วันจันทร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

The Road (2009): ตะลอนทัวร์หลังวันสิ้นโลก


The Road (2009) :
หนังดราม่าไซไฟแนว "ยุคหลังวันสิ้นโลก"(Post-Apocalyptic) ที่สร้างจากนวนิยายระดับรางวัลพูลิตเซอร์ของ Cormac McCarthy (ซึ่งเป็นผู้แต่ง No Country for Old Men อีกด้วย) โดยเวอร์ชั่นหนังได้ ผกก.ชาวออสเตรเลีย John Hillcoat (The Proposition [2005]) มารับผิดชอบ ซึ่งนำแสดงโดยนักแสดงคุณภาพอย่าง Viggo Mortensen (Eastern Promises [2007]) และนักแสดงสมทบที่ดังๆ อีกหลายคน


สองพ่อลูกพากันตะลอนทัวร์ในหนังเรื่องนี้
ชายคนหนึ่ง (Mortensen) ได้พาลูกชาย (Kodi Smit-McPhee) ออกเดินทางตะลอนทัวร์เพื่อหาทางเอาชีวิตรอด ท่ามกลางโลกที่ไร้ซึ่งพืชพันธุ์ สิ่งมีชีวิต ผู้คนก็แทบจะสูญพันธุ์หลังเกิดหายนะครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อน ส่วนคนที่เหลืออยู่ก็ประสบปัญหาขาดแคลนอาหารอย่างหนัก จนถึงกับมีคนบางกลุ่มที่ลุกขึ้นมาจับคนด้วยกันเองมากินเลยก็มี เรียกได้ว่าโลกอยู่ในสภาวะที่สิ้นหวังสุดๆ แต่สองพ่อลูกคู่นี้ก็ยังมีความหวัง คือการเดินทางลงใต้ไปยังริมทะเล โดยหวังว่าจะเจอ อาหาร ที่พักพิง และผู้คนที่เป็นมิตร ซึ่งกว่าจะไปถึงที่หมายได้ พวกเขาก็ต้องเผชิญสิ่งต่างๆ มากมาย งานนี้นอกจากพวกเขาจะต้องพยายามรักษาชีวิตของตนเองแล้ว ยังต้องพยายามรักษาความเป็น "มนุษย์"ของตนเอาไว้ให้ได้ด้วย


คุณ Mortensen เล่นดีมากจนอยากปูผ้ากราบงามๆ
ผู้สร้างประสบความสำเร็จในการสร้างโลกหลังหายนะที่ดูหดหู่และสิ้นหวังดีแท้ ในหนังเต็มไปด้วยผู้คนที่หน้าตามอมแมมแบบที่คงลืมไปแล้วว่าตนเองอาบน้ำครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ และยังมีฉากระทึกๆ ของการหนีตายจากพวกกินคนที่แทรกมาเป็นระยะๆ แต่สองพ่อลูกที่เป็นหัวใจของหนังก็ล้วนทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยม โดยเฉพาะคุณ Mortensen ที่แสดงได้ดีโคตร ทั้งสีหน้า แววตา น้ำเสียง ที่ทำให้เชื่อหมดใจเลยว่าเขารักลูกจริงๆ ในขณะที่เหล่านักแสดงสมทบที่มีชื่อเสียงก็ผลัดกันมาทำหน้าที่ของตนได้อย่างดี (แต่มาในสภาพหน้าตามอมแมมซะจนจำไม่ได้) และสุดท้ายที่จะลืมไม่ได้ก็คือภาคดนตรีประกอบที่ได้ซี้ของ ผกก.อย่างศิลปินชาวออสซี่ Nick Cave และ Warren Ellis มาทำซาวน์แทร็คที่แสนจะไพเราะและส่งเสริมอารมณ์ของหนังได้แจ่มยิ่งนัก


นักแสดงสมทบล้วนแต่เป็นคนที่เราคุ้นหน้ากันดี
ถึงจะเป็นหนังที่ดูสิ้นหวัง แต่กลับมีประเด็นเด่นชัดในเรื่อง "ความหวัง"เป็นอย่างยิ่ง ในสภาพของโลกเช่นนั้น บางคนได้ละทิ้งความหวังที่จะมีชีวิตอยู่ของตน และได้ตัดสินใจฆ่าตัวตายไป หลายคนที่ถึงแม้จะยังมีความหวังในการมีชีวิตอยู่ แต่ก็ได้ละทิ้งความเป็นมนุษย์ของตนไป แล้วหันมากินกันเองเพื่อความอยู่รอด ในขณะที่สองพ่อลูกที่หวังจะอยู่รอดเพื่อวันที่ดีกว่า ก็ต้องประสบกับการทดสอบความเป็นมนุษย์ด้วยเช่นกัน ในหนังเราจะเห็นได้ว่าหลายครั้งที่ผู้พ่อถูกลูกชายวีนใส่ ที่ได้ขาดความรักและความกรุณาแก่เพื่อนมนุษย์ นี่กระมังที่หนังพยายามจะบอกเราว่า ความหวังที่แท้จริงนั้นต้องมาพร้อมกับความกรุณาด้วยเสมอ นั่นแหล่ะที่ทำให้เรายังคงความเป็นมนุษย์อยู่ได้

  • + เป็นหนังดราม่าไซไฟที่เปี่ยมคุณภาพ ให้แง่คิด ที่มาพร้อมการแสดงดีเยี่ยม
  • - หนังดูหดหู่ ไม่มีอะไรน่ารื่นรมย์ ดูแล้วชีช้ำเปล่าๆ น่า




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น