วันเสาร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2555

The Amazing Spider-Man (2012): ไอ้แมงมุมขยุ้มหัวใจ


The Amazing Spider-Man (2012) :

เชื่อว่าตอนข่าวออกมาใหม่ๆ ว่าจะมีการรีบู๊ตหนังชุด Spider-Man นั้น หลายคนคงจะคิดว่า "อะไรแว๊? นี่เพิ่งจะทิ้งช่วงจากภาคสามไปแค่สี่-ห้าปีเอง รีบู๊ตใหม่ซะแล้ว?!" ซึ่งสาเหตุนั้นมันมาจากการที่โซนี่ตกลงเรื่องบทของภาคสี่กับ ผกก.Sam Raimi ไม่ลงตัว ผกก.แกก็เลยขอวอล์คเอ้าท์ (รวมทั้งพระเอก Tobey Maguire ด้วย) แต่แทนที่จะทู่ซี้เข็นภาคสี่ออกมาต่อ โซนี่ก็เลยขอยกเครื่องใหม่รีบู๊ตมันซะเลยให้รู้แล้วรู้แร่ดไป


สไปเดอร์แมนคนใหม่มาแล้วจ้า
แต่แฟนหนังชุดเก่าก็อย่าเพิ่งทำหน้ายี้ไปเพราะโซนี่ฉลาดพอที่จะวางทีมงานชุดใหม่ได้ออกมาหน้าตาโหงวเฮ้งดูดีมีชาติการ์ตูนใช่เล่น ทั้งสองนักแสดงหนุ่มสาวที่กำลังดังขึ้นหม้อในขณะนี้อย่าง Andrew Garfield และ Emma Stone รวมทั้ง ผกก.Marc Webb ที่เคยทำหนังสุดจี๊ดขวัญใจคนหนุ่มสาวอย่าง (500) Days of Summer (2009) ซึ่งเท่านี้ก็พอจะทำให้คอหนังรู้สึกดีล่วงหน้าเกี่ยวกับตัวหนังได้แล้วระดับหนึ่งว่าคงจะไม่ออกมาเล่นง่ายหากินแบบตีหัวเข้าบ้านแน่ๆ


นางเอกเราได้ใจหนุ่มๆ ไปเต็มๆ
แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะหนังเวอร์ชั่นรีบู๊ตนี้ออกมาถึงคุณภาพไม่น้อยหน้าเวอร์ชั่นเดิมเลย ทั้งยังจะโดดเด่นกว่าตรงส่วนของฉากดราม่าหรือเรื่องราวความรักระหว่างสองพระนางซึ่งนักแสดงทั้งคู่ก็ล้วนสามารถพาเสน่ห์ของตนมามัดใจคนดูได้อย่างน่าชื่นชม โดยเฉพาะพ่อหนุ่ม Garfield ที่สอบผ่านในบท Peter Parker/Spider-Man ได้อย่างสบาย ส่วนงานด้านต่างๆ ก็อยู่ในระดับดีหนึ่งประเภทหนึ่งตามมาตรฐานอันดีงามของฮอลลีวู้ดเขาอยู่แล้ว


สน.ไหนบังอาจจับสไปดี้
แต่ก็คงจะหลีกเลี่ยงการถูกนำเอาไปเปรียบเทียบกับเวอร์ชั่นเดิมไม่ได้อยู่แล้ว (ก็มันเพิ่งจะไม่กี่ปีมานี่เองนี่เนอะ) ซึ่งในเวอร์ชั่นใหม่นี้เรื่องราวส่วนใหญ่ยังอิงจากของเดิม (แน่สิเพราะมีหนังสือการ์ตูนเขาเป็นต้นแบบอยู่แล้ว) และเปลี่ยนแปลงรายละเอียดบางอย่าง เช่นเปลี่ยนพระเอกเราจากเด็กเนิร์ดโลกเมิน กลายเป็นหนุ่มคนนอกที่ไม่มีใครอยากสุงสิงด้วยแทน หรือการเปลี่ยนนางเอกเป็น Gwen Stacy และที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดคือเวอร์ชั่นนี้หย่อนฉากมันส์ๆ หรืออะไรฮาๆ อย่างที่เวอร์ชั่นของ ผกก.Raimi มีมาให้ตลอด จึงเรียกได้ว่าเวอร์ชั่นใหม่นี้ทำได้ดี แต่ดันไม่ค่อยมันส์ว่างั้นเถอะ (ฉากบู๊ช่วงท้ายก็ยังดูเข้าท่าอยู่นะ)


ภาคนี้สไปดี้ต้องใช้เครื่องยิงไยแมงมุม
อีกอย่างที่น่าจะเป็นจุดอ่อนของเวอร์ชั่นนี้คือ ทุกวันนี้ชาวประชาเขาไม่ค่อยจะตื่นเต้นตื่นตาตื่นใจไปกับภาพของ Spider-Man ที่โลดแล่นโหนไปโหนมาบนจอเท่าในอดีตแล้ว พอมาเจอหนังเล่าเรื่องซ้ำแบบนี้อีกก็ยิ่งแล้วไปกันใหญ่ กระแสของหนังก็เลยอาจดร็อปลงไปเยอะ บวกกับหนังภาคนี้เน้นฉากดราม่าซะเป็นส่วนใหญ่ก็เลยให้อารมณ์เหมือนรักหนังวัยรุ่นที่บังเอิญเป็น Spider-Man ซะมากกว่าที่จะเป็นหนัง Spider-Man ที่เราคุ้นเคยกันไปซะงั้น


เจอพ่อตาเป็นตำรวจก็ต้องทำใจ
สรุปแล้วเวอร์ชั่นรีบู๊ตนี้คงเป็นที่ถูกอกถูกใจกลุ่มคนดูที่เป็นวัยรุ่นหรือที่โตๆ หน่อย แต่สำหรับคนดูทั่วๆ ไปที่กะดูเอามันส์นั้นหนังคงจะตอบสนองความมันส์ได้ไม่เท่าไหร่นัก (โดยเฉพาะในช่วงแรกๆ ของหนังที่อาจทำเอาหลับ) ยังไงก็หวังว่าหนังจะประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี จะได้รอดูว่าภาคต่อไปที่ไม่ต้องเสียเวลาปูพื้นตัวละครจะออกมาสนุกสักแค่ไหน สู้ต่อไปนะไอ้แมงมุม! ^^

  • + เวอร์ชั่นรีบู๊ตที่ทำออกมาได้เข้าท่าถึงคุณภาพ โดดเด่นตรงเรื่องราวความรักของหนุ่มสาว และฉากดราม่า น่าพอใจหลายๆ
  • - แต่ถ้าเอาไปเปรียบเทียบกับของเก่าจะพบว่าสนุกน้อยกว่า เด็กๆ ดูแล้วอาจไม่ปลื้มเท่าไหร่นัก




*รีวิวหนังของ ผกก.Marc Webb และพ่อหนุ่ม Andrew Garfield เรื่องอื่นๆ ภายในบล็อก*


วันศุกร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2555

From Up on Poppy Hill (2011): ฮักนะ โยโกฮาม่า



From Up on Poppy Hill (2011) :

คราวก่อนป๋า ฮายาโอะ มิยาซากิ ดันลูกชายสุดที่เลิฟ โกโร่ ให้เปิดซิงกำกับอนิเมชั่นเรื่องยาวให้ทางสตูดิโอจิบลิใน Tales from Earthsea (2006) แต่ทว่าตัวหนังดันออกมาสนุกน้อยเกินไปหน่อย หนังเลยไม่ประสบความสำเร็จสักเท่าไหร่เมื่อเทียบกับผลงานที่ผ่านๆ มาของทางสตูดิโอ (แต่ก็ยังทำเงินไปได้บานอยู่ดี)


อนิเมชั่นถวิลหาอดีตจากสตูดิโอจิบลิ
มาคราวนี้ ผกก.โกโร่ มิยาซากิ ขอกลับมาแก้มืออีกครั้ง โดยการนำเอาหนังสือการ์ตูนชื่อเดียวกันที่ตีพิมพ์ในปี ค.ศ.1980 มาทำ อันว่าด้วยเรื่องราวความรักของวัยรุ่นคู่หนึ่งที่เรียนโรงเรียนมัธยมแห่งเดียวกันในเมืองโยโกฮาม่า สมัยปี ค.ศ.1963 ขณะญี่ปุ่นกำลังจะได้เป็นเจ้าภาพโอลิมปิกเป็นครั้งแรกในปีถัดไป ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของญี่ปุ่นยุคใหม่หลังจากบอบช้ำจากสงครามโลกครั้งที่สองมาหลายปี


ญี่ปุ่นมุงกำลังฮือฮา
แฟนขาประจำของสตูดิโอจิบลิคงได้ยิ้มแก้มปริ เพราะหนังยังมากับลายเส้นอันเป็นเอกลักษณ์ที่แสนคุ้นเคยกันดี ที่แม้จะใช้ลายเส้นที่เรียบง่ายแต่ใส่ใจในรายละเอียดซึ่งเป็นเสน่ห์ประจำผลงานของสตูดิโอนี้เขาล่ะ ส่วนเนื้อเรื่องนั่นเล่าต้องบอกว่าค่อนข้างจะเรียบๆ แถมออกจะน้ำเน่านิดๆ และเรื่องราวบ้านๆ ของคนธรรมดาๆ ที่ไม่ได้มีอะไรที่มันเหนือจิตนาการชวนให้ตื่นตาตื่นใจแบบนี้จัดว่าหนังอยู่ในหมวดหมู่เดียวกับผลงานของจิบลิอย่าง Only Yesterday (1991) และ Whisper of the Heart (1995) ก็คงได้


พระเอกเรามาดเท่ใช่เล่น
ส่วนจุดที่โดดเด่นที่สุดในหนังคืออารมณ์ 'ถวิลหาอดีต' ที่สามารถพาผู้ชมย้อนยุคไปดูญี่ปุ่นยุค '60 ทั้งรูปแบบความเป็นอยู่ ข้าวของเครื่องใช้ วิวทิวทัศน์ สภาพสังคมสมัยโน้นได้อย่างน่าชื่นชม รวมทั้งประเด็นการมุ่งเน้นย้ำเตือนไม่ให้เราละทิ้งหรือทำลายสิ่งที่ดีงามที่มีมาแต่อดีต แล้วกระโจนไปสู่ความเจิดจรัสแห่งอนาคตหรือรับความเจริญต่างๆ เข้ามาจนลืมรากเหง้าของชาติตนไป


จีบสาวต้องกล้าลงทุน
และที่น่าชื่นชมอีกอย่างคือการได้เห็นว่าคนญี่ปุ่นเนี่ยเวลาจะทำอะไรก็จริงจังดีแท้ อย่างเช่นบรรดาเด็กนักเรียนในชมรมต่างๆ ที่ทุ่มเทให้กับสิ่งที่เขาสนใจอย่างเต็มที่ ซึ่งแม้ว่านี่จะเป็นเพียงการ์ตูน แต่เชื่อว่าในความเป็นจริงแล้วก็คงต้องยอมรับว่าพวกเขาเป็นเช่นนั้นจริงๆ ในแบบที่เป็นละขั้วกับเยาวชนหรือผู้ใหญ่ในบ้านเรายิ่งนัก (แม้แต่ตัวข้าพเจ้าเองก็ตาม)


พระเอกแสดงวีรกรรมจนสาวกรี๊ด
ตัวหนังออกมาประสบความสำเร็จในบ้านเกิดอย่างงดงามจนได้ครองตำแหน่งหนังที่ทำเงินสูงสุดในญี่ปุ่นแห่งปีที่แล้ว และยังได้ครองรางวัลภาพยนตร์อนิเมชั่นยอดเยี่ยมของออสก้าร์ญี่ปุ่นอีกด้วย ซึ่งเราไม่แปลกใจเลยเพราะนี่เป็นหนังอนิเมชั่นโดยคนญี่ปุ่น และเพื่อคนญี่ปุ่นจริงๆ (แต่คนชาติอื่นก็ดูได้) ที่ทั้งผู้ใหญ่ คนสูงอายุ ทั้งลูกเด็กเล็กแดงต่างก็สามารถดื่มด่ำกับเสน่ห์ของอนิเมชั่นเรื่องนี้ได้ ต้องให้มันได้อย่างนี้สิคร้าบสตูดิโอจิบลิ :)

  • + สตูดิโอจิบลิไม่เคยทำให้ผิดหวัง เรื่องนี้ออกแนวถวิลหาอดีตแนวๆ Always - Sunset on Third Street (2005) ถ้าใครชอบหนังสไตล์นี้ล่ะคงจะไม่ผิดหวังกันแน่
  • - เนื้อเรื่องออกธรรมดาๆ เน่านิดๆ ดูแล้วก็ดีแต่ยังไม่ประทับจิตนัก





*ช่วงเพลงในหนัง*

คิว ซากาโมโต้ กับเพลงอมตะของเขาในอนิเมชั่นเรื่องนี้
ในหนังเราจะได้ยินเพลง "Ue o Muite Arukō" (I will walk looking up) กันอยู่หลายครั้ง ซึ่งเพลงๆ นี้หรือที่รู้จักกันในนามเพลง 'Sukiyaki' เป็นเพลงสุดฮิตของนักร้อง/นักแสดงหนุ่ม คิว ซากาโมโต้ ที่นอกจากจะดังในญี่ปุ่นแล้วยังไปขึ้นอันดับหนึ่งบน Billboard Chart ของอเมริกาในปี ค.ศ.1963 ได้เสียด้วย จนนับเป็นเพลงภาษาญี่ปุ่นเพลงแรกและเพลงเดียวที่สามารถทำได้เช่นนี้ ทั้งยังขายแผ่นเสียงได้กว่า 13 ล้านแผ่นทั่วโลก เรียกได้ว่าเป็นเพลงที่คนส่วนใหญ่น่าจะเคยผ่านหูมาบ้างล่ะ (ถ้าได้ฟังคงร้องอ๋อ) เมื่อมาอยู่ในหนังเรื่องนี้เลยสามารถสร้างอารมณ์ถวิลหาให้คนดูได้หวนระลึกถึงความหลังได้เป็นอย่างดี





MP3: Kyo Sakamoto - Sukiyaki


*รีวิวหนังเรื่องอื่นๆ ของสตูดิโอจิบลิ ภายในบล็อก*

วันอังคารที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2555

The Squad (2011): ปั่นจิตให้หารคลั่ง




The Squad (2011) :

ถ้าหากเอ่ยถึงประเทศ'โคลัมเบีย'แล้ว พวกเราส่วนใหญ่คงไม่ค่อยจะหือจะอือกันสักเท่าไหร่นัก นอกจากจะเคยเห็นภาพลักษณ์ที่ส่งผ่านมาทางหนังฮอลลีวู้ดว่าเป็นดินแดนแห่งนักค้ายาเสพติด ออกแนวเถื่อนๆ หน่อย และการที่นักร้องสาวสุดเซ็กซี่ Shakira ก็เป็นชาวโคลัมเบียเหมือนกัน แต่ถ้าเอ่ยถึงหนังโคลัมเบียขึ้นมา หลายคนคงจะเกาหัวเกาตูดแกรกๆ พลางบ่นพึมพำว่ามันมีด้วยเหรอ? (วะ)


เมื่อทหารต้องเจอสงครามประสาท
แหม่ ประเทศเขาก็ไม่ได้หลังเขาซะขนาดนั้นที่ถึงกับจะไม่มีอุตสาหกรรมหนังของตน และหนังแนวจิตวิทยาระทึกขวัญเรื่องนี้ก็คือข้อพิสูจน์ให้เห็นว่าหนังโคลัมเบียก็ไม่ใช่ขี้ๆ นะเว้ยครับท่าน ด้วยเรื่องราวของทหารเก้านายที่มีภารกิจต้องไปตรวจสอบดูว่าทำไมอยู่ๆ ทหารที่ประจำการยังฐานบนยอดเขาไกลปืนเที่ยงแห่งหนึ่งถึงขาดการติดต่อไปดื้อๆ ซึ่งเมื่อพวกเขาไปถึงก็พบเรื่องราวลึกลับ สุดสยองหลอนจิตปั่นประสาทเกิดขึ้นมากมาย จนพี่หารเราถึงกับสติแตกไปตามๆ กันเลยทีเดียว


งานนี้ปืนกลก็คงช่วยอะไรไม่ได้มากนัก
หนังเปิดเรื่องมาอย่างจริงจัง น่าเชื่อถือ แม้จะเป็นหนังทุนน้อยแต่ก็ดูไม่กิ๊กก๊อกแต่อย่างใด แต่พล็อตประมาณนี้มันช่างบังเอิญดูคล้ายกับหนังบอสเนียที่ออกฉายปีเดียวกันอย่าง The Enemy (2011) ชอบกลนะ ในด้านที่เล่นกับเรื่องราวชวนสงสัยที่อาจเกี่ยวข้องกับปีศาจ มนต์ดำ เรื่องลึกลับเหนือธรรมชาติ แต่ก็มุ่งเน้นด้านจิตวิทยามากกว่าว่าตกลงคนมันบ้าหลอนกันไปเองหรือเพราะฝีมือของปีศาจกันแน่


หน้าตาพี่แกอารมณ์ประมาณนี้ตลอดทั้งเรื่อง
แต่ถ้าให้เทียบกันแล้ว เรื่องโน้นของบอสเนียทำได้ดีกว่าแยะ เพราะในเรื่องนี้ถึงจะประสบความสำเร็จในการนำเสนออย่างจริงจัง และมอบความกดดัน อึมครึมแก่คนดูได้ดี แต่ตัวละครแต่ละตัวในเรื่องล้วนทำตัวสติแตกไปคนละทาง ชนิดที่ไม่มีใครที่คนดูพอจะสามารถฝากผีฝากไข้ให้เป็นพระเอกได้เลย จนกลายเป็นหนังที่ปั่นประสาทคนดูให้เครียดกันสถานเดียว ไม่ได้มีอะไรที่น่าประทับใจแต่อย่างใดไปซะงั้น


นี่ไม่ใช่หนังแอ็คชั่นเน้อ
แต่เอานะ นี่คือหนังโคลัมเบียเรื่องแรกที่เราได้ดู และไม่ใช่จะมีหลุดมาให้ดูกันบ่อยๆ ถึงหนังโดยรวมจะไม่ค่อยน่าพอใจเท่าไหร่ แต่ทำได้ขนาดนี้ก็นับว่าไม่เลวแล้วล่ะ ใครที่อยากเพิ่มความกดดันเข้ามาในชีวิตบ้าง หนังเรื่องนี้ก็คือช้อยส์ที่ไม่เลวเลยทีเดียว (เหอๆ) ยังไงเราก็หวังว่าจะได้ดูหนังโคลัมเบียเรื่องอื่นๆ อีกในอนาคตเน้อ จุ๊บๆ :)
  • + งานสร้างดูดีไม่กิ๊กก๊อก ใครอยากดูหนังโคลัมเบียว่าหน้าตาเป็นยังไงก็เชิญโลด
  • - ดูแล้วเครียดสถานเดียว บทบาทตัวละครไม่ค่อยน่าพอใจเท่าไหร่ จนคนดูไม่รู้สึกอยากผูกพันเอาใจช่วยให้รอด





วันอาทิตย์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2555

Juan of the Dead (2011): ก๊วนเห่ยถล่มซอมบี้



Juan of the Dead (2011) :

นอกจากหนังแวมไพร์ที่ฮิตกระหน่ำซัมเมอร์เซลล์ไม่ยอมตกเทรนด์ซะทีในยุคนี้แล้ว ก็ยังมีหนังซอมบี้ที่ฮิตเสมอต้นเสมอปลายไม่น้อยหน้าไปกว่ากัน ลองคิดดูก็แล้วกันว่าขนาดประเทศคอมมิวนิสต์อย่างคิวบา ก็ยังอุตส่าห์มีหนังซอมบี้กับเขาด้วยเหมือนกัน ป๊าด!?


หนังซอมบี้จากคิวบามาแล้วจ้า
หนังว่าด้วยเรื่องราวของ Juan หนุ่มใหญ่สุดต๊อกต๋อยที่หน้าตาท่าทางอย่างกับขี้เมาแถวบ้านท่าน ที่พบช่องรวยท่ามกลางวิกฤตการณ์ซอมบี้ครองคิวบา ด้วยการรวมกลุ่มกับพรรคพวกเปิดบริการ "รับกำจัดซอมบี้ทั่วราชอาณาจักร" แก่บรรดาชาวบ้านที่ไม่กล้าจัดการกับญาติมิตรของตนที่กลายเป็นซอมบี้ จนเกิดเรื่องราวโหดมันส์ฮาต่างๆ ตามมามากมาย

หน้าตาพระเอกอย่างกับขี้เมาแถวบ้าน
ดูจากชื่อเรื่องก็พอจะเดาได้ว่าคงออกมาตลกสไตล์เดียวกับ Shaun of the Dead (2004) ซึ่งมุกต่างๆ เนี่ยบ้าบอ คาเฟ่ อย่างกับหนังตลกไทยซะไม่มี ชนิดที่ว่าถ้าเปลี่ยนเอาแก๊งค์สามช่าไปเล่นเนี่ยก็คงไปกันได้เนียนๆ เลย (แต่ในแบบที่ไม่ทะลึ่งหรือพ่นคำหยาบนะ) ดังนั้นรสนิยมของคนคิวบากับคนไทยน่าจะไปกันได้ไม่น้อยนะเนี่ย ซึ่งไม่ใช่ไม่ดีนะ หลายมุกเล่นเอาขำได้ไม่เลวเลยเหมือนกัน


มุกตลกอย่างกับหนังไทย
แต่สิ่งที่น่าสนใจกว่านั้นคือการที่ได้เห็นประเทศคิวบามีหนังสไตล์นี้ออกมา แม้ว่าจะมาแบบตลกโหดมันส์ฮาเหมือนหนังแนวนี้ทั่วไป (แต่ออกบ้าบอเยอะนิดนึง) หนังก็ยังแฝงแนวคิดเกี่ยวกับสภาพสังคม การเมืองของที่โน่นมาด้วย แม้ว่าตัว ผกก.จะบอกว่าไม่ได้จงใจแฝงประเด็นเหล่านั้นเข้ามาก็ตามอย่างเช่นการที่คนคิวบานิยมหนีตายไปไมอามี่ หรือการมองซอมบี้ว่าเป็นพวกต่อต้านระบอบเป็นต้น

อาวุธประจำตัวของพระเอกคือ เอิ่ม..ไม้พาย
ถึงรวมๆ แล้วจะไม่ได้สนุกหรือฮาสุดๆ แต่ก็นับว่าน่าพอใจทีเดียวโดยเฉพาะการที่เป็นหนังจากคิวบาอย่างนี้ นี่เห็นหนังได้เดินสายไปฉายตามเทศกาลหนังต่างๆ ทั่วโลกก็น่าดีใจไปด้วย ข้อคิดส่งท้ายที่หนังบอกว่าถึงชาวคิวบาจะรู้ว่าประเทศตนมีปัญหา หลายคนถึงกับละทิ้งประเทศตนไปยังประเทศที่เจริญกว่า แต่สุดท้ายแล้วก็ยังมีอีกหลายคนที่พร้อมจะยืนหยัดอยู่เพื่อวันที่ดีกว่าของคิวบาอีกครั้ง ประมาณว่าบ้านเกิดเมืองนอนใคร ใครก็ต้องรักล่ะเนอะ ;)

  • + หนังซอมบี้ตลกโหดมันส์ฮาจากคิวบาที่ทำออกมาได้ตลกดี มีแฝงสาระแบบเนียนๆ ใครไม่เคยดูหนังคิวบาเชิญทางนี้โลด
  • - มุกออกแนวหนังตลกไทยไปนิด และเล่นๆ ไปหน่อย





วันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2555

A Thousand Words (2012): จ้อท้าตาย


A Thousand Words (2012) :

ปีที่แล้วน้า Eddie Murphy ตลกรุ่นเก๋าโชว์ฟอร์มขโมยซีนได้อย่างเข้าตาจาก Tower Heist (2011) หลายคนจึงจับตามองว่าผลงานต่อมาของเขาจะออกมายังไง นั่นก็คือหนังตลกเรื่องนี้ซึ่งอันที่จริงแล้วหนัง เอิ่ม... สร้างออกมากะฉายตั้งแต่ปี ค.ศ.2009 แล้วโน่น (ป๊าด!) แต่ด้วยปัญหาดราม่าติดขัดนาๆ ประการของสตูดิโอทำให้หนังถูกดองเปรี้ยวดองเค็มมาจนเพิ่งจะได้ฉายก็เดือน มี.ค.ที่ผ่านมานี่เอง

เห็นหน้าก็ฮาแล้วล่ะคนเนี้ย
หนังเล่าเรื่องของ Jack McCall (น้า Murphy) ตัวแทนของสำนักพิมพ์ยักษ์ใหญ่ อันมีฝีปากบาน เอ๊ย ฝีปากเก่งที่สามารถพูดกล่อมให้ลิงหลับได้ ซึ่งดันงานเข้าเจอปาฏิหาริย์ต้นโพธิ์ประหลาดผุดขึ้นมาในสนามหญ้าหลังบ้าน ที่หากเขาพูดคำหนึ่งใบโพธิ์จากต้นก็จะร่วงใบหนึ่ง และหากมันร่วงหมดต้นก็จะทำให้เขาต้องตายด้วย พระเอกเราที่ยังชีพอยู่ด้วยการพูดๆๆ เลยต้องหาทางแก้ไขและต้องพยายามสงบปากสงบคำไม่พูดจาจนเกิดเรื่องราวฮาแตกวุ่นวายตามมาเป็นขบวน


หนังตั้งสามสี่ปีมาแล้วนะเนี่ย
ส่วนใหญ่หนังที่ถูกดองมานานแล้วออกฉายช่วงต้นปีแบบนี้มักจะห่วย ซึ่งในกรณีของเรื่องนี้นั้นก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรมากมาย แต่คงออกไปในลักษณะน้ำขึ้นให้รีบตักรีบเข็นหนังของน้าเขาออกมากินตังค์ซะมากกว่า หนังมีหลายจุดที่ดูไม่ค่อยเข้าท่าเข้าทางอย่างเช่นการที่พระเอกเราพบว่าตัวเองมีปัญหาคอขาดบาดตาย แต่กลับพยายามใช้ชีวิตปกติ ไปทำงานตามปกติ จนเกิดเรื่องวายป่วงขึ้นมากมาย ทั้งๆ ที่ถ้าเป็นเราส่วนใหญ่ก็คงจะหลบไปกบดานเงียบๆ เพื่อหลีกเลี่ยงการพูดซะมากกว่านะ


หนังยังมีแง่คิดอะไรดีๆ มาให้อยู่
นี่ยังดีที่ตอนใกล้จะจบ หนังยังออกแนวเรียกความประทับใจและแฝงข้อคิดดีๆ มาให้ตามประสาหนังฝรั่ง อย่างเช่นการที่คนเราสมัยนี้มัวแต่พูดๆๆ ไม่ค่อยได้หยุดฟังคนอื่นบ้าง จนละเลยมองข้ามสิ่งต่างๆ ในชีวิตไปมากมาย หนังก็เลยพอมีอะไรที่มีสาระติดไม้ติดมือแก่คนดูอยู่บ้าง โดยเฉพาะประโยคเด็ดของหนังอย่าง "Life's not worth living without family."

ต้นโพธิ์มักเกี่ยวข้องกับเรื่องราวฝ่ายวิญญาณเสมอ
แม้ผลงานหลังๆ ของน้า Murphy เขาจะไม่ค่อยสนุก แต่ด้วยความที่เขาเป็นนักแสดงตลกที่มีพรสวรรค์ ก็เลยพอจะมีอะไรให้ขำได้ทุกเรื่อง มาเรื่องนี้ส่วนใหญ่แกต้องมาเล่นมุกออกท่าทางใบ้คำไม่พูดไม่จา เลยดูจะเป็นการจำกัดเสน่ห์ของแกลงไปเยอะ (ซี่งนั่นก็คือการพูด) ยังไงเราในฐานะแฟนหนังของแกก็ยังเชื่อว่าแกยังมีศักยภาพที่จะดังได้อีก ถ้าหากว่าเจอบทดีๆ หนังโดนๆ เข้าล่ะก็ สู้ๆ ต่อไปนะครับน้า ^^
  • + หนังตลกแฝงสาระ ที่ทำออกมาพอดูได้ แฟนๆ น้าเอ็ดดี้น่าจะยิ้มออกได้อยู่
  • - แต่โดยรวมแล้วไม่ค่อยตลกน่ะสิ




*หนังของน้า Eddie Murphy เรื่องอื่นๆ ภายในบล็อก*