนังเรื่องนี้แล้ว

     เสียดายที่หนังโดยรวมค่อนข้างเฉยไปจนถึงน่าเบื่อ การเล่าเรื่องดูปุบปับไม่ลงตัวในหลายช่วง ซึ่งเข้าใจว่าเรื่องเล่ามีเยอะ แต่เวลาจำกัด พอจะหันไปดูฉากบู๊มันส์ๆ ก็รีบมารีบไป ดูเฉยไปซะทั้งหมด และหนังล้มเหลวในการสร้างอารมณ์ร่วมทั้งด้านความรักของพระนาง หรือด้านเกียรติยศวิถีบูชิโด (The Last Samurai ของป๋า Tom Cruise เคยทำได้ถึงมาแล้ว) เลยกลายเป็นว่าหนังจบแล้วก็จบกันไปไม่มีอะไรติดค้างออกมาจากโรงไปในที่สุด

     ทราบมาว่าทางสตูดิโอสั่งแก้บท ถ่ายซ่อม และตัดต่อใหม่ เราจึงมิอาจชี้นิ้วลงไปว่าการที่หนังออกมาเป็นแบบนี้นั้นเป็นฝีมือ ผกก. ผู้ที่น่าเห็นใจที่สุดคงไม่พ้นเฮีย Reeves ที่เชื่อว่าเราทั้งหลายอยากเห็นเขากลับมาเจิดจรัสดังคับซอยได้อีกครั้งจริงๆ แต่ดูแล้วคงจะไม่ใช่จากเรื่องนี้เป็นแน่



เอาน่ะ เฮียแกยังมีหนังจ่อคิวฉายอีกสองเรื่องให้แฟนๆ ได้ตามลุ้นกันอีก สำหรับหนังเรื่องนี้เอาไป 5/10 ก็พอนะครับ






*รีวิวหนังเรื่องอื่นของเฮีย Keanu Reeves ภายในบล็อก*

วันจันทร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2556

The Stone Roses: Made of Stone (2013): กุหลาบหินรีเทิร์น

The Stone Roses: Made of Stone (2013): กุหลาบหินรีเทิร์น

     สารคดีที่บันทึกการกลับมาอย่างยิ่งใหญ่อีกครั้งของ The Stone Roses วงร็อคในตำนานจากแมนเชสเตอร์ อังกฤษ เมื่อปีที่แล้ว หลังจากที่พวกเขาแตกวงกันไปตั้งแต่ปี ค.ศ.1996 (ตั้ง 16 ปีแน่ะ)

     สารคดีนี้จัดทำโดย ผกก.Shane Meadows (แห่ง This is England) ที่ประกาศตัวว่าเป็นแฟนเพลงตัวยงและเพื่อแฟนเพลงของวงนี้โดยเฉพาะ ดังนั้นจึงไม่ค่อยเน้นเจาะลึกเรื่องราวความเป็นมาของวงเมื่อครั้งอดีตเท่าไหร่ แต่จะตามติดวงตั้งแต่วันประกาศรวมตัว, ฟรีคอนเสิร์ตครั้งแรกในรอบ 16 ปีที่เซอร์ไพรส์แฟนเพลงแบบสุดๆ, การวอร์มอัพทัวร์ไปทั่วยุโรปที่ไปไม่ตลอดรอดฝั่ง ไปยันงานคอนเสิร์ตที่ Heaton Park ที่จุคนดูกว่า 75,000 คน (และญี่ปุ่นในช่วงเอนด์เครดิต)

     ที่น่าสนใจคือตอนฟรีคอนเสิร์ตครั้งแรกในรอบ 16 ปี ที่ทางวงประกาศให้รู้อย่างปัจจุบันทันด่วน จนบรรดาแฟนเพลงทั้งรุ่นเก่ารุ่นใหม่ต่างพากันทิ้งงานประจำหรือกระเตงลูก วิ่งหน้าตั้งมาเข้าคิวรอตั๋วฟรี ซึ่งทำให้รู้ว่าบรรดาแฟนๆ ยังจงรักภักดีกับพวกเขามากแค่ไหน ส่วนบรรดาสมาชิกทั้งสี่ถึงจะแก่จนหน้ายับยู่ยี่แต่ก็ยังฝีไม้ลายมือจัดจ้าน และยังเปี่ยมไปด้วยความสดใสร่าเริงเหมือนในสมัยหนุ่มๆ ยังลีลาได้ใจอยู่ว่างั้นเหอะ

     ถึงเรื่องราวเจาะลึกไม่ค่อยจะมี แต่ก็จัดเต็มทั้งการตัดต่อ ถ่ายทำเท่ๆ แจ่มๆ กับเพลงของทางวงที่มีมาให้ดูให้ฟังให้ปลื้มกันแบบเต็มๆ ซะหลายเพลง

     ดูแล้วก็ลมสว้านขึ้นหน้าอยากขุดอัลบั้มของพวกเขากลับมาฟังอีกในทันใด ถึงตรงนี้ต้องยอมรับแล้วว่าพวกเขายังเป็นวงที่เจ๋งที่สุดที่แมนเชสเตอร์เคยผลิตมาอย่างที่เฮีย Liam Gallagher ออกมาซูฮกในตอนหนึ่งของสารคดีนี้นั่นแหล่ะ







วันอาทิตย์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2556

Captain Phillips (2013): (อย่า) ลูบคมพี่เบิ้มคับโลก



Captain Phillips (2013): (อย่า) ลูบคมพี่เบิ้มคับโลก

     ถึง ผกก.Paul Greengrass (แห่งหนัง Jason Bourne ภาค 2 และ 3) แกจะนานๆ โผล่มาให้แฟนๆ หายคิดถึงที ทว่าผลงานแต่ละเรื่องของแกนั้นวางใจได้เสมอในด้านคุณภาพ ซึ่งก็รวมถึงผลงานล่าสุดเรื่องนี้เข้าไปด้วย

    ถ้าตามงานแกมาตลอดจะรู้ว่าหนังแกแต่ละเรื่องมักจะสร้างมาจากเหตุการณ์จริงเสมอ (ด้วยความที่แกเคยทำงานเป็นนักข่าวหัวเห็ดมาก่อน) ดังนั้นหนังของแกจึงโดดเด่นในการพยายามสร้างภาพที่ออกมาให้ดูสมจริงสมจังราวกับอยู่ในเหตุการณ์ด้วยก็มิปาน ไม่ว่าจะสไตล์การเหวี่ยงกล้องถ่ายที่ชวนลายตาเหมือนภาพที่เห็นจากเรื่องจริงผ่านจอ รวมทั้งการตัดต่อที่ฉับไวชวนลุ้นใจหายใจคว่ำ ล้วนถูกนำมาใช้ช่วยสร้างอารมณ์จริงของหนังได้อย่างทรงประสิทธิภาพ ซึ่งตรงนี้ก็กลายเป็นเอกลักษณ์เป็นลายเซ็นของแกไปซะแล้ว

     ส่วนคราวนี้ตัวหนังออกมาจับความสนใจคนดูได้อยู่หมัดตลอดทั้งเรื่อง อาทิเช่นการเล่นเอาเถิดเอาล่อระหว่างกัปตันกับเหล่าโจรสลัด หรือการพยายามช่วยเหลือตัวประกันจากทางการ ที่ทำให้คนดูได้ลุ้นตูดขมิบกันตลอด แม้จะรู้กันอยู่ลึกๆ แล้วว่าหนังจะจบลงยังไง (เหมือนคราวหนัง United 93 นั่นไง) ส่วนป๋า Tom Hanks แกก็ทำหน้าที่ได้ดีไม่เสียฟอร์มแต่ประการใดในบทกัปตันเรือมากประสบการณ์ที่ต้องงัดเอาความเก๋ามาต่อกรกับเหล่าโจรสลัดหน้ามืดทั้งหลาย แต่เอ๊ะ มาเรื่องนี้กล้องไม่ค่อยเหวี่ยงเท่าไหร่แฮะ ก็ดีเหมือนกันจะได้ไม่เวียนหัวเนอะ อิอิ



เปรียบเทียบกัปตัน Richard Phillips ตัวจริงกับในหนัง
     และแน่นอนที่แฝงมากับหนังด้วยคือการตีแผ่ความจริงอีกมุมของโลกวันนี้ อย่างการที่ชาวโซมาเลียส่วนใหญ่ที่มีความเป็นอยู่อันทุกข์ยาก จนอาชีพโจรสลัดปล้นเรือสินค้าคืองานในฝันที่พวกเขาคิดว่าจะช่วยให้ลืมตาอาปากได้บ้าง ทั้งๆ ที่รู้อยู่เต็มอกว่าถึงปล้นสำเร็จแต่ผลประโยชน์เกือบทั้งหมดต้องตกไปอยู่ในมือขาใหญ่ที่บงการอยู่เบื้องหลังอีกทีก็ตาม


     แต่แย่หน่อยที่คราวนี้โจรสลัดเจ้ากรรมดันเลือกไปปล้นเรือขนส่งสินค้าของพี่เบิ้มคับโลกอย่างอเมริกาเข้า ซึ่งหนังแสดงให้เห็นชัดๆ เลยว่า พี่กันเราไม่ยอมยอมเสียหน้าให้กับโจรกระจอกๆ จากประเทศจนๆ หรือแม้แต่ใครหน้าไหนทั้งนั้น และพร้อมจะทำได้ทุกอย่างเพื่อไม่ให้ใครมาลูบคมพญาอินทรีแน่ หึๆ



นี่คือหนังดีมีคุณภาพอีกเรื่องของปี 2013 นะครับ อย่าพลาดกันล่ะ มิตรรักคอหนังทั้งหลาย เราให้ 8/10 เลยครั่บ







*อันเนื่องมาจากหนัง*
A Hijacking/Kapringen (2012): ปล้นปักหลัก

     ดูหนังแล้วก็นึกถึงหนังเดนมาร์กที่สร้างจากเรื่องจริงของการปล้นเรือสินค้าอีกเรื่อง ซึ่งเรื่องนี้โจรสลัดสบายไปเพราะทางบริษัทเจ้าของเรือเขาเน้นการเจรจา แต่แลกมาด้วยการลำบากของบรรดาตัวประกันที่ต้องโดนจับอยู่นานแรมเดือน

   ตัวหนังไม่ได้เน้นที่มาที่ไปของทางโจรสลัดเท่าไหร่ ในขณะที่หนังของป๋าทอมจะมีเหยาะที่มาให้เห็นบ้าง แต่โดยรวมแล้วหนังก็ดีพอๆ กันแหล่ะ (แต่ถ้าชอบลุ้นๆ ต้องหนังป๋าทอม) 

     การต่อรองชีวิตตัวประกันไม่ใช่การต่อรองทางธุรกิจ แต่ในโลกที่เงินคือทุกสิ่ง บางทีเราก็มัวแต่สนใจเรื่องตัวเลขเงินๆ ทองๆ ผลประโยชน์ที่จะต้องเสียไป จนละเลยสิ่งที่น่าจะสำคัญเป็นอันดับแรกอย่างสวัสดิภาพของเหล่าตัวประกันเหล่านั้นไปซะฉิบ 






*รีวิวหนังเรื่องอื่นๆ ของ ผกก.Paul Greengrass ภายในบล็อก*
 

วันศุกร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2556

The Hobbit: The Desolation of Smaug (2013): อภินิหารตาโบ้หรอยมังกือ



The Hobbit: The Desolation of Smaug (2013): อภินิหารตาโบ้หรอยมังกือ

     หลายคนบ่นว่าภาคที่แล้วชวนง่วงไปนิด เนื่องจากส่วนใหญ่ยังเป็นการปูเรื่อง มาคราวนี้หนังเริ่มเร่งสปีดเรื่องราวขึ้นแล้ว ซึ่งเสี่ย Peter Jackson และทีมงานก็สามารถทำให้หนังที่ยาวเกือบสาม ชม.เรื่องนี้ออกมาบู๊กระหน่ำดูสนุกเพลิดเพลินไม่มีน่าเบื่อ ไม่ว่าจะสำหรับขาจรคนดูทั่วไป หรือบรรดาแฟนานุแฟนของทั่น J. R. R. Tolkien ก็ตามที


     และแน่นอนการลากยาวเป็นหนังสามภาค ทั้งที่หนังสือต้นฉบับที่มีแค่ 300 กว่าหน้านั้น ก็จำเป็นต้องเพิ่มเติมเสริมแต่งอะไรเข้าไปมากมาย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นทีมสร้างก็แถเข้าไปด้วยความเข้าใจ ด้วยความเคารพต่อโลกของมิดเดิ้ลเอิร์ธ ทุกอย่างจึงดูไม่แปลกแยกหรือไม่เข้าท่า ไม่ว่าจะด้านรักสามเส้าระหว่าง เอล์ฟ-คนแคระ หรือฉากแกนดาล์ฟป๊ะกันกับเนโครแมนเซอร์ก็ตาม (อันที่จริง เราว่าฉากนี้เด็ดทีเดียวนะ)

     หากจะมีอะไรที่ลดทอนความดีงามของหนังลงไปบ้างก็คงจะเป็น บิลโบ ตัวเอกของเรื่องที่คราวนี้แกดูจะออกแอ็คชั่นกันอย่างเดียว ในขณะที่บทพูดหรือมิติความลึกของตัวละครกลับดูผ่านๆ เผินๆ ซึ่งไม่ใช่เฉพาะเขาแต่เรียกได้ว่าทั้งเรื่องไม่มีบทพูดที่น่าประทับใจหรือน่าจดจำเอาเลย รวมทั้งการที่หนังเป็นภาคกึ่งกลางของไตรภาคที่มักมีจุดอ่อนในด้าน 'จบแบบไม่จบ' ให้คนดูคาใจอีกนั่นเอง

     ไม่รู้สินะเรารู้สึกว่าหนังดี ดูสนุก เทคนิคยอดเยี่ยม แต่กลับไม่น่าตื่นตาตื่นใจหรือน่าประทับใจเท่ากับครั้งไตรภาค The Lord of the Rings เมื่อสิบปีที่แล้ว แต่ถ้ามองว่าหนังไตรภาค The Hobbit จำเป็นต้องมีเพราะจะทำให้เรื่องราวมหากาพย์แห่งมิดเดิ้ลเอิร์ธโดยจินตนาการของ J. R. R. Tolkien ครบถ้วนสมบรูณ์แล้วล่ะก็ เราเห็นด้วยอย่างแรงในจุดนี้จ้า



โดยรวมแล้วภาคนี้ดูสนุกขึ้นจากภาคแรก แอ็คชั่นกันเถิดเทิงตลอดเรื่อง แฟนานุแฟนของหนังชุดนี้และขาจรส่วนใหญ่คงจะปลื้มกันและคงจะรอดูภาคสามกันแทบไม่ไหวเลยทีเดียว 8/10 คะแนนครั่บ

ปล.เสี่ย Peter Jackson โผล่มาแว๊บๆ ในหนังตามธรรมเนียมปฏิบัติของแกอีกครั้ง ส่วนจะโผล่มาตอนไหนนั้นก็จับตาดูกันดีๆ เน้อ อิอิ ^^






*ช่วงเพลงในหนัง*
     ซิงเกิ้ลแรกในรอบสองปีของ Ed Sheeran ศิลปินหนุ่มโฟล์คหัวแดงวัย 22 ขวบจากเกาะอังกฤษ ซึ่งตัวเพลงนี้จะอยู่ในช่วงเอนด์เครดิตของหนัง น่าฟังทีเดียวนะครับเนี่ย ;)






*รีวิวภาคแรกภายในบล็อก*

วันอังคารที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2556

Carrie (2013): อย่าแหย่ให้แบ๊วโหด



Carrie (2013): อย่าแหย่ให้แบ๊วโหด

     หนังสยองรีเมคมาอีกเรื่องแล้วจ้า คราวนี้ถึงคิวของ Carrie หนังสยองคลาสสิคจากปี 1976 ที่ถูกฮอลลีวู้ดจับมารีเมคให้คอหนังที่เกิดไม่ทันหรือเกิดทันแต่ลืมๆ ไปแล้วได้สยองกันบ้าง ส่วนจะสยองสมชื่อ'สาวสยอง'หรือไม่นั้นมันก็อีกเรื่องหนึ่งเน้อ

     เวอร์ชั่นปี 2013 นี้หนังได้ Kimberly Peirce ผกก.หญิงที่เคยทำแต่หนังดราม่าตีแผ่ปัญหาวัยรุ่นมาเล่าเรื่อง ดังนั้นอะไรที่เกี่ยวกับวัยรุ่นๆ ในเรื่อง ผกก.เธอทำหน้าที่ได้ไม่ตกหล่นอยู่แล้ว

     แต่ครั้นมองไปที่ความสยองนั้นยังถือว่าหนังธรรมดาเกินไป คือไม่มีอะไรที่โดดเด่นหรือน่าจดจำเท่าไรนัก ที่น่าเสียดายยิ่งไปกว่านั้นคือน้องหนู Chloë Grace Moretz ที่ไม่เหมาะกับบทสาวสยองเอาซะเลย ไม่ว่าจะเป็นการที่หน้าตาเธอน่ารักเกินไป (เกี่ยวมั้ยนั่น) ซึ่งส่งผลให้เมื่อถึงฉากสยอง หน้าน้องเค้าก็ยังดูแบ๊วๆ ไม่น่ากลัวเอาซะเลย (Sissy Spacek ในต้นฉบับกินขาดในเรื่องนี้)



เป็นหนังรีเมคที่ไม่ถึงกับทำเสียของ แต่ก็เกือบสอบไม่ผ่านในเรื่องความสยองเพราะบางฉากแทนที่จะสยองกลับทำให้คนดูในโรงหลายคนขำแทนซะงั้น ให้ไป 5/10 ครั่บ






*ช่วงเพลงในหนัง*

อีกสิ่งหนึ่งที่ดีที่สุดในหนัง Carrie เวอร์ชั่นรีเมคนี้คือเพลงประกอบที่คัดมาแต่เพลงโดนๆ โดยเฉพาะเพลงเพราะๆ เพลงนี้ของ The Civil Wars ที่ถูกใช้ในฉากเต้นรำในงานพรอม :)






 *ย้อนรอยหนังต้นฉบับ*
Carrie (1976): ระดับความน่าเบื่อมีพอๆ กับฉบับรีเมค แต่ที่เหนือกว่าแบบเห็นๆ ก็คือการแสดงของ Sissy Spacek ที่ถึงตอนนั้นจะอายุ 26 ขวบแล้วแต่ยังแอ๊บเป็นเด็กวัยรุ่นได้เนียนๆ และพอบทจะโหดหน้าตาเธอก็ชวนสยองไม่ใช่เล่น


ในยุคโน้นคงจะสยองได้โล่ แต่มาถึงทุกวันนี้ หนังมันดูธรรมดาไปซะแล้วล่ะ 5/10 ก็พอครับ




วันจันทร์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2556

The Act of Killing (2012): โหดแอ็คโหด


The Act of Killing (2012): โหดแอ็คโหด

     เกมช่วงชิงอำนาจทางการเมืองและการหวั่นภัยคุกคามจากคอมมิวนิสต์ในช่วงกลางยุค 60 ก่อให้เกิดการสังหารหมู่ในอินโดนีเซียที่มียอดคนตายสูงถึง 2.5 ล้านคน (ซึ่งส่วนใหญ่คือสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์และคนเชื้อสายจีนที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์) ซึ่งแน่นอนที่หนังสือวิชาประวัติศาสตร์เพียงแค่กล่าวถึงเหตุการณ์ครั้งนั้นไว้ให้คนอินโดรุ่นหลังๆ ได้รับรู้เพียงแค่ผ่านๆ เท่านั้น

     ที่น่าสนใจคือกลุ่มคนที่ทำหน้าที่มือสังหารในยุคนั้น ต่างยังคงอยู่ดีมีสุข มีกลุ่มมีพรรคเติบโต มีอิทธิพลมาจนทุกวันนี้ ซึ่งแม้แต่นักการเมืองยังต้องเกรงใจ แม้บางคนจะถูกความรู้สึกผิดคอยหลอกหลอน แต่คนอีกส่วนใหญ่แล้วยังคงคิดว่าตัวเองทำถูกทำเพื่อประเทศชาติ และภาคภูมิใจกับการเล่าอดีตอันแสนหฤโหดของตนให้ฟัง

     สารคดีไม่ได้มุ่งเน้นรายละเอียดทางประวัติศาสตร์ แต่เจาะไปที่ความรู้สึกนึกคิดของเหล่าเพชฌฆาต ด้วยการให้เจ้าตัวมาเล่นละครเป็นตัวเองหรือเป็นเหยื่อสมมุติของเหตุการณ์ในอดีตครั้งนั้น ภาพที่ออกมาเลยเหมือนฝันร้ายที่บางทีก็เหนือจริงแต่ก็แสนหดหู่กดดันควบคู่กันไป

     ที่น่าสนใจคือด้วยความที่กลุ่มของเหล่าเพชฌฆาตยังเรืองอำนาจอยู่จนทุกวันนี้ หนังเลยต้องขึ้นเครดิตทีมงานหลังกล้องทุกคนที่เป็นชาวอินโดนีเซียเองว่า 'Anonymous' หรือ 'นิรนาม' เพื่อป้องกันการถูกตามมาเช็คบิล

     ดูแล้วจะพบว่าเกิดเป็นคนไทยน่ะดีแค่ไหนแล้ว (แม้ประเทศเราจะวุ่นวายตลอดแต่ก็ไม่เลวร้ายถึงขนาดนั้น) โดยเฉพาะหากคุณเป็นคนเชื้อสายจีนล่ะก็ อยู่อินโดนีเซียในยุคโน้น (และอาจรวมถึงยุคนี้) นี่มันนรกดีๆ นี่เอง


เป็นสารคดีที่ดูแล้วกระทบใจอย่างจัง ให้ไปเลย 8/10 ครั่บ



วันอาทิตย์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2556

Frozen (2013): ง้อพี่ให้คลายหนาว




Frozen (2013): ง้อพี่ให้คลายหนาว

     อนิเมชั่นลำดับที่ 53 ของ Walt Disney เรื่องนี้เป็นการหวนกลับไปจับเอานิทานคลาสสิกมาดัดแปลงอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้่ถึงคิวนิทานเรื่อง The Snow Queen (ราชินีหิมะ) ของ Hans Christian Andersen บ้างล่ะ

     หลังจากทำหน้าที่ได้ดีเกินคาดใน Wreck-It Ralph (2012) มือเขียนบท Jennifer Lee เลยได้กลับมาเขียนบทและเลื่อนขั้นมาเป็น ผกก.เป็นครั้งแรก ร่วมกับ Chris Buck ซึ่งแม้เรื่องราวของหนังจะไม่ค่อยตื่นเต้นหวือหวามากมายอะไร แต่ทั้งคู่ก็ทำหน้าที่เล่าเรื่องได้อย่างดูดีมีเสน่ห์ ดูเพลิดเพลินไม่มีน่าเบื่อสักนิด

     ที่เป็นเสน่ห์สำคัญของหนังคือบรรดาเพลงประกอบที่ล้วนไพเราะน่าฟังแสนบรรเจิด และเวอร์ชั่นพากย์ไทยก็คัดคนมาร้องมาพากย์ได้น่าฟังไม่แพ้เวอร์ชั่นต้นฉบับเลยทีเดียว

     ดีสนี่ย์ยังคงรักษามาตรฐานของตนเองได้อย่างดีเยี่ยม โดยการเอานิทานมาทำอนิเมชั่นในแบบของตนที่ไม่เน้นหวือหวา เอาใจวัยทีน หรือจริงจังจนเกินเด็ก แต่พอใจที่จะรักษาสูตรสำเร็จและแนวทางดั้งเดิมให้อยู่ระดับกลางๆ ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป แถมด้วยข้อคิดดีๆ ที่แม้ว่าจะเดิมๆ ซ้ำๆ อยู่บ้าง แต่ก็ยังคงใช้ได้เสมอ อย่างในเรื่องนี้ก็คือ 'รักแท้เอาชนะทุกสิ่ง' นั่นเอง


ดีสนี่ย์ ชื่อนี้ไม่ทำให้ผิดหวังอยู่แล้วจ้า สำหรับอนิเมชั่นโลกสวยเด็กดูได้ผู้ใหญ่ดูดี (แต่เรื่องนี้เหมาะกับเด็กผู้หญิงมากกว่าใครนะ) ให้ไปเลยโลด 8/10 จ้า ^^



วันเสาร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2556

Snowpiercer (2013): ขบวนนี้พี่ขอยึด



Snowpiercer (2013): ขบวนนี้พี่ขอยึด

     เคยแสดงฝีมือให้คอหนังได้ประจักษ์มาแล้วเมื่อครั้ง The Host (2006) ในที่สุด ผกก.บองจุนโฮ ก็ขอโกอินเตอร์กับผลงานหนังไซไฟยุคสิ้นโลกเรื่องนี้ที่ขนดาราดังมาเพียบเชียว (อันที่จริงนี่คือหนังเกาหลีที่ใช้นักแสดงอินเตอร์มาเล่นมากกว่า)

    หนังดัดแปลงมาจากหนังสือการ์ตูนฝรั่งเศสเรื่อง Le Transperceneige อันเกี่ยวกับการเอาตัวรอดของคนกลุ่มหนึ่งบนขบวนรถไฟอันเป็นที่พึ่งสุดท้ายของมวลมนุษยชาติในยุคหลังวันสิ้นโลก

     ต้องขอบอกว่าหนังไม่กะทำให้ดูเอามันส์กันอย่างเดียวเหมือนหนังฮอลลีวู้ดทั่วไป แต่แทรกสาระเรื่องราวเกี่ยวกับ 'การจัดช่วงชั้นทางสังคม' ที่เปรียบขบวนรถไฟแต่ละโบกี้เป็นช่วงชั้นทางสังคม เริ่มตั้งแต่ท้ายขบวนซึ่งเป็นของชนชั้นล่างเรื่อยไปจนถึงหัวขบวนที่เป็นของชนชั้นผู้นำ (อืม เข้าใจคิดนะเนี่ย)

     ดังนั้นด้านสาระเนี่ยหนังมีให้คอหนังได้เก็บไปขบคิดแน่นอน ในขณะที่ฉากแอ็คชั่นก็มีมาให้ไม่น้อย (อารมณ์ขันแบบหึๆ ก็มีแอบหยอดมาตลอด) แต่ดูเหมือนเส้นกราฟอารมณ์ของหนังจะขึ้นๆ ลงๆ อยู่ทั้งเรื่อง คือจะบู๊ก็บิ้วท์กันไปถึงระดับหนึ่งแล้วก็มีช่วงดร็อปอารมณ์ลงมา สักพักก็บู๊กันอีก หนังเลยดูไม่ค่อยสุด ในขณะที่บางอย่างก็ดูไม่ค่อยสมเหตุสมผลให้คนดูช่างจับผิดได้เอ๊ะได้อ๊ะอยู่เรื่อย


ถ้าจะถามว่าหนังดีมั้ยก็ตอบได้เลยว่าดีมีสาระด้วย ผกก.แกทำหน้าที่ได้ดีไม่เสียฟอร์ม แต่ถ้าจะดูเอาสนุกเอามันส์อย่างเดียวก็อาจจะตอบโจทย์ได้ไม่ค่อยดีนัก ให้ไป 7/10 ครับ

     ปล.เฮีย ซองกังโฮ กับหนู โคอาซอง จาก The Host ยังตามมาเล่นบทเป็นสองพ่อลูกในหนังเรื่องนี้ได้อีก อิอิ




วันพุธที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2556

My Sweet Orange Tree (2013): จินตนาการบรรเจิดของเจ้าหนูจอมซน



My Sweet Orange Tree/Meu Pé de Laranja Lima (2013): จินตนาการบรรเจิดของเจ้าหนูจอมซน

     หนังดราม่าที่สร้างจากหนังสือนวนิยายชื่อเดียวกันของ Jose Mauro de Vasconcelos (ชื่อฉบับแปลไทย "ต้นส้มแสนรัก") ที่นับเป็นนวนิยายประจำชาติของชาวบราซิลเลยทีเดียว เพราะถูกเลือกไปบรรจุในหลักสูตรของโรงเรียนประถม ตัวหนังสือเองก็ขายไปแล้วกว่า 271,000 เล่มนับตั้งแต่เริ่มตีพิมพ์ในปี ค.ศ.1968 ทั้งยังถูกนำไปสร้างเป็นละครทีวี หนังโรงมาแล้วสองครั้ง

     ส่วนเวอร์ชั่นล่าสุดโดย ผกก.Marcos Bernstein นี้ก็เล่าเรื่องของ Zeze หนูน้อยจอมซนยิ่งกว่าลิงที่มีชีวิตความเป็นอยู่ยากจน แม่ก็ทำงานจนไม่มีเวลาเอาใจใส่ ส่วนพ่อที่ตกงานก็เมาไปวันๆ แถมยังชอบกระทืบ Zeze เป็นงานอดิเรกซะอีก

     ถึงแม้จะมีความเป็นอยู่บัดซบเช่นนี้แต่ Zeze ยังมีความสุขตามประสาเด็กๆ ได้อยู่ ด้วยความที่เป็นเด็กฉลาดเจ้าจินตนาการ จึงได้ใช้จินตนาการอันบรรเจิดของตนนี่แหล่ะ หลีกลี้หนีความจริงอันแสนบัดซบไปได้

     ไอ้เราไม่เคยอ่านหนังสือเรื่องนี้มาก่อนเลยไม่อาจเปรียบเทียบทั้งสองเวอร์ชั่นได้ว่าต่างกันยังไง แต่ถ้ามองเฉพาะตัวหนังแล้วนี่คือหนังดราม่าสะท้อนปัญหาครอบครัว สังคมของชาวบราซิล หรือเป็นหนังก้าวพ้นวัยที่ดีเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว แถมบางอารมณ์ของหนังชวนให้นึกถึง Cinema Paradiso (1988) เสียด้วยสิ

     หนังบอกว่านอกจากการศึกษาแล้ว สิ่งที่สำคัญในการบ่มเพาะเยาวชนให้เติบโตเป็นคนที่มีคุณภาพของสังคมก็คือครอบครัวที่น่าจะสำคัญมากกว่าการศึกษาเสียอีกนะ 




หนังดีให้แง่คิดแบบนี้ให้ไปโลด 7/10 ครั่บ




วันอาทิตย์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

The Wolverine (2013): เรื่องแน่นอกของนายฟ้อนเล็บ




The Wolverine (2013): เรื่องแน่นอกของนายฟ้อนเล็บ

     ท่าน Hugh Jackman กลับมาสวมบทบาทฮีโร่พันธุ์นอกคอก Wolverine เป็นครั้งที่หก (และฉายเดี่ยวเป็นครั้งที่สอง) คราวนี้พี่แกขอพาไปทัวร์ญี่ปุ่นซะด้วยนะ นับเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศที่ไม่เลวเลยทีเดียวเชียว

     หนังดำเนินเรื่องราวต่อจาก X-Men: The Last Stand (2006) ซึ่งนับเป็นความฉลาดของผู้สร้างเพราะนอกจะสามารถวางตัวในจักรวาลของหนังชุด X-Men ได้แบบต่อเนื่องเนียนๆ แล้วยังเปิดโอกาสให้ใส่ความเป็นดราม่ารำพึงรำพันลงไปได้อีกด้วยแน่ะ

     James Mangold ผกก.จอมจับฉ่ายที่ทำหนังไปซะทุกแนว (แต่ก็ทำได้ดีซะทุกเรื่องอีกต่างหาก) ทำหน้าที่ได้ดีตามคาด แม้ว่าฉากโชว์ของจะน้อยกว่าภาคที่แล้ว แต่กลับดูดีถึงคุณภาพกว่าชนิดเห็นๆ (ภาคที่แล้ว'เยอะ'ไปนิดเนอะ) แถมยังแนบความเป็นดราม่าลงไปไม่ให้หนังเบาหวิวไร้อารมณ์ความรู้สึก แม้ว่าหลายครั้งจะดราม่าเพ้อๆ ซะจนทำเอาจังหวะหนังนิ่งไปบ้างก็ตามที (ถ้ามองในแง่หนังฮีโร่นะ)

     ไม่รู้สินะ ไอ้เราก็ไม่ใช่แฟนของเหล่า X-Men เสียด้วยสิ การกลับมาของ Wolverine ในครั้งนี้เลยไม่ค่อยชวนให้ตื่นเต้นตื้นตันน้ำตาจะไหลสักเท่าไร ถ้าจะถามว่าหนังดีมั้ย? ก็ต้องตอบว่าดี สนุกมั้ย? ก็สนุกอยู่ แต่ชอบมั้ย? ก็ขอบอกว่า เฉยๆ ล่ะน่ะ



6/10 ครับ





*รีวิวภาคแรกภายในบล็อก*

วันพฤหัสบดีที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

Only God Forgives (2013): กระตุกโหดคุณตำหนวด



Only God Forgives (2013): กระตุกโหดคุณตำหนวด

     หลังจากกอดคอกันรุ่งจาก Drive (2011) หนุ่ม Ryan Gosling กับ ผกก.Nicolas Winding Refn จึงขอกลับมาแท็กทีมกันอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้มาทำเท่กันถึงไทยแลนด์แดนสไมล์ของเราเลยทีเดียว

     เอาแค่ไตเติ้ลเรื่องก็เล่นขึ้นฟ้อนท์ไทยหราเป็นที่ภาคภูมิใจ (?) ของคอหนังชาวไทยเป็นอย่างยิ่ง แต่หนังโดยรวมนั้นค่อนข้างจะไม่ค่อยเป็นมิตรกับคนดูหนังส่วนใหญ่เท่าใดนัก เพราะมีความอาร์ตความแนว ความนิ่ง มีนั่นโน่นนี่ มาให้นักดูหนังคิดเยอะได้ตีความ ส่วนคอหนังบ้านๆ (อย่างเรา) อาจจะไม่ค่อยหือไม่ค่อยอือเท่าใดนัก ดังนั้นต้องมีเสียงแตกว่าชอบหรือไม่ชอบหนังกันแน่นอน

     ที่น่าสนใจคือดูเหมือน ผกก.แกจะสั่งให้บรรดานักแสดงทุกคนตีหน้าตาย วางตัวนิ่งๆ ทำตัวเงียบๆ ห้ามว่อกแว่กในทุกสถานการณ์ ชนิดที่ว่าบางอารมณ์ดูเผินๆ นึกว่ากำลังดูภาพนิ่งอยู่ก็มิปาน แต่ที่เรียกเสียงฮือฮาได้ที่สุด (สำหรับเรา) คงไม่พ้นเฮียสายเชีย วงศ์วิโรจน์ ที่หนังต่างชาติถ่ายในไทยเรื่องไหนเรื่องนั้นต้องมีแกโผล่มาแจมได้เกือบทุกเรื่องเชียว

     ไอ้เรามันก็ไม่ใช่พวกดูหนังแบบเจาะลึกตีความเลยไม่ค่อยอินกับหนังเท่าไหร่ แต่คิดว่าอย่างน้อยหนังประสบความสำเร็จอย่างยิ่งยวดในการประกาศก้องแก่ชาวโลกว่า "อย่ามาแหยมกับตำหนวดไทยนะเฟ้ย" แหล่ะนะ ;P





สำหรับคอหนังบ้านๆ ไม่ชอบคิดเยอะ ให้ 5/10 ก็สมเหตุสมผลดีแล้ว (นักดูหนังบางคนอาจชอบมากก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเน้อ)








*รีวิวหนังของ ผกก.Nicolas Winding Refn เรื่องอื่นๆ ภายในบล็อก*
 

วันจันทร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

Red 2 (2013): หง่อมอีกทีต้องมีเธอ




Red 2 (2013): หง่อมอีกทีต้องมีเธอ

     ใครจะไปคิดว่าป๋าเหม่ง Bruce Willis ในหนังบู๊รวมพลคนพันธุ์หง่อมที่ออกฉายเมื่อปี 2010 นั้นจะฮิตเกินคาด ว่าแล้วก็ต้องมีภาคต่อออกมาดูดเงินจากมิตรรักแฟนหนังกันอีกจนได้ ซึ่งคราวนี้หนังก็ขยายสเกลใหญ่โตในแบบสหประชาชาติมากขึ้น แต่ก็ไม่ละทิ้งแนวคิดหลักประจำเรื่องที่ว่า "อย่าได้คิดมองข้ามหรือดูถูกคนแก่ๆ เชียวนะเฟ้ย" เพราะพวกท่านมีทั้งความเก๋า ประสบการณ์ รอยยับย่นบนใบหน้า และฟันปลอมที่เพียบพร้อมกว่าคนรุ่นใหม่เยอะ จนนับเป็นหนังที่สมควรมีไว้เปิดดูในวันผู้สูงอายุแห่งชาติเป็นอย่างยิ่ง

     ภาคนี้เปลี่ยนตัว ผกก.เป็นคุณ Dean Parisot ที่ชอบทำหนังตลกแบบผู้ใหญ่ๆ เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว หนังจึงออกมาดูได้สบายๆ เพลินๆ เดินตามสูตรสำเร็จจากภาคแรกเป๊ะๆ คือขายเสน่ห์ของบรรดานักแสดงรุ่นเก๋า สลับกับการแทรกฉากบู๊เว่อร์ๆ เท่ๆ พอเป็นกระษัย ซึ่งเท่านี้ก็น่าจะเพียงพอแล้วมั้งที่จะมอบความบันเทิงให้แก่ท่านผู้ชมทั้งหลายได้

     หนังมีบางช่วงที่ดูเรื่อยๆ คุยๆ ลากยาวไปบ้างตามประสาคนแก่ที่ชอบคุยเฟื่องเรื่องความหลังครั้งยังเอ๊าะกัน ถ้าจะดูให้สนุกขึ้นไปอีกนิดก็แนะนำให้ดูฉบับพากย์ไทยโดยพันธมิตร ที่ปล่อยมุกเรียกเสียงฮาได้ตลอด ชอบจริงๆ






ดูเพลินๆ เรื่อยๆ พอๆ กับภาคแรก แต่ในแบบที่อินเตอร์กว่า ให้ไป 6/10 ครับ







*รีวิวหนัง Red ภาคแรกภายในบล็อก*

วันพฤหัสบดีที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

Trance (2013): ปล้นปั่นจิต


Trance (2013): ปล้นปั่นจิต

     นับตั้งแต่ 127 Hours (2010) ผกก.ขวัญใจผู้ใหญ่แนว Danny Boyle หายไปรับจ็อบซะนาน กว่าจะกลับมาอีกครั้งกับหนังทริลเลอร์/อาชญากรรมชวนงงตึ๊บเรื่องนี้

     แม้หนังจะเริ่มต้นด้วยแนวปล้นเหนือเมฆ แต่พอฉายๆ ไป อันที่จริงแล้วหนังมันเน้นไปที่เรื่องราวของการสะกดจิต การเล่นกับจิตของตัวละคร และสมการความรักที่ไม่ลงตัวมากกว่านะ

     ดังนั้นหลายช่วงหลายตอนของหนังเลยอาจดูเบื่อๆ งงๆ อยู่บ้าง แต่ยังดีที่ลายเซ็นของตัว ผกก.แกยังอยู่ครบ ทั้งการตัดต่อที่ฉับไวชวนลุ้น มุมกล้องที่เก๋ไก๋และงดงาม เพลงประกอบเท่ๆ และตบตูดด้วยการหักมุมสองสามตลบให้ได้หงายเงิบกันพอท้วมๆ

     หากกะจะดูหนังปล้นคงจะต้องผิดหวัง แต่หากอยากดูอะไรเท่ๆ เก๋ๆ ตามสไตล์แกละก็ได้เลย แม้ว่าอาจจะถือว่านี่เป็นหนังที่ดูยากหากเทียบกับงานยุคหลังๆ ของแกก็ตามที แต่ก็ไม่ถึงกับต้องยืมบันไดชาวบ้านมาปีนดูหรอกนะ สำหรับคนหัวช้าบางคน (อย่างเรา) คงต้องกลับมาดูอีกสักรอบสองรอบแล้วจะเก็ตอะไรได้มากกว่านี้





ไม่โดดเด่นโดนใจเท่ากับสองสามเรื่องที่ผ่านมา แต่ก็ยังถือว่าโดดเด้งมากพอสำหรับการรับชมล่ะนะ ให้ไปเลย 7/10 จ้า





*รีวิวหนังของ ผกก.Danny Boyle เรื่องอื่นๆ ภายในบล็อก*
 

วันพฤหัสบดีที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

Pacific Rim (2013): ศึกยักษ์ตะบันยักษ์




Pacific Rim (2013): ศึกยักษ์ตะบันยักษ์

     หลังจากอกหักจากการกำกับ The Hobbit ผกก.Guillermo del Toro ก็หาได้แคร์และสะบัดบ๊อบเดินหน้าทำโปรเจกต์อื่นต่อทันที จนได้หนังหุ่นยักษ์ท้าตบสัตว์ประหลาดเรื่องนี้ออกมาในที่สุด

     อย่างที่ทราบกันว่าเรื่องนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากหนังการ์ตูนแนว Mecha แบบที่ ผกก.del Toro เคยหลงใหลได้ปลื้มสมัยเด็กๆ มาแบบเต็มๆ แต่เขาก็พยายามใส่ความสมจริงเข้าไป หรือที่เรียกว่าโม้แบบน่าเชื่อถือตามสไตล์หนังฝรั่งฟอร์มใหญ่ ในแบบที่เด็กดูได้ ผู้ใหญ่ดูดี โอตาคุกรี๊ดแตกด้วยความฟินเพราะฝันเปียกกลายเป็นความจริงในที่สุด

     แต่ถึงจะเป็นหนังหุ่นยักษ์ท้าตบสัตว์ประหลาดยักษ์ ที่เต็มไปด้วยฉากเอฟเฟกต์ตูมตาม แต่ก็ไม่ได้เอาแต่เสนอฉากบ้านเมืองระเบิดระเบ้อ ขายซีจีไปวันๆ เช่นหนังซัมเมอร์ทั่วไปหรอกนะ เพราะ ผกก.แกไม่ลืมหยอดฉากดราม่าซาบซึ้งกินใจ จนนี่กลายเป็นหนังขายซีจีที่มีอารมณ์ความรู้สึก ไม่ได้แบนราบทางความรู้สึกแต่อย่างใดเลย

     จะว่ากันจริงๆ แล้ว หนังไม่มีอะไรใหม่มาฝากหรอก เพราะอย่างที่บอกว่านี่เป็นการสานฝันเอาการ์ตูนแนว Macha กับแนว Godzilla มาทำเป็นหนังคนแสดงขึ้นจอเงิน และผู้สร้างก็มีเจตนารมย์ที่แน่วแน่มากพอจะพยายามทำหนังให้ดูง่าย ไม่ซีเรียสหรือแบนราบจนเกินไป (ผกก.แกพยายามหลีกเลี่ยงฉากชาวบ้านตายหมู่จากการโจมตีเช่นหนังซัมเมอร์อื่นๆ อีกด้วย) เก่งมากครับเฮีย del Toro




นี่จึงเป็นหนังซัมเมอร์ที่ดูได้ดูดีทั้งเด็กและผู้ใหญ่ สนุกสนาน ไม่ไร้ความรู้สึก โอตาคุทั้งหลายเตรียมฟินได้เลย ให้ไป 7/10 เน้อ


ปล.เราคงจะได้ดูภาคต่อกันแน่ ผกก.แกออกมาคอนเฟิร์มแล้วจ้า