The Railway Man (2013): ย้อนรอยแค้นทางรถไฟสายมรณะ
หนังที่สร้างจากเรื่องจริงของ Eric Lomax อดีตทหารหนุ่มของฝ่ายอังกฤษในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งเคยเป็นหนึ่งในเชลยสงครามนับหมื่นที่ถูกทหารญี่ปุ่นบังคับให้ไปสร้างทางรถไฟสายมรณะที่เชื่อมต่อระหว่างไทยกับพม่าอันมีระยะทางกว่า 415 กม. ซึ่งกว่าจะสร้างเสร็จก็สังเวยชีวิตแรงงานไปนับแสนคนเลยทีเดียว
และแม้กาลเวลาจะผ่านมาเนิ่นนานจนหัวหงอกแล้ว แต่ฝันร้ายสมัยยังเอ๊าะที่เขาเคยถูกทหารญี่ปุ่นจับไปทรมานทรกรรมยังคงคอยตามมาหลอกหลอนไม่เว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์ จนส่งผลให้ในที่สุดเขาจึงตัดสินใจกลับมาไทยแลนด์แดนม็อบอีกครั้ง เพื่อไปตามเคลียร์บัญชีแค้นกับทหารญี่ปุ่นคนที่เคยทรมานเขาซะให้รู้แล้วรู้แรดไปเลย
หนังอังกฤษ/ออสเตรเลียเรื่องนี้ได้สองดาราใหญ่ระดับออสก้าร์นำชาย/หญิงยอดเยี่ยมอย่าง Colin Firth และ Nicole Kidman มาเป็นตัวเรียกแขก แถมหนังยังถ่ายทำในไทยอีกกว่าครึ่งเรื่อง ซึ่งนอกจากหนังจะให้ความรู้ทางด้านประวัติศาสตร์สมัยโน้นแล้ว ด้านดราม่าก็ไม่ได้ตกหล่นไปไหน โดยเฉพาะลุง Colin ที่เล่นดีดราม่าเด่นสมกับที่เคยซิวออสก้าร์นำชายไปครองซะ
งานสร้างโดยรวมออกมาดูดีมีราคา ดาราเล่นดีกันถ้วนหน้า ดราม่าหนักแน่นไม่เบาหวิว แต่หนังก็เล่าเรื่องแบบเรื่อยๆ เป็นระนาบเดียวทั้งเรื่องจนจบ ซึ่งอาจจะทำให้ขาดความรู้สึกพีคจนกระทบจิตใจไปบ้าง
ธีมหลักของเรื่องคือการให้อภัย ซึ่งเป็นสิ่งที่พูดกันง่ายพูดกันจังแต่ทำยากชะมัด (เนอะ?) การแก้แค้นอาจเป็นทางออกที่ดูสะใจโก๋ดี แต่แน่ใจแล้วเหรอว่านั่นคือทางออกที่ดีต่อจิตวิญญาณของเราเองแล้ว บางทีเราก็ควรจะต้องเลิกหาเรื่องมาเกลียดชังกันได้แล้ว แต่ละวันก็มีทุกข์พออยู่แล้ว อย่าหาภาระมาถ่วงตนเองและคนรอบข้างเพิ่มอีกเล๊ย
วันศุกร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2557
วันพฤหัสบดีที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2557
Brick Mansions (2014): บู๊(เกือบ)สุดท้ายของเฮียวอล์คเกอร์
Brick Mansions (2014): บู๊(เกือบ)สุดท้ายของเฮียวอล์คเกอร์
นอกจากนี่จะเป็นเวอร์ชั่นรีเมคของ District B13 (หนังบู๊กระจายจากฝรั่งเศสที่นำเอา "Parkour" ศิลปะการเคลื่อนที่มาเป็นจุดขายจนตัวหนังฮิตติดลมบน)แล้ว ยังได้ชื่อว่าเป็นหนังลำดับรองสุดท้ายของพระเอก Paul Walker ผู้ล่วงลับอีกด้วย
หนังยังเดินตามต้นฉบับแบบไม่ค่อยเปลี่ยนอะไรมากมาย (แม้แต่นาย David Belle ยังกลับมารับบทเดิมอีกครั้งเลย) นอกจากเน้นบทในฝั่งของ Walker ให้มากขึ้น ส่วนฉากบู๊ก็ซัดกันมาทั้งเรื่อง ซึ่งก็ยังเน้นขาย Parkour อยู่นั่นเอง
นี่จึงเป็นหนังแอ็คชั่นฟัดกันนันสต็อปที่กะสร้างออกมาให้ดูเอามันส์ เป็นหนังแบบที่เหมาะจะดูแบบกลางแปลงหรือไม่ก็เปิดตามร้านขายดีวีดี ที่ดูกันได้แบบไม่ต้องคิดอะไรกันให้มากความ ซึ่งก็แน่นอนมันไม่มีอะไรโดดเด่นเพราะเราตื่นเต้นไปแล้วกับครั้งสมัยหนังต้นฉบับเมื่อสิบปีก่อน
แต่สิ่งที่เชื่อว่าจะเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้ใครหลายคนตัดสินใจตีตั๋วไปดูก็คือการได้เห็น Paul Walker โลดแล่นบนจอเงินเป็นครั้งท้ายๆ ซึ่งก็อยากรู้เหมือนกันว่าทีมสร้าง Fast & Furious 7 (2015) จะสั่งลาพี่แกออกมาได้ดีขนาดไหน
บอกตามตรงว่าวินาทีที่เห็นการขึ้นรูปอำลาอาลัยของเฮียช่วงเอนด์เครดิตหนังเรื่องนี้ ก็ทำให้รู้สึกสะท้อนใจไปไม่น้อยเลยทีเดียว
วันเสาร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2557
Transcendence (2014): ป๋าเดปป์พิฆาตโลก
Transcendence (2014): ป๋าเดปป์พิฆาตโลก
ป๋า Johnny Depp (ย่าง 51 ขวบ) ขวัญใจแม่ยกสาวน้อยสาวไม่น้อยทั้งหลายกลับมาพบแฟนๆ กับหนังไซไฟบ้าง หลังจากไม่ได้เล่นหนังแนวนี้เลยตั้งเนิ่นนานแล้ว ซึ่งอันที่จริงแกแทบไม่ได้เล่นหนังแนวนี้เลยต่างหาก ที่ใกล้เคียงที่สุดก็คือ The Astronaut's Wife (1999) โน่นล่ะ
พอเห็นรายนามนักแสดงแล้วก็เอะใจ ไหงมีแต่นักแสดงที่เคยร่วมงานกับ ผกก.Christopher Nolan มาทั้งนั้นหว่า? พอค้นดูก็พบว่า อ่อ ที่แท้ทั่น Nolan แกเคยเล็งจะกำกับเรื่องนี้แต่เลือกทำ Interstellar (2014) แทนและถอยไปเป็นผู้อำนวยการสร้าง พร้อมทั้งดัน ผกก.ภาพคู่ใจอย่าง Wally Pfister ที่เคยร่วมงานกันมาตั้งแต่ Memento (2000) ขึ้นมาประเดิมกำกับเป็นเรื่องแรก
ส่วนเรื่องราวของหนังก็เหมือนหนังแนวปัญญาประดิษฐ์คิดครองโลกทั้งหลาย อย่างเช่น Terminator กับ The Matrix ที่ตัดหุ่นยนต์หรืออะไรบู๊ๆ ระเบิดระเบ้อออกไปให้หมด และสลับไปโฟกัสเรื่องราวเริ่มแรกของฝ่ายปัญญาประดิษฐ์มากกว่าฝ่ายต่อต้านแทน
หนังออกมาแนวเข้มข้นจริงจัง ดูได้เรื่อยๆ แต่ดูเอามันส์คงจะไม่ค่อยเหมาะนัก เพราะจริงๆ หนังเขามาเพื่อโยนคำถามให้ได้ขบคิดซะมากกว่า
อย่างเช่นในโลกทุกวันนี้ที่คนเราเคยชินกับการใช้ชีวิตพึ่งพาคอมพิวเตอร์แทบจะทุกลมหายใจ แล้วไม่กลัวบ้างเหรอว่าสักวันมันจะครอบงำเรา ไปจนถึงขั้นยึดโลก
แต่หนังก็ยังแบ่งรับแบ่งสู้ไม่ได้ต่อต้านวิทยาการหรือปัญญาประดิษฐ์แบบหัวชนฝา เพียงแค่เห็นว่าตอนนี้มนุษย์เราอาจจะยังไม่เข้าใจและยังไม่พร้อมสำหรับการพัฒนาแบบก้าวกระโดดของเทคโนโลยีแบบนั้นก็ได้
พร้อมทิ้งประโยคหนึ่งที่ชวนคิดให้ว่า "อินเตอร์เน็ตทำให้โลกเล็กลง แต่ที่จริงแล้วการปราศจากมันนั้นทำให้โลกเล็กลงไปยิ่งกว่าอีก" ว่าแล้วพอเดินออกจากโรงหนัง เราก็รีบควักมือถือออกมาเข้าเน็ตรัวๆ เพราะว่ายอมรับเหอะว่า ทุกวันนี้พวกเราหลายคนนั้นขาดอินเตอร์เน็ตกันไม่ได้แล้ว อิอิ :P
ป๋า Johnny Depp (ย่าง 51 ขวบ) ขวัญใจแม่ยกสาวน้อยสาวไม่น้อยทั้งหลายกลับมาพบแฟนๆ กับหนังไซไฟบ้าง หลังจากไม่ได้เล่นหนังแนวนี้เลยตั้งเนิ่นนานแล้ว ซึ่งอันที่จริงแกแทบไม่ได้เล่นหนังแนวนี้เลยต่างหาก ที่ใกล้เคียงที่สุดก็คือ The Astronaut's Wife (1999) โน่นล่ะ
พอเห็นรายนามนักแสดงแล้วก็เอะใจ ไหงมีแต่นักแสดงที่เคยร่วมงานกับ ผกก.Christopher Nolan มาทั้งนั้นหว่า? พอค้นดูก็พบว่า อ่อ ที่แท้ทั่น Nolan แกเคยเล็งจะกำกับเรื่องนี้แต่เลือกทำ Interstellar (2014) แทนและถอยไปเป็นผู้อำนวยการสร้าง พร้อมทั้งดัน ผกก.ภาพคู่ใจอย่าง Wally Pfister ที่เคยร่วมงานกันมาตั้งแต่ Memento (2000) ขึ้นมาประเดิมกำกับเป็นเรื่องแรก
ส่วนเรื่องราวของหนังก็เหมือนหนังแนวปัญญาประดิษฐ์คิดครองโลกทั้งหลาย อย่างเช่น Terminator กับ The Matrix ที่ตัดหุ่นยนต์หรืออะไรบู๊ๆ ระเบิดระเบ้อออกไปให้หมด และสลับไปโฟกัสเรื่องราวเริ่มแรกของฝ่ายปัญญาประดิษฐ์มากกว่าฝ่ายต่อต้านแทน
หนังออกมาแนวเข้มข้นจริงจัง ดูได้เรื่อยๆ แต่ดูเอามันส์คงจะไม่ค่อยเหมาะนัก เพราะจริงๆ หนังเขามาเพื่อโยนคำถามให้ได้ขบคิดซะมากกว่า
อย่างเช่นในโลกทุกวันนี้ที่คนเราเคยชินกับการใช้ชีวิตพึ่งพาคอมพิวเตอร์แทบจะทุกลมหายใจ แล้วไม่กลัวบ้างเหรอว่าสักวันมันจะครอบงำเรา ไปจนถึงขั้นยึดโลก
แต่หนังก็ยังแบ่งรับแบ่งสู้ไม่ได้ต่อต้านวิทยาการหรือปัญญาประดิษฐ์แบบหัวชนฝา เพียงแค่เห็นว่าตอนนี้มนุษย์เราอาจจะยังไม่เข้าใจและยังไม่พร้อมสำหรับการพัฒนาแบบก้าวกระโดดของเทคโนโลยีแบบนั้นก็ได้
พร้อมทิ้งประโยคหนึ่งที่ชวนคิดให้ว่า "อินเตอร์เน็ตทำให้โลกเล็กลง แต่ที่จริงแล้วการปราศจากมันนั้นทำให้โลกเล็กลงไปยิ่งกว่าอีก" ว่าแล้วพอเดินออกจากโรงหนัง เราก็รีบควักมือถือออกมาเข้าเน็ตรัวๆ เพราะว่ายอมรับเหอะว่า ทุกวันนี้พวกเราหลายคนนั้นขาดอินเตอร์เน็ตกันไม่ได้แล้ว อิอิ :P
วันเสาร์ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2557
Need for Speed (2014): ซิ่งสุดตีน
หนังจากแฟรนไชส์เกมซิ่งรถชื่อดังจากค่าย EA (Electronic Arts) ที่คอเกมต่างรู้จักกันดี กลายมาเป็นหนังจอเงินจนได้ แถมยังได้หนุ่ม Aaron Paul ที่เพิ่งจบสิ้นภารกิจจากซีรีส์ฮิต Breaking Bad เขยิบตัวเองมารับหน้าที่พระเอกหนังแอ็คชั่นแบบเต็มตัวเป็นครั้งแรกเสียด้วย
ครั้นมองไปที่ ผกก.ก็คือคุณ Scott Waugh สตั้นท์แมนที่ผันตัวมาเป็น ผกก.หนัง ซึ่งเคยทำหนังทหารสุดฮิตแต่นักวิจารณ์ยี้อย่าง Act of Valor (2012) นั่นเอง
มาเรื่องนี้ ผกก.แกทำหนังออกมาได้ค่อนข้างดูสนุกดีทีเดียว คือมีมาครบทุกรสชาดมาฝาก ไม่ว่าจะเป็นบรรดาฉากซิ่งรถมันส์ๆ ฉากซึ้งๆ เศร้าๆ ฉากโรแมนติก ฉากตลกคาเฟ่ แต่หากมองด้านเรื่องราว ความสดใหม่นั้นยังเฉยๆ เดิมๆ และหนังค่อนข้างยาวเกินความจำเป็นไปนิด คือสอง ชม.ต้นๆ แถมอารมณ์หนังก็ขึ้นๆ ลงๆ ไม่พีคเสียที
และเนื่องด้วย ผกก.แกเคยเป็นสตั้นท์แมน ดังนั้นหนังจึงเด่นด้านฉากซิ่งรถ ที่ทำได้ค่อนข้างถึงอกถึงใจคนรักความเร็วทั้งหลาย คือมีมุมกล้องเด็ดๆ ให้รับชม นักแสดงก็พยายามเล่นฉากเสี่ยงกันเองเท่าที่จะทำได้เสียด้วย
สิ่งที่ทำให้หนังดูดีขึ้นไปอีกหลายสเต็ปคือพระเอกของเราที่ไม่ได้มาเก๊กไปวันๆ แต่แกยังแสดงฉากอารมณ์อื่นๆ ได้ดี สามารถเติมเต็มมิติให้กับตัวหนังได้เยอะ ไม่ได้แข็งทื่ออย่างพระเอกหนังแอ็คชั่นส่วนใหญ่เขา
แต่คนที่น่าจะได้ใจคนดูส่วนใหญ่ไปเต็มๆ เลยก็คือนางเอก Imogen Poots ซึ่งในเรื่องนี้เธอดูน่ารัก มีเสน่ห์ ในทุกฉากที่อยู่บนจอ ไม่ได้เน้นสวยเซ็กซ์ ห้าวแกร่ง หรือบอบบาง อย่างนางเอกหนังแอ็คชั่นส่วนใหญ่เขา (อีกนั่นแหล่ะ)
หากว่าหนังชุด Fast and Furious ได้กลายเป็นหนังแนว "รวมการเฉพาะปล้น" มันส์ๆ ไปซะแล้ว Need for Speed เรื่องนี้นี่แหล่ะที่ดึงเอาเสน่ห์ของหนังแข่งซิ่งรถแบบเพียวๆ กลับมาพบผู้ชมได้อีกครั้ง แม้ว่าจะไม่ถึงกับเจ๋งโดนใจ แต่ก็มีดีพอตัวอยู่มิใช่น้อย
วันศุกร์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2557
Noah (2014): คุณโนอาห์ท่าจะบ๊อง
การกลับมาครั้งนี้ของ Darren Aronofsky (Black Swan) ผกก.นามสกุลขลังที่ทำหนังห่วยไม่เป็น แกคิดการใหญ่นำเอาเรื่องราวของโนอาห์ในไบเบิ้ลมาตีความในแบบของแกเอง
ซึ่งอะไรหลายอย่างก็ค่อนข้างจะแตกต่างจากในไบเบิ้ลมากทีเดียว ในแบบที่อาจจะทำให้คริสตศาสนิกชนหลายคนหาว่าบิดเบือนเอาได้ง่ายๆ
ส่วนสำหรับคนดูหนังทั่วไปที่ไม่รู้ไบเบิ้ลหรือเรื่องของโนอาห์มากนักก็อาจจะเข้าใจผิดเอาได้ว่าเรื่องราวมันเป็นอย่างที่เห็นในหนังเหรอ และคิดว่าหนังไม่ค่อยจะสนุก ไม่เห็นเป็นหนังมหันตภัยล้างโลกสุดยิ่งใหญ่อย่างที่เขาโฆษณาเลย
แต่สำหรับคนที่ดูหนังของ ผกก.Aronofsky มาคงจะจับทางได้แต่เนิ่นๆ ว่าแกต้องมีทางของแกเอง ที่ไม่ใช่การกางไบเบิ้ลถ่ายตามแบบหน้าต่อหน้าหรือว่ากะสร้างหนังดูสนุกเอาใจตลาดเป็นแน่
เพราะจริงๆ หนังไม่ได้เน้นไปที่ฉากน้ำท่วมโลก (ไม่ใช่ไคลแม็กซ์ของเรื่อง) หากแต่เป็นความขัดแย้งภายในจิตใจของคนที่อยู่บนเรือนั้นและโยนคำถามอะไรหลายๆ อย่างให้คนดูได้คิดต่างหาก โดยมีวิช่วลเก๋ๆ สไตล์แกแทรกเข้ามาให้เห็นเรื่อยๆ
หากเราแยกออกว่าหนังก็คือหนังที่ศิลปินผู้สร้างมีสิทธิ์ที่จะตีความและเสนอในสิ่งที่เขาคิด ไม่มีทางจะเป๊ะๆ ตามต้นฉบับอยู่แล้ว ก็จะทำให้เราไม่ต้องคาดหวังในตัวหนังอย่างผิดๆ และมองเห็นสิ่งที่เขาตั้งใจจะนำเสนอได้ดีขึ้น
ดังนั้นมันขึ้นอยู่กับมุมมองของเราแต่ละคนแล้วล่ะ
ส่วนสำหรับเราให้ 6/10 ครับ
*รีวิวหนังของ ผกก.Aronofsky เรื่องอื่นๆ ภายในบล็อก*
วันศุกร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2557
Captain America - The Winter Soldier (2014): นายกัปตันกับยัยตีนหนัก
Captain America: The Winter Soldier (2014): นายกัปตันกับยัยตีนหนัก
ในบรรดาฮีโร่มาร์เวลที่มีหนังฉายเดี่ยวของตนเอง ดูเหมือนกัปตันอเมริกาคือฮีโร่ที่หวือหวาน้อยที่สุดแล้ว แถมในภาคแรกที่ออกมาในปี 2011 ก็ยังมาแค่ "ก็ดีนะ" แต่ก็ไม่ถึงกับสนุกอะไรมากมาย และดูจะถูกใจแฟนๆ น้อยสุด หากเทียบกับหนังฮีโร่มาร์เวลเรื่องอื่นๆ (ดีนะที่พระเอก Chris Evans เขาหล่อล่ำเรียกคะแนนจากสาวแท้สาวเทียมได้ตรึมอยู่ :P)
มาภาคสองนี้ แว่บแรกๆ เท่าที่เห็นจากเทรลเลอร์ก็ไม่ได้น่าดูอะไรมากมาย แต่ก็อยากรู้เหมือนกันว่าทางมาร์เวลจะพลิกเกมยังไง แถมยังทำแปลกชวนสอง ผกก.พี่น้อง Anthony และ Joe Russo ที่ไม่เคยมีวี่แววจะเคยทำหนังแนวนี้มาก่อน (ผลงานของพวกเขาในอดีตก็มีอย่าง เอ่อ...You, Me and Dupree นั่นไง) มาดูแลอีก ป๊าด! จะมาไม้ไหนกันเนี่ย
พอได้ดูตัวหนังแล้วถึงได้โล่งใจ เพราะหนังออกมาดูดีกว่าภาคแรกในทุกด้าน ทั้งการเพิ่มความจริงจังและเป็นผู้ใหญ่ขึ้นของอารมณ์โดยรวม ฉากแอ็คชั่นยังซัดกันมาแต่เด็ดๆ ทั้งเรื่อง แม้ว่าหนังจะยาวสอง ชม.กว่า แถมหลายฉากดูจะพูดเยอะจริงจังเป็นผู้ใหญ่เกินไปสำหรับเด็กๆ เพราะเดาว่าเป้าหมายหลักของหนังคือวัยรุ่น รวมถึงผู้ใหญ่ใจเด็กทั้งหลาย แต่ก็ไม่ได้ถึงกับน่าเบื่อเพราะ ผกก.เขาคุมจังหวะหนังได้อยู่
นับว่ามุกของมาร์เวลในการดึง ผกก.ที่เคยแต่ทำหนังแนวอื่นๆ ให้มาลองทำหนังฮีโร่แบบนี้บ้าง ยังใช้การได้ดีเหมือนเช่นที่ผ่านๆ มา ซึ่งดูเหมือน ผกก.แพ็คคู่ของเรานี้จะทำหน้าที่ได้ดีมากจนได้ตามไปทำภาคสามที่จะฉายในปี 2016 ด้วยสิ แจ่มไปเลย
ถึงจะไม่ได้มีพลังพิเศษ เป็นอัจริยะ หรือมหาเศรษฐี แต่กัปตันอเมริกาก็ยังเป็นฮีโร่ที่มีดีมีทีเด็ดมากพอตัว การที่หนังภาคสองนี้สามารถฉายคุณงามความดีของเขาให้ออกมาเป็นที่ประจักษ์ยิ่งขึ้นไปอีก นั่นก็ทำให้เขาสามารถก้าวออกมายืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับฮีโร่ตัวอื่นๆ จากมาร์เวลอย่างเต็มภาคภูมิได้เสียที สู้ต่อไปนะ กัปตันอเมริกา
ภาคนี้ดูสนุกและอัดแน่นไปด้วยคุณภาพ ให้ 8/10
ไปเลยครับ
วันพฤหัสบดีที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2557
Divergent (2014): พยัคฆ์สาวตีมึน
หลายคนเห็นเทรลเลอร์แล้วคงจะกรอกตา เพราะคิดว่านี่คงเป็นเหมือนอีกหลายๆ เรื่องที่สร้างจากวรรณกรรมเยาวชน และหวังว่าจะกลายเป็นหนังแฟรนไชส์ฮิตอย่าง The Hunger Games เรื่องต่อไป แต่สุดท้ายก็แป๊กกันเป็นแถว อะไรแบบนั้นซะมากกว่า
แต่ช้าก่อน หนังอยู่ในมือของ ผกก.นามสกุลน่าหม่ำ Niel Burger ซึ่งมีเครดิตดีๆ อย่าง The Illusionist (2006) และ Limitless (2011) มันคงจะไม่ออกมาดูแล้วชีช้ำหรอกมั้ง
ซึ่งก็จริงเพราะหนังออกมาดูสนุก ดูเพลิน แม้กับความยาว 2 ชั่วโมงกว่าๆ จะมีบางช่วงอืดไปบ้างก็ตามที ส่วนนางเอกสาว Shailene Woodley อาจจะไม่ถึงกับโดดเด่นเป็นสง่าเหมือนอย่างหนู Jennifer Lawrence ใน The Hunger Games แต่ก็ถือว่ายังเอาอยู่
หนังอาจจะมีองค์ประกอบหลายอย่างที่ชวนให้นึกถึงหนังแนวนี้เรื่องอื่นๆ เช่นวัยรุ่นค้นหาตัวเอง การลุกขึ้นมาต่อต้านระบบที่ชั่วร้าย การแข่งขันกันในกลุ่ม ฯลฯ
แต่สิ่งที่เราชื่นชอบคือการเข้าใจเอาเรื่องของคุณลักษณะต่างๆ ของคนเรามาใช้ในเชิงอุปมาอุปมัย อย่างการแบ่งให้มีกลุ่มของผู้เสียสละ, ผู้กล้าหาญ, ผู้มีปัญญา, ผู้ซื่อสัตย์ และผู้รักสงบ ซึ่งแม้แต่ละอย่างจะเป็นสิ่งดีๆ ที่มนุษย์เราพึงมี แต่หากจะมุ่งเน้นไปที่สิ่งใดจนละเลยสิ่งอื่นๆ ก็ล้วนไม่ส่งผลดีทั้งนั้น
แค่การที่หนังแสดงให้เห็นว่าปัญญา ใช้ความกล้าหาญไปกำจัดความเสียสละ (ปัญญากับความเสียสละมักจะไปด้วยกันไม่ได้ อิอิ) และกลับมองว่าคนที่ประกอบไปด้วยห้าสิ่งนี้เท่าๆ กันในตัวคือคนนอก หรือคนที่ผิดปรกติ ทั้งที่มนุษย์เราควรจะเป็นแบบนั้น ซึ่งมันจริงและใช่มากสำหรับโลกเราทุกยุคสมัยที่ผ่านมาเลยทีเดียว
พล่ามซะยาวเลย แต่อยากจะบอกว่าโดนใจก็ตรงนี้นี่แหล่ะ สรุปว่านี่คือหนังจากวรรณกรรมเยาวชนที่เราบอกได้เต็มปากเลยว่า รอดูภาคต่อไปอยู่เน้อ ^^ V
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)