มีคนเคยเปรียบครูเอาไว้ว่าเป็นดั่งเรือจ้าง ที่ออกแรงแจวเรืออย่างแข็งขันดึ๋งดั๋งเพื่อไปส่งผู้โดยสาร (นักเรียน) ยังที่หมาย ซึ่งพอถึงฝั่งแล้วก็ต้องโดนถีบหัวเรือส่งอยู่ร่ำไป ครูจึงนับว่าเป็นอาชีพที่เสียสละและน่ายกย่องไม่น้อยเลยทีเดียว (แม้ว่าทุกวันนี้ครูแย่ๆ จะมีอยู่เยอะก็ตามทีเถอะ) หนังที่เกี่ยวกับคุณครู/นักเรียนจึงมีออกมาให้ดูกันอยู่ทุกบ่อย ซึ่งส่วนใหญ่จะออกมาแนวยกย่องเชิดชูคุณครูหรือเสริมสร้างแรงบันดาลใจให้ทั้งนักเรียนทั้งคุณครูลุกขึ้นมาสู้เพื่อฝัน ส่วนจะไปถึงฝันได้หรือไม่นั้นก็อีกเรื่องหนึ่งเน้อ หุหุ
บทบาทการแสดงที่ดีที่สุดอีกเรื่องของเฮีย Brody
และนี่คือหนังครู/นักเรียนอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งเกิดจากการประสานพลังของเฮีย Adrien Brody (The Pianist [2002]) และ ผกก.Tony Kaye (American History X [1998]) อันว่าด้วยเรื่องราวของ Henry (Brody) ครูสอนแทนที่ต้องไปสอนเด็ก ม.ปลาย ในโรงเรียนแห่งหนึ่ง ซึ่งนอกจากจะต้องรับมือกับเด็กๆ ในชั้นเรียนที่ได้ชื่อว่าเกรียนที่สุดแล้ว เขายังได้รู้จักกับผู้หญิงสามคนสามสไตล์ที่จะเข้ามาทำให้ชีวิตของเขาต้องพบกับความดราม่าสิ้นดีไปเลยเชียวงานนี้
อ่านพล็อตและดูเทรลเลอร์แล้วก็อย่าเพิ่งคิดว่านี่คือหนังครู/นักเรียน กะเรียกความประทับใจทั่วๆ ไปซะก่อนล่ะ เพราะอันที่จริงแล้วหนังไม่ได้เน้นไปที่ชีวิตของนักเรียนหรือเรื่องราวในชั้นเรียนเป็นหลัก หากแต่เน้นไปที่สภาพจิตใจบรรดาคุณครูทั้งหลาย ให้เห็นว่าไม่ใช่มีแต่นักเรียนเท่านั้นที่มีปัญหา คุณครูก็มีปัญหาหนักอกได้เหมือนกันนะเฟ้ย และก็พูดถึงการใช้ชีวิตอยู่ในสังคมของคนเราซึ่งการกระทำของคนหนึ่งก็ย่อมต้องส่งผลกระทบแก่อีกคนอยู่แล้ว ไม่ว่าเขาจะเป็นใครก็ตาม ดังนั้นจึงอยู่ที่เราแล้วว่าจะเลือกมีท่าทียังไงต่อผู้อื่น เพราะสุดท้ายแล้วผลลัพธ์มันก็จะย้อนกลับมาที่เราเช่นเดิม
นักเรียนปิ๊งครูนั้นที่ไหนก็มี
หนังโดดเด่นตรงที่มีบรรดานักแสดงคุ้นหน้าคุ้นตาระดับคุณภาพตบเท้ากันเข้ามาร่วมประชันบทบาทเพียบ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงบารมีของตัว ผกก.ได้เป็นอย่างดีว่าแกมีองค์ ส่วนคนที่โดดเด่นที่สุดก็คือเฮีย Brody ซึ่งนานๆ ทีจะเห็นเฮียแกเล่นดีสมกับฐานะเจ้าของรางวัลออสก้าร์นำชายแบบนี้บ้าง จนแทบจะเรียกได้ว่านี่เป็นบทบาทที่เยี่ยมที่สุดอีกเรื่องหนึ่งในเครดิตของเฮียเลยทีเดียว และอีกคนที่ทำหน้าที่ได้ดีและน่ารักเจิดจรัสได้ใจไปไม่น้อยเลยคือคุณน้อง Sami Gayle ในบทวัยรุ่นสาวชีวิตบัดซบที่ได้เข้ามาพัวพันกับชีวิตพระเอกเขา
สาว Christina Hendricks ยังคงสวยอวบได้ใจหนุ่มๆ เช่นเดิม
หนังเล่าเรื่องอย่างเน้นสมจริงสมจัง ไม่เน้นสดใสดูเพลินหรือฟีลกู้ดเพื่อเรียกความประทับใจอย่างหนังครูส่วนใหญ่เขา แถมออกจะเศร้าซึมลึกบาดอารมณ์ถึงขั้นอาจทำเอาบ่อน้ำตาแตกซะด้วยซ้ำไป และด้วยสไตล์การเล่าเรื่องและงานด้านภาพที่ออกแนวอาร์ตเฮ้าส์เล็กๆ (ที่ไม่อาร์ตจ๋าจนเกินไป) แบบที่มีการตัดสลับฉากสัมภาษณ์พระเอกหรือตัวละครอื่นๆ เพื่อให้อารมณ์คล้ายหนังสารคดี ก็ทำให้หนังกลายเป็นหนังอินดี้เล็กๆ เนื้อหาบ้านๆ ที่เต็มไปด้วยนักแสดงเกรดเออย่างเต็มภาคภูมิไปในที่สุด
หนังดีโดนใจอีกเรื่องของปีที่แล้ว
จริงๆ แล้วหนังยังขาดตกบกพร่องในบางส่วนและมาพร้อมกับเรื่องราวเดิมๆ ไม่เกินเดาไปบ้าง แต่ออกมากระทบใจได้ปานนี้ก็ต้องขอซูฮกแล้วล่ะ แม้จะไม่ได้มีรางวัลใหญ่ใดๆ มาการันตีความดีงามของหนังอย่างใครเขา ทว่าก็ปฏิเสธไม่ได้ว่านี่คือหนังที่ดีที่สุดอีกเรื่องหนึ่งของปีที่แล้ว รวมทั้งในบรรดาหนังของเฮีย Brody เองด้วย อย่าเพิ่งเชื่อจนกว่าจะได้พิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง คอหนังคุณภาพทั้งหลายไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวงจ้า
- + หนังดีมีคุณภาพ นักแสดงเพียบ เล่าเรื่องได้กระทบใจ เศร้าบาดทรวง ไม่สร้างภาพ จนนับเป็นหนังดราม่าครูๆ ที่แจ่มที่สุดอีกเรื่องหนึ่ง
- - มาด้วยพล็อตเดิมๆ ไม่เกินคาดเดา และบางส่วนของหนังดูโดดๆ ข้ามๆ ไม่ลงตัวไปบ้าง
*ช่วงเพลงในหนัง*
Ray Lamontagne
ด้วยความที่หนังออกแนวเศร้าๆ ดราม่าบาดใจซะปานนี้ เพลงที่เขาเลือกมาใช้ในหนังก็ต้องเลือกมาแบบเศร้าซึมได้ใจพอๆ กัน ซึ่งก็คือเพลง Empty ของ Ray Lamontagne ศิลปินโฟล์ควัย 38 ขวบชาวมะกัน ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับผู้ที่ปล่อยให้ตนเองติดอยู่ในความโศกเศร้า ระทมทุกข์ มาเนิ่นนาน จนถึงกับตัดพ้อกับตนเองว่าไม่เห็นมีสิ่งใดในโลกที่จะสามารถชูใจเขาขึ้นมาได้เลย แม้แต่แสงอรุณยามเช้า โอ้ว! ช่างเหมาะเหม็งลงตัวกับตัวหนังสุดๆ ไปโลด!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น