วันศุกร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2557

Fury (2014): วันถังเดือด



Fury (2014): วันถังเดือด

     บรรดาติ่งหนังสงครามโลกครั้งที่สองได้ตีปีกดี๊ด๊ากันอีกแล้ว ซึ่งคราวนี้จะได้เปลี่ยนบรรยากาศบู๊กันผ่านสายตาของทหารหน่วยยานเกราะที่ 66 ของกองทัพบกสหรัฐ

     ผกก.David Ayer ซึ่งถนัดทำหนังอาชญากรรมแรงๆ ของยุคปัจจุบัน ขอพาย้อนอดีตไปยังช่วงสุดท้ายของสงครามโลกครั้งที่สองในปี ค.ศ.1945 เมื่อฝ่ายสัมพันธมิตรซึ่งนำโดยอเมริกาได้เริ่มรุกคืบเข้าไปในเขตแดนของเยอรมันนี ซึ่งกลายสภาพเป็นหมาจนตรอกที่ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ แถมยังเกณท์เด็กและผู้หญิงมาช่วยรบอีกด้วยแหน่ะ

     หนังยังคงแรงตามสไตล์ของ ผกก.แก ที่มีฉากรบค่อนข้างดุเดือดเลือดพล่านและกดดันบีบคั้นอารมณ์ดีแท้ สงครามในสายตาของหนังเรื่องนี้คือนรกบนดินที่ทำให้บรรยากาศของหนังขมุกขมัวมาคุตลอดทั้งเรื่อง แถมดนตรีประกอบโดย Steven Price (Gravity) ยังโดดเด่นในการเสริมความสยดสยองของสงครามให้ตัวหนังได้เป็นอย่างดี

     หนังยาว 134 นาที แต่ก็ไม่ได้รู้สึกอืดหรือเยิ่นเย้อแต่อย่างใด เรื่องราวอาจเปรียบดั่ง 300 เวอร์ชั่นรถถัง แต่ก็ในแบบที่มีคุณภาพ (และไม่ได้หมายถึงการเน้นภาพสโลว์เท่ๆ แต่อย่างใด อิอิ) คอหนังสงครามถูกใจกันแน่นอน

     สงครามเกิดขึ้นเพราะคนไม่กี่คน แต่กลับสร้างหายนะให้แก่ชีวิตอีกนับไม่ถ้วน และเชื่อเถิดว่าสงครามจะไม่มีวันหมดไปจากโลกนี้ ตราบใดที่เราใช้มันเป็นเครื่องมือแสวงหาสันติภาพ





ถูกใจติ่งหนังสงครามจริงๆ 8/10









 *รีวิวหนังของ ผกก.David Ayer เรื่องอื่นๆ ภายในบล็อก*
 

วันพฤหัสบดีที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2557

John Wick (2014): ตูบข้าใครอย่าแตะ



John Wick (2014): ตูบข้าใครอย่าแตะ

     อันเฮีย Keanu Reeves (50 ขวบ) นั้นคือดาราขวัญใจของแฟนหนังเสมอมา แม้ว่าระยะหลังๆ แกจะไม่ได้มีผลงานโดนๆ ออกมา แต่แฟนๆ ก็เฝ้าลุ้นให้แกกลับมาดังอีกครั้งอย่างไม่ลดละ

     ซึ่งดูเหมือนเฮียแกก็ไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไร เพราะยังคงรับเล่นหนังเรื่อยๆ สบายๆ แบบที่อยากเล่น ไม่ได้หลับหูหลับตารับเล่นหนังมั่วซั่วเพื่อเงินเหมือนนักแสดงเคยดังคนอื่นๆ แต่อย่างใด

     สำหรับหนังแอ็คชั่นเรื่องนี้ก็เข้าข่ายช่วยเพื่อนพ้องอย่างที่เฮียทำมาตลอดเช่นเคย เพราะสอง ผกก.David Leitch และ Chad Stahelski คือสตั้นท์แมนเชี่ยวประสบการณ์ที่เคยร่วมงานกับเฮียมาตั้งแต่สมัยไตรภาค The Matrix โน่นแล้ว

     ด้วยความที่เป็นสตั้นท์แมนรุ่นเก๋าทำให้หนังมีคิวบู๊ที่เรียกว่าชนะเลิศเลยก็ว่าได้ ถ้าใครกะจะดูหนังแอ็คชั่นมันส์ๆ ล่ะก็หนังเรื่องนี้จัดเต็ม และสามารถเรียกได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า มันส์ไม่มีเม้ม

     อันเฮียแกก็ชนะเลิศเช่นกันในการเล่นคิวบู๊ได้อย่างทะมัดทะแมงเท่สัสๆ รวมทั้งฉากดราม่าต้นเรื่องที่จะว่าไปแล้วก็ช่างคล้องกับชีวิตจริงของแกที่ต้องสูญเสียคนรักไป จนทำให้ฉากอารมณ์ของแกดูอินสุดๆ น่าสงสารดีแท้

     แต่หนังแอ็คชั่นที่ว่าด้วยการแก้แค้นแบบนี้ คงไม่มีมุมอื่นมาให้มากมายนัก ดังนั้นบางคนอาจจะหาว่าหนังไม่มีสาระอะไรนอกจากฉากฆ่าแกงกันก็เป็นได้ และบางคนอาจจะมึนๆ ว่าแค่หมาตัวเดียวเนี่ยนะถึงกับต้องตามไปแก้แค้นขนาดนี้ ซึ่งก็นะแต่ละคนเขาก็มีของรักของหวงที่มีค่าต่อจิตใจต่างกันไป เรื่องเล็กน้อยสำหรับเราอาจเป็นเรื่องใหญ่สำหรับอีกคนเสมอ

     หากมีคนกล่าวไว้ว่า "การแก้แค้น คืออาหารรสชาติเยี่ยม เมื่อมันเย็นแล้ว" หนังเรื่องนี้ก็เพิ่มเติมให้ว่า "การแก้แค้น คืออาหารรสชาติเยี่ยม เมื่อมันเย็นแล้ว โดยมีเฮีย Keanu เป็นคนเสิร์ฟให้นะ"

     เรื่องนี้คนอวยกันมาก ไม่ใช่เพราะมันดีฉิบหาย แต่มันคือหนังของเฮียที่คอหนังอยากจะเห็นและพร้อมจะให้ใจ ยังไงก็กลับมาดังได้แล้ว อย่างที่เฮียแจ้งความจำนงไว้ในหนังตอนหนึ่งว่า "People keep asking me if I'm back. Yeah, I'm thinking I'm back!" ฟัคเย้!










วันอาทิตย์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2557

Dracula Untold (2014): หักดิบแวมไพร์ตัวพ่อ

Dracula Untold (2014): หักดิบแวมไพร์ตัวพ่อ

     ตำนานแดร็กคิวล่าถูกนำมาเล่าขานใหม่อีกครั้ง แถมครั้งนี้ Vlad เจ้าชายจอมเสียบ มาในสภาพวีรบุรุษบู๊สุดเท่ที่หล่อสัสกว่าครั้งใดๆ ที่ผ่านมา จนแทบอยากจะเรียกหนังเรื่องนี้เป็น Drac-man Begins ไปเลย ทีเดียว อิอิ

     Gary Shore ผกก.หนุ่มหน้าใหม่ชาวไอริช เปิดตัวผลงานหนังยาวเรื่องแรกนี้ก็อลังการงานสู้กันเลยทีเดียว หนังมาพร้อมฉากรบระดับน้องๆ (สุดท้อง) The Lord of the Rings เชียว

     แต่หนังก็ไม่ได้มีอะไรนอกเหนือไปจากเท่าที่เห็นในเทรลเลอร์ คือพอดูได้เพลินๆ สนุกๆ แม้ว่าหนังค่อนข้างจะรวบรัดตัดตอนไปนิดจนอารมณ์ไม่สุดเนื่องจากเวลาของหนังมีเพียง 92 นาทีที่ดูน้อยไปเมื่อเทียบกับเรื่องราวบิ๊กเบิ้มระดับนี้

     ส่วนการที่ทำให้แดร็กคิวล่ากลายเป็นวีรบุรุษผู้เสียสละที่สู้เพื่อครอบครัวและประชาชน ก็ทำให้หนังขาดมุมน่ากลัวสยองขวัญอันคลาสสิกของตัวละครนี้ไป แต่เรื่องราวแนวโศกนาฏกรรมในหนังก็ยังช่วยกู้สถานการณ์ไว้ได้อยู่

     เรียกว่าหนังพลิกประวัติศาสตร์เปลี่ยนเรื่องราวของ Vlad จากตัวจริงที่ได้ชื่อว่าเป็นคนโหดเหี้ยมจน ม.ม้าวิ่งหนีหายไปหมด ให้กลับใจกลายเป็นพระเอกตัวจริง ซึ่งก็นะ นี่คือหนังเพื่อความบันเทิง เป็นศิลปะแห่งการบิดเบือนและสร้างเรื่อง อย่าซีเรียสกับข้อมูลทางประวัติศาสตร์จนฉี่เหนียวเลย

     นี่เห็นทางผู้สร้างจะใช้กลยุทธ์เดียวกับหนังของ Marvel โดยวางแผนให้ตัวละครแดร็กคิวล่าจากเรื่องนี้ให้ไปโผล่ในหนังตัวประหลาดอื่นๆ อย่าง The Mummy ฉบับรีเมคที่กำลังจะออกตามมาในอนาคต ก็นับว่าน่าสนใจดี เพียงแต่ว่าจะเวิร์คเหมือนฝั่งมาร์เวลหรือเปล่านั้นก็ต้องติดตามกันต่อไปเน้อ




ดูกันเพลินๆ แบบไม่ต้องคิดอะไรมาก ก็บันเทิงดีนะ





Gone Girl (2014): เล่นซ่อนแสบ



Gone Girl (2014): เล่นซ่อนแสบ

     ห่างหายไปจากหนังโรงซะหลายปี ในที่สุด ผกก.เดวิด ฟินเว่อร์ เอ๊ย ฟินเชอร์ ก็กลับมาพบบรรดาแฟนานุแฟนคนรักหนังอีกครั้งกับหนังระดับคุณภาพคับไห ที่ก็น่าจะติดโผหนังยอดเยี่ยมประจำปีของสำนักสงฆ์ต่างๆ ไม่ใช่สิ ต้องสื่อบันเทิงสำนักต่างๆ ไม่มากก็น้อยล่ะ (โปรดอดทนกับมุกถึกๆของเรา อิอิ)

     หนังมาจากนิยายฮิตชื่อเดียวกันของ Gillian Flynn ซึ่งชีก็ยังตามมาเขียนบทให้กับหนังด้วย เพื่อตัดปัญหาหนังดัดแปลงไม่โดนใจแฟนนิยาย ซึ่งจะแตกต่างกันตรงจุดไหนนั้น ก็คงไม่มีใครกล้าบ่นดังเพราะเจ้าของบทประพันธ์เขามาเองเลย

     หนังเริ่มต้นกับแนวชวนสงสัยว่าใครเป็นคนทำ ซึ่งเทรลเลอร์ก็ชวนให้คิดแบบนั้นเต็มตีน แต่ช้าก่อนหนังเรื่องนี้มีอะไรพิศดารชวนอึ้งทึ่งเหวอกว่านั้นเยอะ ด้วยการเล่าเรื่องที่เปี่ยมชั้นเชิงของตัว ผกก.ฟินเชอร์ ที่ค่อยๆ ทำให้หนังที่เหมือนจะเอื่อยๆ เดิมๆ ในช่วงแรก ค่อยๆ ทวีความอึ้งขึ้นมาเรื่อยๆ จนบรรลุความเหวอในช่วงไคลแม็กซ์ ซึ่งนี่คือความดีงามอย่างแรกของหนังเรื่องนี้

     และที่ดีงามเป็นคำรบสองคือการแสดงของตัวละครหลัก โดยเฉพาะในรายของเจ๊ Rosamund Pike ที่เล่นได้ดีเลิศควรค่าแก่การเข้าชิงและซิวออสก้าร์จริงๆ เรียกว่าเจ๊แจ้งเกิดในฐานะนักแสดงคุณภาพจากเรื่องนี้เต็มๆ เลย ส่วนเฮีย Ben Affleck ก็เล่นดีเช่นกัน ซึ่งฉากโชว์ช้าง(ไม่)น้อยของแกคงทำให้คนดูหลายคนตาลุกเป็นแน่แท้ อิอิ

    ดูแล้วหนังก็ตอบคำถามที่ว่า"ความรักมันหมดอายุได้ด้วยเหรอ?" ได้อย่างเด็ดขาด และข้อเท็จจริงที่ว่าเราจะเชื่อทุกอย่างที่เห็นบนจอทีวีหรือหนังสือพิมพ์ไม่ได้หรอก เราเพียงแต่จะได้รับรู้แต่บางส่วนของความจริงเท่านั้นแหล่ะ (หรืออาจจะไม่จริงเลยก็ได้)

     หนังดีสมคำร่ำลือ ช่วงเวลาสองชั่วโมงครึ่งของหนังเป็นช่วงเวลาที่คุ้มค่าตั๋วที่จ่ายไป ไม่ดูได้ไงล่ะเนอะ 










วันศุกร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2557

The Babadook (2014): ผีจิตหลุด


https://www.facebook.com/pages/Nanatakaras-Blog/179434468736922
The Babadook (2014): ผีจิตหลุด

     
นานๆ ทีจะมีหนังผีจากออสเตรเลียหลุดมาให้ยลสักที ซึ่งเรื่องนี้ก็ไม่ธรรมดาทีเดียวเพราะไม่ได้มากับสูตรสำเร็จประเภทครอบครัวแสนสุขที่ดันเจอผีมาป่วนจนไปไม่เป็น แต่มาในสภาพครอบครัวที่แสนเปราะบางมีปัญหารอวันระเบิดอยู่แล้ว ที่ดันมาเจอผีกระหน่ำซ้ำเติมกระทืบซ้ำเข้าไปอีกซะงั้น ซึ่งก็ดูแปลกแตกต่างดีทีเดียว

     
ต้องบอกก่อนว่าหนังเรื่องนี้เขาไม่ได้ตั้งหน้าตั้งตากระหน่ำฉากผี (อันที่จริงน่าจะปีศาจมากกว่า) หลอกตุ้งแช่สุดพิศดารมาให้ต้องตกสะดุ้ง เพราะเราแทบจะไม่ได้เห็นมันนอกจากในเงามืดที่มาพร้อมเสียงพูดตลกๆ มากกว่าน่ากลัว

     
แต่หนังเน้นไปที่ความสยองอึมครึม น่าหวาดหวั่นของสภาพจิตใจของตัวละครหลักมากกว่า ซึ่งตัวเอกทั้งสองก็ทำหน้าที่ได้ดีทีเดียว จนเราว่าไปๆ มาๆ กลายเป็นว่าคนน่ากลัวกว่าผีเสียอีกไปซะงั้น

     
ถ้าจะเทียบกับหนังผีที่เพิ่งฉายไปก่อนหน้าไม่นานอย่าง Annabelle แล้ว เรื่องนั้นยังจะโฉ่งฉ่างกว่าด้วยซ้ำ แต่ถ้าวัดกันทุกอณูแล้ว หนังเรื่องนี้ก็ชนะไปในที่สุดด้วยความการแสดงและเรื่องราวที่มีคลาสกว่าเยอะ



https://www.facebook.com/pages/Nanatakaras-Blog/179434468736922
ไม่ถึงขนาดดูน่ากลัวจนขนแขนสแตนด์อัพ แต่ก็มีดีในตัวเอง







*รีวิวหนังเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องภายในบล็อก*
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=nanatakara&month=06-10-2014&group=19&gblog=245

วันจันทร์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557

Annabelle (2014): ยัยตุ๊กตาผีหลอน

https://www.facebook.com/pages/Nanatakaras-Blog/179434468736922
Annabelle (2014): ยัยตุ๊กตาผีหลอน

     
ยัยตุ๊กตาผี Annabelle จากหนัง The Conjuring (2013) ดังแล้วแยกวง ได้ฉายเดี่ยวมาหลอกชาวบ้านเต็มๆ ไม่ต้องแบ่งเค้กความสยองให้ผีตัวอื่นในหนังเรื่องนี้ ซึ่งทาง ผกก.James Wan ก็ได้ส่ง John R. Leonetti ผกก.ภาพคู่ใจให้มาทำหน้าที่กำกับในคราวนี้

     
หากนึกว่ายัยแอนนาเบลล์จะมีลีลาการหลอกเหมือนเจ้าชัคกี้แค้นฝังหุ่นล่ะก็คงจะผิดหวัง เพราะชีมาแบบนิ่งๆ ไม่ไหวติง และเน้นสไตล์การหลอกแบบหลอนๆ ปั่นประสาทไม่ตุ๊งแช่อึกทึกครึกโครมให้ต้องวิ่งหนีลงโอ่งแต่ประการใด

     
แต่ด้วยความที่เน้นเน้นหลอนแบบนิ่งๆ ก็อาจจะทำให้หลายคนรู้สึกว่าหนังไม่ค่อยน่ากลัวก็เป็นได้ ซึ่งก็แล้วแต่รสนิยมนะเพราะสำหรับเราแล้ว นิ่งๆ หลอนๆ แบบนี้ก็ดีกว่าไอ้เจ้าชัคกี้แยะล่ะนะ

     
รวมๆ แล้วหนังอาจจะหย่อนฉากน่ากลัวไปบ้าง แต่ก็ยังมีพอมีบางฉากบางตอนที่หลอนใช้ได้เลย น่าเสียดายที่บางตัวละครแค่มีไว้เพื่อรองรับตอนจบเท่านั้นเอง ซึ่งถือว่าทำให้หนังจบไม่สวยพอสมควรเลยทีเดียว

     
อ่านพบมาว่าสิ่งที่เห็นในหนังล้วนเป็นเรื่องแต่งไม่ได้อิงมาจากเหตุการณ์จริงทั้งสิ้น ซึ่งทางผู้สร้างคงคิดว่าน่าจะหาทางอธิบายที่มาที่ไปของตุ๊กตาแอนนาเบลล์ซะหน่อย แต่เราว่ามันไม่ได้ออกมาส่งผลดีสักเท่าไหร่ บางทีหากปล่อยให้ที่มาที่ไปของตุ๊กตาตัวนี้ดูคลุมเครือลึกลับต่อไปก็อาจจะทำให้เป็นอะไรที่หลอนมีระดับกว่านี้ก็เป็นได้นะ



https://www.facebook.com/pages/Nanatakaras-Blog/179434468736922







*อันเนื่องมาจากหนัง*
https://www.facebook.com/pages/Nanatakaras-Blog/179434468736922
เปรียบเทียบตุ๊กตาแอนนาเบลล์ตัวจริง(ซ้าย)กับในหนัง
     หนังก็คือหนัง ต่อให้ขึ้นชื่อว่าสร้างจากเรื่องจริงแค่ไหนก็คงเหมือนจริงไม่ได้ทั้งหมด รวมถึงกรณีของหนังตุ๊กตาผีแอนนาเบลล์นี้ด้วย ซึ่งนอกจากหน้าตาจะต่างจากตัวจริงราวหน้ามือกับหลังเท้าแล้ว (ตัวจริงเป็นตุ๊กตาผ้าสุดแบ๊ว) เรื่องราวยังต่างกันสุดๆ เพราะในหนังน่ะแต่งขึ้นมาล้วนๆ 

     อาจเป็นเพราะเรื่องจริงของตุ๊กตาแอนนาเบลล์ยังแสดงความเฮี้ยนไม่สะใจพอละมั้ง ไม่ว่าจะการขยับเปลี่ยนที่เอง เขียนโน้ตสั้นๆ เอง อำคนบางคนขณะกึ่งหลับกึ่งตื่นโดยปีนขึ้นไปบีบคอจนหมดสติ รวมทั้งทำร้ายร่างกายบ้างอีกนิดหน่อย

     ที่ยังคงเป็นปริศนาคือที่มาของตุ๊กตา ซึ่งบ้างก็บอกว่าตุ๊กตาถูกสิงโดยวิญญาณเด็กอายุ 6 ขวบที่ตายเพราะอุบัติเหตุ บ้างก็ว่าเป็นวิญญาณเด็ก 7 ขวบที่ตายแถวๆ นั้น ในขณะที่ในหนังบอกว่าเป็นปีศาจที่สิงตุ๊กตาอยู่

     แต่ไม่ว่าเรื่องราวที่แท้จริงจะเป็นยังไง ที่แน่ๆ คือตุ๊กตาตัวนี้มีพลังงานชั่วร้ายบางอย่างซ่อนอยู่ และยังคงเฝ้ารอวันจะสำแดงฤทธิ์เดชแก่ผู้คนที่หลงเข้าไปข้องเกี่ยวกับมันอยู่นั่นเอง


*รีวิวหนัง The Conjuring*
https://www.facebook.com/179434468736922/photos/a.494858037194562.121276.179434468736922/694618043885226/?type=3&theater

วันพุธที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2557

A Walk Among the Tombstones (2014): ตามล่าไอ้คู่โหด

https://www.facebook.com/pages/Nanatakaras-Blog/179434468736922
A Walk Among the Tombstones (2014): ล่าไอ้คู่โหด

     
ป๋า Liam Neeson กลับมาเท่อีกครั้งโดยคราวนี้มากับหนังที่ดัดแปลงมาจากหนึ่งในนิยายอาชญากรรมชุดสุดฮิตของ Lawrence Block อันว่าด้วยเรื่องราวของนักสืบเอกชน Matthew Scudder ที่ทั้งชุดมีออกมาแล้วกว่า 17 เล่มด้วยกัน

     
มาเวอร์ชั่นหนังก็ได้ ผกก.Scott Frank ที่เคยมีผลงานแจ้งเกิดอย่าง The Lookout (2007) เมื่อหลายปีก่อน ซึ่งด้วยความที่ ผกก.แกเป็นนักเขียนบทมือคุณภาพอีกคนแห่งวงการ จึงขอเหมาหน้าที่เขียนบทให้หนังด้วยซะเลย

     
โดยแกก็ควบสองตำแหน่งได้เป็นอย่างดี คุมหนังให้ออกมาได้เข้มข้นน่าติดตามตลอดความยาว 114 นาที แม้ว่าหนังจะออกแนวสืบๆ ไม่อึกทึกครึกโครม และถ้าจะว่ากันจริงๆ แล้วเรื่องราวของหนังก็มาในแนวทางเดิมๆ ที่คอหนังเห็นกันมาจนชินแล้วก็ตาม

     
ที่น่าเสียดายคือตัวเทรลเลอร์หนังที่ดันเผยให้เห็นบางจุดที่สำคัญของหนังไปซะหมด จนเมื่อถึงเวลาดูจริงๆ จุดสำคัญเหล่านั้นเลยไม่สามารถส่งผลกระทบต่ออารมณ์อย่างที่ควรจะเป็น

     
ยังไงก็ตามนี่เป็นหนังล่าฆาตกรโหดที่น่าพอใจ และเพิ่มเครดิตหนังดีๆ ของป๋าแกและตัว ผกก.ได้อีกเรื่อง หวังว่าเราคงจะได้เห็นป๋ามาในบทบาทนี้อีกหลายๆ ครั้งเน้อ









*ช่วงเพลงในหนัง*
สาว Nouela
Black Hole Sun เพลงคลาสสิคของ Soundgarden ถูกนำมาคัฟเวอร์ไว้อย่างไพเราะโดย Nouela หรือ Nouela Johnston ศิลปินสาวลูกครึ่งเกาหลีนอร์เวย์ ที่ปักหลักหากินอยู่ในซีแอตเทิล อเมริกา ดินแดนกรั๊นจ์ ซึ่งตัวหนังก็เอาเพลงนี้ไปใช้ได้อย่างเข้าขาทั้งในเทรลเลอร์และในช่วงเอนด์เครดิตของหนัง แจ่มไปโลด