วันอังคารที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2555

The Expendables 2 (2012): ก๊วนแก่ประจัญบาน



The Expendables 2 (2012) :

ก็ภาคแรกที่ออกฉายในปี ค.ศ.2010 เกิดฮิตเถิดเทิงฟันเงินทั่วโลกไปได้ซะเกือบสามร้อยล้านเหรียญเช่นนั้น ลุง Sylvester Stallone และพลพรรคคนพันธุ์บู๊จึงต้องกลับมารวมพลังบู๊ล้างผลาญกันอีกครั้ง โดยยังคงคอนเซ็ปท์เดิมอย่างมาดมั่น นั่นคือมุ่งรวบรวมบรรดาดารานักบู๊ซึ่งเคยดังคับทุ่งในอดีตกาลให้มาร่วมกันแท็คทีมบู๊สะบั้นหั่นแหลกกับนักบู๊รุ่นน้อง ซึ่งเราลองนับอายุรวมๆ ของตัวละครฝั่งพระเอกในเรื่องนี้ดูแล้ว (เท่าที่เห็นในโปสเตอร์นั่นแหล่ะ) ก็พบว่านับสิริรวมอายุได้ 557 ปีแค่นั้นเอ๊ง (ป๊าด!)


ใครบังอาจไปแหยมกับ คนเหล็ก, แรมโบ้ และคนอึด ฟะ?!
ด้านพล็อตเรื่องน่ะไม่ต้องไปสนใจอะไรมากเลย เพราะไม่มีอะไรนอกจากเรื่องราวที่เปิดโอกาสให้ทีมทหารรับจ้างเดนตายของลุงได้ไประเบิดภูเขาเผาเพิงหมาแหงนกันตลอดทั้งเรื่อง ซึ่งหนังแบบนี้แหล่ะที่เขาเรียกว่าบู๊ภูธร แบบแมนๆ มันส์ๆ ถึกๆ ไม่พยายามฉลาดหรือซับซ้อนเหมือนหนังแอ็คชั่นสมัยนี้ แต่พยายามมาด้วยสไตล์หนังแอ็คชั่นจากยุค 80 ที่ทื่อๆ ตรงไปตรงมา ดูกันมันส์ๆ ได้แบบไม่ต้องคิดอะไรมาก อันเหมาะนักแลสำหรับการดูแบบหนังกลางแปลง ซึ่งตรงนี้หนังยังคงทำออกมาได้สะใจคอหนังบู๊บ้าพลังได้ดีแท้เชียว


สองนักบู๊จากยุค 80 ยังวาดลวดลายกันไหวอยู่
สิ่งที่เป็นจุดขายของหนังภาคนี้ แน่นอนที่ต้องเป็นการที่ลุง Bruce Willis และทั่น Arnold Schwarzenegger มีเวลามาบู๊บนจอมากขึ้นกว่าภาคแรก โดยเฉพาะฉากที่แรมโบ้ (Stallone), คนอึด (Willis) และคนเหล็ก (Schwarzenegger) ยืนร่วมกันสาดกระสุนใส่ฝูงโจรในเฟรมเดียวกันอย่างเมาแมว ซึ่งมันคือฝันที่เป็นจริงของคอหนังบู๊ยุค 80 ดีๆ นี่เองโลด!! เท่านั้นยังไม่พอหนังยังมีนักบู๊รุ่นเก๋าอย่าง Chuck Norris และ Jean-Claude Van Damme (ในมาดผู้ร้ายที่โหดเหี้ย...มสุดๆ) โผล่มามาเติมสีสันวันสดใสให้กับตัวหนังอีกด้วย


ดารานักบู๊รุ่นเก๋าตบเท้ากันมาเพียบ
แต่สิ่งที่เป็นเสน่ห์ของหนังชุดนี้ที่มีมาตั้งแต่ภาคแรกแล้วคือไดอะล็อกบทพูดที่พกดีกรีความกวนตีนชวนฮามาเต็มเหนี่ยว ซึ่งในภาคนี้ก็ยังคงกวนตีนกันได้โล่เช่นเดิม (แต่ละคนเนี่ยปากหมากันทั้งนั้น) โดยเฉพาะหากท่านได้ดูแบบพากย์ไทยโดย 'พันธมิตร' แล้วจะพบว่าหนังมันกวนตีนขึ้นไปอีกหลายสเต็ปเลยทีเดียวเชียวล่ะ (อิอิ) แต่น่าเสียดายที่ภาคนี้ดันตัดบทเฮีย Jet Li และ Mickey Rourke ออกไปซึ่งเข้าใจว่าแค่นี้ตัวละครก็ล้นเรื่องแล้ว แถมยังมีการเติมตัวละครผู้หญิงเก่งเข้ามาเพื่อไม่ให้ซ้ำรอยภาคแรกที่ทำให้ผู้หญิงดูเหมือนไม้ประดับเกินไปอีกด้วย

หนุ่มๆ ในเรื่องนี้ล้วนปากหมากันถ้วนหน้า
ครั่บมาถึงตรงนี้คงต้องบอกว่างานนี้ลางเนื้อชอบลางยาจริงๆ คือแล้วแต่รสนิยมของท่านแล้วล่ะครับ หากอยากดูหนังแอ็คชั่นบู๊กระหน่ำสไตล์หนังยุค 80 ที่ไม่ต้องคิดอะไรมากล่ะก็ เรื่องนี้ถูกใจใช่เลย ซึ่งมันก็แค่นั้น คือถึงจะดูสนุก ดูมันส์ดี แต่พอดูจบออกมาจากโรงแล้ว มันก็แล้วกันไป ไม่มีอะไรติดคาใจเป็นของฝากกลับบ้าน นี่เห็นว่าภาคสามประกาศสร้างเรียบร้อยแล้ว ก็ต้องรอดูกันต่อไปว่าคราวหน้าจะเกณฑ์ผู้เฒ่ารายใดมาบู๊กันได้อีกล่ะเนอะ เหอๆ

  • + ยังคงบู๊กระหน่ำแหลกได้มันส์ถูกใจคอหนังแอ็คชั่น ที่ดูได้เพลินๆ แบบไม่ต้องคิดอะไรมากให้ปวดหมอง
  • - แต่ดูจบแล้วก็แล้วกันไป ไม่มีแบบ "หนังจบแต่คนไม่จบ" เหมือนบางเรื่องหรอกเน้อ ;D







*รีวิวภาคแรกและผลงานของ ผกก.Simon West เรื่องอื่นๆ ภายในบล็อก*

วันพฤหัสบดีที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2555

The Bourne Legacy (2012): งานผมเข้าเพราะเจสัน บอร์น



The Bourne Legacy (2012) :

หลังจากจบไตรภาคของยอดจารชนความจำเสื่อม Jason Bourne อย่างสวยสดงดงามไปแล้วตั้งแต่ปี ค.ศ.2007 แต่ดูเหมือนผู้สร้างจะยังไม่ยอมให้หนังชุดนี้จบลงง่ายๆ จนกระทั่งเกือบกล่อมเฮีย Matt Damon กับ ผกก.Paul Greengrass ให้กลับมาทำภาคต่อได้สำเร็จ แต่เผอิญว่า ผกก.Greengrass ดันเกาเหลาเรื่องบทกับมือเขียนบทประจำหนังชุดนี้อย่าง Tony Gilroy เสียก่อน เขาเลยขอถอนตัวไปโดยมีเฮีย Damon ถอนตัวตามไปติดๆ อีกรายในที่สุด


ไม่ใช่ Jason Bourne แต่เขาคือ Aaron Cross
ว่าแล้วทางผู้สร้างก็เลยต้องคิดใหม่ทำใหม่เพื่อหาทางแก้เกมให้มีภาคต่อออกมาจนได้ โดยหวยไปตกที่ Gilroy ซึ่งได้พ่วงทั้งหน้าที่กำกับ/เขียนบท และได้เฮีย Jeremy Renner นักแสดงหนุ่มที่กำลังรุ่งวันรุ่งคืนให้มารับบท Aaron Cross พระเอกของเรื่องที่ถึงจะไม่ใช่เฮีย Jason Bourne ดั่งที่ชื่อเรื่องชวนให้คิด แต่เรื่องราวของเขาก็อยู่ในจักรวาลและช่วงเวลาเดียวกัน แถมนาย Cross เนี่ยยังมีฝีมือกับสติปัญญาในระดับที่สูสีพอฟัดพอเหวี่ยงไม่น้อยหน้าเฮีย Bourne เลยทีเดียวนะจ้ะ


เฮีย Edward Norton มาในมาดตัวโกงประจำเรื่อง
หนังเข้าใจโยงเหตุการณ์ให้เกี่ยวเนื่องจากภาค Ultimatum (2007) เอาแค่การเปิดเรื่องมาด้วยภาพนาย Cross ที่กำลังแหวกว่ายอยู่ในน้ำนั้นก็ถือว่าเป็นการรับช่วงต่อจากฉากจบของ Ultimatum ได้เก๋จริงๆ รวมทั้งการมีเหล่าตัวละครหรือหรือภาพเหตุการณ์ในภาคที่แล้วโผล่มาให้เห็นเป็นระยะๆ ก็สามารถทำให้สองเรื่องคาบเกี่ยวกันได้แบบเนียนๆ แต่ทว่าหนังโดยรวมยังเป็นแค่การรีไซเคิลสิ่งที่เราเคยเห็นมาแล้วจากหนัง Bourne ภาคก่อนๆ ซึ่งในที่นี้คือการนำมาใช้ใหม่ในแบบที่ดีน้อยกว่าเดิมไปซะงั้น


ขี่มอเตอร์ไซค์อย่าลืมสวมแว่นกันแดดเพื่อความเท่ของผู้ขับขี่
คือหนังไม่ค่อยจะมีบู๊ ไม่ค่อยจะมันส์เท่า ส่วนการไล่ล่าก็ดูจะไม่ค่อยจะชวนลุ้นระทึกเอาสักเท่าไหร่เลย แต่ก็ยังพอจะมีฉากบู๊เด็ดๆ ให้เห็นอยู่บ้าง (โดยเฉพาะในช่วงครึ่งแรกของหนัง) ซึ่งการละทิ้งสไตล์ภาพกล้องสั่นไปถึงจะทำให้ภาพดูสบายตาขึ้นแต่ก็มีส่วนทำให้หนังดูลุ้นน้อยลงไปนะ ส่วนทางด้านเฮีย Renner นั้นก็ดูจะทำหน้าที่บู๊ในเรื่องนี้ได้อย่างทะมัดทะแมงเข้าท่าดี โดยจะเห็นจากการที่เขาพยายามเล่นฉากบู๊เองในหลายๆ ฉาก แต่ในส่วนของเสน่ห์ความน่าเอาใจช่วยนั้นคงต้องบอกว่าอาจจะยังเป็นรองเฮีย Damon เขาอยู่พอสมควรนะ

คู่พระนางกำลังส่งสายตาซึ้ง
นี่ไม่ใช่ว่าหนังไม่ดีหรอกนะครับ เป็นหนังบู๊น้ำดีดูกันได้เพลินทีเดียว เพียงแต่ว่าเมื่อขึ้นชื่อว่าเป็นหนังเครือเดียวกันแบบนี้ ก็คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกคาดหวังและเอาไปเทียบกับภาคเก่าๆ โดยเฉพาะด้านมาตรฐานที่ดูจะห่างกันอยู่พอสมควร ก็ต้องรอดูกันต่อไปว่าชะตากรรมของนาย Aaron Cross บนตารางหนังทำเงินจะเป็นยังไงต่อไป ถ้ารุ่งก็คงจะมีภาคต่อออกมาอีก แต่ถ้าไม่ เห็นทีคงต้องเรียกตัวเฮีย Jason Bourne กลับมาช่วยราชการซะแล้ว เหอๆ

  • + หนังแอ็คชั่นไล่ล่าน้ำดี คนที่คิดถึงหนังสไตล์ Jason Bourne คงมีปลื้ม หนังดูได้เพลินๆ เฮีย Renner ทำหน้าที่ได้ดี
  • - เป็นเหมือนการรีไซเคิลสิ่งที่เห็นๆ มาจากภาคก่อนๆ หนังไม่ค่อยบู๊ ไม่ค่อยมันส์ เมื่อเทียบกับสามภาคก่อน





*รีวิวหนังเรื่องอื่นๆ ของเฮีย Jeremy Renner ภายในบล็อก*


วันศุกร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2555

Total Recall (2012): บู๊ทะลุโลก


Total Recall (2012) :

สงสัยเราคงจะเริ่มแก่แฮ่กแล้วจริงๆ เพราะหนังหลายเรื่องที่เคยทันดูในโรงสมัยเด็กๆ เริ่มจะเวียนมาน็อครอบถูกเอามารีเมคใหม่ซะหลายเรื่องแล้ว และนี่เรื่องล่าสุดที่เป็นการจับเอาหนังแอ็คชั่นไซไฟเรื่องดังจากปี ค.ศ.1990 ของป๋า Arnold Schwarzenegger และ ผกก.Paul Verhoeven มาคิดใหม่ทำใหม่ให้ไฉไลไปโลด ซึ่งก็เป็นการสร้างจากเรื่องสั้นแนวไซไฟของ Philip K. Dick เรื่อง "We Can Remember It for You Wholesale" มาอีกทีนั่นเองจ้า


หนังบู๊สนั่นของเฮีย Colin Farrell
มาเวอร์ชั่นนี้หนังอยู่ในความรับผิดชอบของ ผกก.Len Wiseman เจ้าของตำนานหนังชุด Underworld ที่ควงภรรเมียสุดที่เลิฟ Kate Beckinsale มาหากินกับหนังเรื่องอื่นเพื่อเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง โดยมอบหมายหน้าที่บู๊กระจายให้กับพระเอกมาดเข้ม Colin Farrell ซึ่งระยะหลังๆ มานี้ดูเฮียแกจะหันมาเป็นมิตรกับหนังตลาดมากขึ้นนะ (ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ดีแล้ว) พ่วงด้วยสาว Jessica Biel และนักแสดงคุ้นหน้าอีกมากมายหลายหน่อ


สองสาวเขม่นจ้องจะตบกันทั้งเรื่อง
ครั่บ เรื่องนี้ ผกก.Wiseman ยังคงมาด้วยสไตล์เก่งของแกคือทำหนังแอ็คชั่นหวือหวาเน้นเท่ เดินเรื่องรวดเร็วปานจะรีบไปไล่วัวที่ไหน และกระหน่ำแหลกไปด้วยฉากบู๊ระเบิดเถิดเทิงฉากแล้วฉากเล่า ซึ่งมันก็ไม่ใช่สิ่งที่เลวร้ายอะไร หนังดูเพลินๆ ดีออก ถ้าท่านต้องการดูหนังแอ็คชั่นไล่ล่ามันส์ๆ ไม่ต้องคิดอะไรมาก หนังทำได้ดีในการวาดภาพชีวิตความเป็นอยู่ในอนาคตออกมาได้อย่างน่าสนใจ (แต่ดูแล้วชวนให้นึกถึง Minority Report [2002] ผสม Blade Runner [1982] อยู่บ้าง) ไอเดียทะลุโลกเราแทนที่จะไปล่อกันที่ดาวอังคารเหมือนหนังเวอร์ชั่นก่อนก็เข้าใจคิดดี ส่วนงานด้านภาพงานด้านเอฟเฟกต์นี่ก็หายห่วงไม่มีห่วยอยู่แล้วล่ะ

เจ๊ Kate Beckinsale ขอรับบทยัยตัวร้ายบ้าง
ยิ่งถ้าท่านเคยเป็นแฟนหนังเวอร์ชั่นก่อนมาด้วยจะยิ่งดูหนังเรื่องนี้ได้เพลินยกกำลังสอง เพราะหนังมีการอ้างอิงของเก่ามาหลายฉากหลายตอนให้ได้เฮ ทั้งสาวสามเต้า ฉากปลอมตัว ฉากเครื่องปลูกความทรงจำ ฉากบู๊กับเมียที่คิวบู๊ดูคล้ายกับของเก่าดีแฮะ คือหนังมีอะไรแบบนี้เล็กๆ น้อยๆ ให้ได้สังเกตกันตลอด ซึ่งนั่นก็แสดงให้เห็นว่าถึงผู้สร้างจะเปลี่ยนแปลงรายละเอียดในหนังไปหลายๆ อย่าง แต่ก็ยังไม่ถึงกับหมางเมินสะบัดบ๊อบเชิดใส่แฟนหนังเวอร์ชั่นเก่าแต่อย่างใด


พระเอกเวอร์ชั่นดั้งเดิมทำหน้าตาได้อารมณ์กว่าเยอะ
ถ้าเทียบกับเวอร์ชั่นก่อนแบบหมัดต่อหมัดแล้วแน่นอนว่านอกจาก ด้านเทคนิค ความหวือหวากับความเท่ เวอร์ชั่นใหม่นี้ยังถือว่าแค่สอบผ่านเท่านั้น (ตามประสาของหนังที่มาทีหลัง) คือรีเมคไม่เสียของ ดูสนุก ดูเพลิน แต่จบแล้วก็แล้วกันไป ยังไงก็ขอให้หนังประสบความสำเร็จก็แล้วกัน เฮีย Farrell เขาจะได้กลับมาฮ็อตฮิตเป็นที่ต้องการตัวของฮอลลีวู้ด และมีหนังเด็ดๆ ออกมาให้เราแฟนหนังได้ดูกันอีกต่อไปในอนาคตเน้อ ^^

  • + หนังแอ็คชั่นไซไฟรีเมคที่ทำได้ไม่เสียของ ดูสนุก ดูเพลิน โปรดักชั่นแจ่ม มีอ้างอิงให้คอหนังเวอร์ชั่นเดิมได้เฮ
  • - เป็นหนังสนุกชนิดที่ดูจบแล้วก็จบกันไป ไม่มีอะไรตรึงตาตรึงใจตามออกมาจากโรงหนังมากนัก





*ช่วงย้อนรอยหนังต้นฉบับ*

Total Recall (1990) :
ต้องบอกว่าความสำเร็จของหนังเรื่องนี้มาจากวิสัยทัศน์ของป๋า Arnold ล้วนๆ เพราะป๋าแกเป็นตัวตั้งตัวตีในการสร้าง และเลือก ผกก.Paul Verhoeven ที่กำลังดังขึ้นหม้อจาก RoboCop (1987) มาดูแลหนังส่งผลให้หนังออกมาเป็นหนังแอ็คชั่นไซไฟบู๊โหดๆ แรงๆ ระดับเรท R ที่มีเนื้อเรื่องหนักแน่นโดนใจคอหนังส่งผลให้หนังฮิตระเบิดเถิดเทิงทำเงินไปซะเกือบ 300 ล้านเหรียญ ส่วนงานด้านเอฟเฟกต์ก็ทำได้เลิศถึงขั้นได้เข้าชิงออสก้าร์ซะด้วย (แต่รับประทานแห้ว)

แต่ถ้ามาดูในทุกวันนี้ งานด้านเอฟเฟกต์และอะไรหลายอย่างของหนังดูค่อนข้างตกยุคไปแล้ว ถึงกระนั้นหนังโดยรวมก็ยังดูได้สนุกเข้มข้นอยู่ ฉากที่น่าจดจำคงไม่พ้นฉากล้วงจมูกเอาเครื่องติดตาม ฉากปลอมตัวผ่านด่าน ฉากตาถลนนอกเบ้า (และแน่นอนสาวสามเต้า) ซึ่งล้วนส่งให้หนังกลายเป็นหนังที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งของป๋า Arnold และเป็นหนังคลาสสิกอีกเรื่องสำหรับคอหนังไซไฟไปซะแล้ว