วันศุกร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

The Raid 2 (2014): อิเหนาฟัดดุ



The Raid 2 (2014): อิเหนาฟัดดุ

     กาลครั้งหนึ่งเมื่อปี ค.ศ.2011 หนังบู๊เล็กๆ สัญชาติอินโดนีเซีย แต่มี ผกก.เป็นหนุ่มเวลส์ (?) ทำเอาคอหนังแอ็คชั่นทั้งหลายต้องอึ้งทึ่งเสียวไปกับคิวบู๊อันดุเดือดเลือดพล่าน จนตัวหนังเองกลายเป็นที่โจษจันไปทั่วโลกถึงความมันส์แบบนันสต๊อป

     มาปีแห่งการรัฐประหารสไตล์ไทยๆ นี้ และแล้วภาคสองก็คลอดออกมาในที่สุด ซึ่งเขาลือกันหนาหูมาตั้งแต่ไก่โห่ว่าคราวนี้ดุเดือดเลือดพล่านไม่แพ้ภาคแรกเลยทีเดียวเชียวนะ

     ซึ่งอันนี้ก็จริง เพราะหนังยังอุดมไปด้วยฉากบู๊ดุๆ เลือดพุ่งกระฉูด ชนิดที่ว่าถ้าไปฉายอเมริกาแบบไม่ตัดออก คงจะได้รับการตีตราให้ติดเรท NC-17 โดยแน่แท้

     แต่ที่น่าสนใจคือ จากภาคแรกที่เป็นหนังแอ็คชั่นเตะต่อยตำรวจทะลายซ่องโจร มาคราวนี้หนังผันตัวเองเป็นหนังแก๊งสเตอร์สไตล์ฮ่องกงที่ทิ้งปืนแล้วหันมาฉะกันด้วยศิลปะป้องกันตัวแทนซะงั้น ซึ่งนับว่าเป็นทางออกที่เจ๋งเลยทีเดียว

     อีกอย่างที่เราสังเกตได้คือ ดูเหมือนคราวนี้ ผกก.แกจะมั่นใจขึ้นเยอะ หนังเดินเรื่องไปข้างหน้าอย่างมั่นคง จริงจัง ไม่มีลังเล แม้หนังเหมือนจะยาวไปบ้างกับเวลาสองชั่วโมงครึ่ง แต่บรรดาฉากแอ็คชั่นที่ประเคนมาไม่มีคำว่ามากจนเฝือ หรือรู้สึกว่ายัดเยียดจนเกินพอดีแต่อย่างใด

     แถมฉากฉะกันในช่วงครึ่ง ชม.สุดท้าย ยังดุเดือดเลือดพล่านแจ่มเจ๋งจนน่าจะติดอันดับต้นๆ ในบรรดาฉากดวลบู๊สุดระทึกจิตที่เราเคยเห็นมาในช่วงหลายปีนี้เลยทีเดียว

     ด้านความดีงามของหนังนั้นสามารถเขย่งก้าวกระโดดไปได้ไกลจากภาคแรกหลายขุม แต่ต้องมีวงเล็บให้ด้วยนะว่าโดยเฉพาะสำหรับคอหนังแอ็คชั่นเตะต่อยเท่านั้น ที่ถ้าจะเอาหนังไปเปรียบว่าเป็นเหมือน The Godfather ฉบับปะฉะดะเลยก็ยังได้



หนังเขามันส์จริงอะไรจริง เอาไปเลย 7/10 ครับ

ปล.เหลือบไปเห็นข่าวลือว่าภาคสามจะมีเฮียโทนี่ จา แห่งไทยแลนด์ไปร่วมแจมด้วย ซึ่งถ้าเป็นจริงได้ล่ะก็ งานนี้มันส์!







*รีวิวภาคแรกภายในบล็อก*

วันเสาร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

X-Men: Days of Future Past (2014): คืนสู่เหย้า คนพันธุ์เอ็กซ์



X-Men: Days of Future Past (2014): คืนสู่เหย้า คนพันธุ์เอ็กซ์

     ในบรรดาการ์ตูนซูเปอร์ฮีโร่จาก Marvel ที่ถูกนำขึ้นจอเงินทั้งหมด ดูเหมือนแฟรนไชส์ X-Men จะอยู่ยงคงกระพันที่สุดกว่าใครเพื่อนแล้วมั้ง เพราะนับตั้งแต่ภาคแรกออกมาเมื่อปี ค.ศ.2000 มีหนัง X-Men ออกมาให้ดูกันถึง 6 เรื่องแล้ว (ภาคปกติ 4 ภาคแยกของนาย Wolverine อีก 2)

     และนี่คือหนังอันดับที่ 7 ของแฟรนไชส์คนพันธุ์เอ็กซ์นี้แล้ว ซึ่งได้ ผกก.Bryan Singer จากสองภาคแรกกลับมารับหน้าที่กำกับอีกครั้ง หลังจากที่ร่ำๆ จะกลับมากำกับตั้งแต่ภาค First Class (2011) แล้วโน่น

     สำหรับเรื่องราวก็เล่นกับการย้อนอดีตไปกู้โลกอนาคต (?) ซึ่งถึงแม้จะไม่มีอะไรใหม่กว่าที่เคยเห็นมาแล้วนักต่อนัก แต่ผู้สร้างก็เล่าเรื่องได้อย่างน่าติดตาม มีอะไรเจ๋งๆ มาฝาก ดูสนุกเพลิดเพลินไม่ดูน่าเบื่อเลยสักนิดแม้หนังจะยาวเกินสองชั่วโมงก็ตาม ภาคที่แล้วของ ผกก.Matthew Vaughn ที่ว่าสนุกๆ แล้ว มาเจอะภาคนี้ยิ่งสนุกเถิดเทิงขึ้นไปอีก เอาเข้าไปสิท่าน

     เสน่ห์สำคัญของหนังคือบรรดาตัวละครพันธุ์เอ็กซ์ทั้งหน้าเก่าหน้าใหม่ ที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาสร้างสีสันกันเพียบ (โดยเฉพาะนาย Quicksilver ที่คงจะได้ใจมหาชนไปเต็มๆ) แถมเรื่องราวของหนังก็เป็นการตบเกลี่ยเรื่องราวของทุกภาคที่ผ่านมาให้เป็นเอกภาพเดียวกันได้อย่างฉลาดเนียนๆ อีกด้วย เข้าท่าไปเลย

     สำหรับขาจรที่ไม่ได้ติดตามหนังชุดนี้มาทุกตอน มาดูอาจจะมีมึนงงนิดๆ แต่ก็ยังสนุกกับหนังได้อยู่ แต่สำหรับแฟนๆ แล้ว นี่คืออะไรที่น่าจะเป็นที่ถูกอกถูกใจอย่างแน่นอน เพราะมีรายละเอียดยิบย่อยให้ได้สังเกตสังกากันสนุกไปเลยโลด

     แม้ว่าช่วงนี้ ผกก.Singer แกจะถูกคดีตุ๋ยชาวบ้านรุมเร้า ซึ่งนั่นมันก็เรื่องชีวิตส่วนตัวของเขา ถูกผิดยังไงก็ว่ากันไป แต่หากมองเฉพาะผลงานที่ผ่านๆ มารวมทั้งหนังเรื่องนี้แล้ว คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาคือคนทำหนังระดับคุณภาพอีกคนหนึ่งที่ไม่เคยทำหนังห่วยเลยก็ว่าได้

     ด้วยคุณงามความดีของภาคนี้ และเห็นรายนามอีกหลายเรื่องในจักรวาลคนพันธุ์เอ็กซ์ที่กำลังจะตามออกมา ดูเหมือนแฟรนไชส์ X-Men คงจะอยู่ต่อไปได้อีกนานล่ะนะ ขอบอก



ดูสนุกได้แม้ว่าจะไม่ใช่แฟนหนังชุดนี้ก็ตาม เอาไป 8/10 เลยเน้อ ^^






*รีวิวหนัง X-Men เรื่องอื่นๆ ภายในบล็อก*
  

วันอาทิตย์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

Enemy (2013): เหวอจัง ฉันคือนาย

Enemy (2013): เหวอจัง ฉันคือนาย

     Denis Villeneuve ชื่อนี้ทำหนังห่วยไม่เป็น ผกก.ชาวแคนาเดี้ยนวัย 46 ขวบรายนี้เคยทำเอาเราติดอกติดใจมาตั้งแต่ครั้ง Incendies (2010) ยัน Prisoners (2013) และผลงานล่าสุดของแกนี้ก็ยังห่างไกลจากคำว่าห่วยหลายป้ายรถเมล์นัก

     หนังมาพร้อมกับบรรยากาศชวนสงสัยน่าเคลือบแคลงตลอดทั้งเรื่อง แซมด้วยอะไรเหวอๆ ชวนปวดหมองเป็นระยะๆ ซึ่งถ้าหากท่านไม่ได้พกสมองไปดู หรือไม่ได้ตั้งใจดูเท่าที่ควร ก็จะพบว่าหนังช่างน่าเบื่อ และงงๆ ไม่เห็นจะสนุกเลย

     แต่ถ้าหากต่อติดจะพบว่าหนังเรื่องนี้มันก็เข้าท่าดีนะ จริงๆ หนังก็ไม่ได้ถึงกับต้องคิดตีความหลายตลบ ซึ่งเชื่อว่าคอหนังช่างคิดวิเคราะห์หลายคนคงจะดูออกว่าที่แท้จริงเรื่องราวมันเป็นยังไงกันแน่ (ใครยังงงกับหนังอยู่ก็หาอ่านตามรีวิวที่เขาสปอยล์เนื้อเรื่องเอาละกันนะ)

     ภาพสุดท้ายของหนังทำให้คนดูที่นั่งห่างออกไปไม่กี่เบาะอุทานออกมาดังระดับ 50 เดซิเบล แปลไทยเป็นอังกฤษได้ใจความว่า "What the fuck!?" ซึ่งเราเชื่อว่าคนอื่นๆ ในโรงก็คงจะคิดแบบนี้เช่นกัน เท่านี้ก็พอจะบอกให้ทราบได้แล้วล่ะว่า ความตั้งใจของ ผกก.แกในการทำหนังเรื่องนี้สัมฤทธิ์ผลด้วยดีแล้วล่ะ อิอิ




หนังดีๆ ชวนบริหารสมองแบบนี้เอาไปโลด 7/10 ครับ




*รีวิวหนังของ ผกก.Denis Villeneuve เรื่องอื่นๆ ภายในบล็อก*
 

วันศุกร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

Godzilla (2014): โกจิร่ารีเทิร์น



Godzilla (2014): โกจิร่ารีเทิร์น

     Godzilla (คนญี่ปุ่นเรียก Gojira) นั้นหรือคือตัวละครสัตว์ประหลาดสุดคลาสสิกอีกตัวแห่งโลกภาพยนตร์ ที่มีอายุยาวนานกว่า 60 ขวบ ในผลงานหนังกว่า 28 เรื่อง จนมันได้รับฉายาว่าเป็น "ราชาแห่งสัตว์ประหลาด" เลยทีเดียว

     ครั้นฮอลลีวู้ดคิดจะจับมาขึ้นฝั่งอเมริกาบ้างเมื่อปีค.ศ.1998 ในเวอร์ชั่นของ ผกก.Roland Emmerich ก็ทำออกมาได้เละเทะดีไซน์ก็อดซิลล่าซะกลายพันธุ์ออกมาน่าเกลียดจนแฟนๆ พากันยี้กันทั่วทุกสารทิศ

     มาถึงการพยายามครั้งล่าสุดนี้ ทีมสร้างซึ่งนำโดย ผกก.Gareth Edwards ที่เคยโชว์ฟอร์มแจ่มในหนังไซไฟเล็กๆ แต่คุณภาพไม่เล็กอย่าง Monsters (2010) ขอยึดมั่นในต้นฉบับอย่างเต็มสูบพร้อมทั้งใช้มายาภาพยนตร์ที่ก้าวหน้าถึงขีดสุดของฮอลลีวู้ด มาเนรมิตให้การกลับมาของก็อดซิลล่าครั้งนี้ดูจริงจัง ยิ่งใหญ่ตระการตา ดูดีมีชาติการ์ตูนยิ่งนัก

     แต่ไม่ใช่พี่แกสักแต่บ้าพลัง ยัดแต่ฉากทะลายบ้านเมืองเข้ามาจนล้นจนเฝือนะ แกยังพยายามทำให้หนังมีดราม่า มีอารมณ์ความรู้สึก และก็เข้าใจค่อยๆ แย้มการปรากฏตัวของก็อดซิลล่าทีละนิด ทีละหน่อยก่อนจะจัดเต็มช่วงท้าย เพื่อไม่ให้คนดูเบื่อหน้าก็อดซิลล่าเสียก่อน

     หนังมีความยาวสองชั่วโมง แต่ผกก.สามารถเล่าเรื่องได้น่าติดตามตลอด หาได้มีช่วงเวลาน่าเบื่อเลยสักนิด ถึงแม้แกจะโดดขึ้นมากำกับหนังฟอร์มยักษ์ (จริงๆ) เป็นครั้งแรก แต่ก็สามารถทำหนังที่สเกลใหญ่เช่นนี้ให้ออกมาดูใหญ่โตขึ้นไปอีก เก่งแบบนี้ก็รับดอกไม้ไปเต็มๆ เลยนะจ้ะ




     นับว่าการกลับมาของก็อดซิลล่าครั้งนี้เจ๋งพอตัวทีเดียว แม้จะไม่ที่สุด แต่ก็สมศักดิ์ศรีที่สั่งสมมากว่า 60 ปี เอาไปโลด 7/10 ครับ



ปล.ดูในแบบ IMAX จะเหมาะสมสำหรับความอลังของหนัง และที่แน่ๆ คือยามหนังออกแผ่น นี่คือหนังที่เป็นตัวทดสอบระบบโฮมเธียร์เตอร์ของท่านชั้นดีเลยทีเดียว โดยเฉพาะในด้านเสียงย่านความถี่ต่ำที่หากซับวูฟเฟอร์ของใครเซ็ทไม่เจ๋งหรือไม่แหล่มพอล่ะก็ งานนี้อาจมีเดี้ยง






*รีวิวหนังของ ผกก.Gareth Edwards เรื่องอื่นๆ ภายในบล็อก*

วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

Oculus (2013): กระจกผีเสี้ยม



Oculus (2013): กระจกผีเสี้ยม

     "เคยมองกระจกเงาตรงหน้าแล้วรู้สึกว่ากำลังมีใครคนอื่นจ้องมองเราอยู่มั้ย?"

     มนุษย์เราเชื่อว่ากระจกนั้นมีอำนาจลึกลับในการใช้เป็นประตูติดต่อกับโลกวิญญาณได้มาตั้งแต่โบราณกาลแล้ว แม้ว่าความเชื่อนี้จะเป็นอะไรที่เข้าข่าย 'ไม่เชื่ออย่าลบหลู่' (หรือพิสูจน์ไม่ได้) ทุกวันนี้คนบางกลุ่มก็ยังคงเชื่อเช่นนี้อยู่อย่างแพร่หลาย

     ดังนั้นจึงไม่แปลกที่จะมีหนังผีเกี่ยวกับกระจกออกมาให้เราดูกันอยู่เนืองๆ อย่างก่อนหน้านี้ก็มี Mirrors (2008) ที่รีเมคมาจากหนังเกาหลีเรื่อง 'กระจกผีเฮี้ยน' มาอีกต่อหนึ่งนั่นไง

     ส่วนสำหรับเรื่องนี้ ผกก.Mike Flanagan เขาก็เอาหนังสั้นชื่อ Oculus: Chapter 3 - The Man with the Plan (2006) ของตนเองมาขยายความต่อความยาวสาวความยืดขึ้นจอเงินอีกทีเหมือนกัน

     แม้เรื่องราวโดยรวมจะเดิมๆ แต่หนังก็มีดีตรงไอเดียการนำเสนอ ที่เล่าเรื่องราวของสองตัวเอกตอนเด็กกับตอนโตสลับไปมาได้อย่างเข้าท่าดีแท้ แถมยังเอาไปใช้เป็นลูกเล่นลูกล่อลูกชนมุกสยองส่งผลต่อความหลอนของหนังได้อีกด้วยแน่ะ

     แต่ต้องบอกก่อนว่านี่คือหนังผีสายหลอน ไม่ใช่สายแหว่ะ สายโหด หรือสายตุ้งแช่ ดังนั้นหนังจึงโดดเด่นด้านความหลอน ขายไอเดียมากกว่าอย่างอื่น ถ้าหวังจะดูอะไรโหดๆ ผีหน้าตาน่ากลัวๆ ล่ะก็คงจะผิดหวังอยู่บ้าง แม้เท่าที่มีจะโหดสยอง แต่ก็ไม่ถึงใจคอซาดิสม์อย่างใครเขามั้ง

     เรียกว่าเป็นหนังผีที่ต้องการใช้การประมวลผลของซีพียูในหัวของท่านอยู่บ้าง หากไม่พกสมองไปดู อาจมีสับสนกับหนังได้ในบางลีลา

     หากว่าดูหนังเรื่องนี้จบ แล้วทำให้คุณรู้สึกสันหลังเย็บวาบยามส่องกระจกได้แล้วล่ะก็ (ไม่ใช่เห็นหน้าตัวเองแล้วผวานะ อิอิ) ก็ถือว่าหนังเรื่องนี้ประสบความสำเร็จแล้วล่ะ





หนังผีสายหลอนขายไอเดียการเล่าเรื่อง 6/10 ครับ





*รีวิวหนังเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องภายในบล็อก*

วันเสาร์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

The Amazing Spider-Man 2 (2014): สไปดี้ขยี้มาร


The Amazing Spider-Man 2 (2014): สไปดี้ขยี้มาร

     ภาคแรกที่ออกมาเมื่อปี 2012 ถึงจะทำออกมาไม่เสียศักดิ์ศรีไอ้แมงมุมขยุ้มหัวใครแต่ก็หย่อนความสนุกไปหน่อย มาภาคนี้เห็นอัดตัวโกงมาตั้งหลายตัว หลายคนคงอดหวั่นใจไม่ได้ว่ากลัวหนังจะออกมาเละเทะแบบเดียวกันกับ Spider-Man 3 (2007) จัง


     ซึ่งผลที่ออกมาคือหนังไม่เละครับ แถมสนุกกว่าภาคแรกอีก


     ผกก.Marc Webb เจ้าเก่ายังคงตั้งหน้าตั้งตาทำสไปเดอร์แมนเวอร์ชั่นสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าวัยรุ่นอย่างไม่ลดละ ซึ่งในส่วนของความรักของพระนางก็ยังทำได้ดีโดนใจคนชอบดูหนังรักดีแท้ (จี๊ดได้อีกแน่ะ) ครั้นในด้านฉากแอ็คชั่นที่เป็นจุดอ่อนของภาคแรก ภาคนี้ก็จัดเต็มดูสนุกไม่ใช่น้อย

     แต่หนังก็มีฉากดราม่าค่อนข้างเยอะเหมือนกัน ซึ่งเข้าใจว่าผู้สร้างพยายามใส่มิติของความเป็นปุถุชนคนเดินถนนคอนกรีตแก่สไปดี้เข้าไป ทว่าดูเหมือนมันกลับเป็นตัวทำให้คนดูส่วนใหญ่เซ็งซะมากกว่า (ในขณะที่เวลาสำหรับฝ่ายตัวโกงมีให้นิดเดียว) เวลาเกือบสองชั่วโมงครึ่งเลยดูเหมือนจะทำให้หนังยาวเกินไปสักนิด

     หากว่าดูหนังฮีโร่ที่พระเอกซีเรียสจริงจังมาเยอะแล้ว สไปดี้เวอร์ชั่นนี้คงจะออกมาขี้เล่นสุดแล้ว แถมบางทียังดูจะขี้เล่นเกินไปด้วยซ้ำ คือแม้แต่ในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานสไปดี้แกยังเล่นขี้ได้อีก (เล่นไปหน่อยมั้ย?)

     ไม่รู้สินะ หลายคนอาจจะไม่ค่อยชอบสไปดี้เวอร์ชั่นมุ่งโรแมนติกแบบนี้ก็ได้ โดยเฉพาะๆ เด็กๆ ที่คงจะไม่อินกับเรื่องรักๆ ใคร่ๆ แบบนี้สักเท่าไหร่ บางทีสไปดี้เวอร์ชั่นเดิมที่ออกแนวขี้แพ้ๆ หน่อยก็ยังดูจะได้ใจกว่าเวอร์ชั่นนี้เยอะ ยังไงภาคต่อไปก็ตั้งอกตั้งใจพิทักษ์นิวยอร์คแล้วเพลาๆ การเป็นไอ้หนุ่มนักรักได้แล้วนะพ่อคุ๊ณ



สนุกกว่าภาคแรกแต่ก็ไม่หนีกันไปเท่าไหร่ 7/10 ครับ





*รีวิวหนังของ ผกก.Marc Webb เรื่องอื่นๆ ภายในบล็อก*