วันศุกร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2557

Sabotage (2014): หง่อมจัดหนัก



Sabotage (2014): หง่อมจัดหนัก

     ด้วยวัย 66 ขวบ ป๋า Arnold Schwarzenegger ยังไม่ยอมปลดเกษียณตัวเองจากวงการหนังง่ายๆ แถมยังพยายามอย่างหนักที่จะกลับมารุ่งให้จงได้ ด้วยการรับเล่นหนังชนิดไม่มีหยุดหย่อน (แค่ปีนี้ปีเดียวแกก็มีหนังถึงสามเรื่องด้วยกันแล้ว) แหม่ อายุปูนนี้แล้วยังอึดถึกสมกับฉายา 'คนเหล็ก' ที่ได้รับมาจริงๆ

     ส่วนเรื่องนี้ป๋าแกยังคงยึดแน่นกับหนังแนวแอ็คชั่นอาชญากรรมเช่นเดิม โดยได้มือดีด้านนี้อย่าง ผกก.David Ayer (End of Watch) มาดูแลภารกิจบู๊ให้ แถมยังได้เหล่านักแสดงดังๆ มาร่วมแจมอีกหลายคน จนหน้าหนังออกมาแข็งแรงสมชายตั้งแต่หัวจรดปลายเล็บตีนขบมากทีเดียว

     คนที่ตามผลงานของ ผกก.Ayer มาตลอดจะรู้ว่าแกทำหนังแนวอาชญากรรมได้ถึงลูกถึงคนแค่ไหน โดยเฉพาะความแรงของฉากบู๊ที่ค่อนข้างดุเดือดรุนแรงสมจริงสมจัง (แบบที่ฉากยิงกันจะต้องมีชาวบ้านที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่โดนลูกหลงไปด้วยเสมอ) รวมทั้งข้อเท็จจริงในโลกอาชญากรรมที่น่าตกใจว่ามันเล่นกันแรงถึงขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย

     แต่พล็อตหนังโดยรวมก็ออกแนวสืบสวนหาตัวมือมืดไม่ได้หลุดพ้นจากพล็อตหนังทีวีดีๆ ไปสักเท่าไหร่ไปซะงั้น เลยดูค่อนข้างจะดูเฉยๆ ธรรมดาๆ ไปบ้าง ในขณะที่ป๋าคนเหล็กแกก็เน้นขายมาดเก๋าๆ เข้มๆ ไปเรื่อย ส่วนในฉากบู๊แกจะดูเฉื่อยๆ ตามอายุขัยจนต้องใช้การตัดต่อ และมุมกล้องช่วยเอา (ไม่เหมือนเสี่ย Sylvester Stallone ที่ยังลุยเตะตูดผู้ร้ายได้สบายๆ)

     ผกก.Ayer บอกเราอีกครั้งถึงความเลวร้ายของโลกอาชญากรรมทุกวันนี้ (โดยเฉพาะในอเมริกา/เม็กซิโก) ที่ เงิน และอำนาจ คือสาเหตุที่ทำให้คนเราทำโหดร้ายทารุณกับคนอื่นๆ ได้ถึงเพียงไหน และนี่ไม่ได้พูดถึงแค่สิ่งที่เหล่าแก๊งค้ายาทำเท่านั้น เรากำลังหมายถึงเหล่าผู้รักษากฏหมายทั้งหลายด้วยเน้อ





ดูกันได้เพลินๆ หนังโดดเด่นที่ความแรงของฉากบู๊ ให้ไป 6/10 ครับ







*รีวิวหนังของ ผกก.David Ayer เรื่องอื่นๆ ภายในบล็อก*

วันพุธที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2557

Why Don't You Play in Hell?: ศึกยากูซ่าท้าดวลหนัง



Why Don't You Play in Hell?/Jigoku de naze warui (2013): ศึกยากูซ่าท้าดวลหนัง

     ในยุคนี้ที่ ผกก.ทาคาชิ มิอิเกะ ขยันทำหนังแบบวาไรตี้ซึ่งก็โอนเอียงไปทางหนังตลาดซะส่วนใหญ่ ก็ยังเหลือ ผกก.ชิออน โซโน่ นี่แหล่ะที่คอหนังแนวปนโหดปนคัลต์ยังพอจะหวังพึ่งได้อยู่

     ผลงานที่ผ่านๆ มาของแกล้วนแต่ได้ใจคอหนังแนวนี้ทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็น หนังที่พูดถึงความงมงายทางศาสนาอย่าง Love Exposure (2008) หนังโรคจิตๆ โหดๆ อย่าง Cold Fish (2010) และ Guilty of Romance (2011) หรือหนังชีวิตชีช้ำอย่าง Himizu (2011)

     มาคราวนี้แกกลับมาพร้อมหนังที่มีพล็อตเรื่องเก๋ไก๋ปนพิลึกที่มีทั้ง กลุ่มคนรักหนังต๊อกต๋อยที่ใฝ่ฝันจะทำหนังเจ๋งๆ สักเรื่องในชีวิต เหล่ายากูซ่าสองแก๊งที่เขม่นกันมาตลอดสิบปี ลูกสาวหัวหน้าแก๊งยากูซ่าที่ไปจ้างหนุ่มจ๋องมาเป็นแฟนหนึ่งวัน หรือหัวหน้าแก๊งฝ่ายตรงข้ามที่หลงรักลูกสาวยากูซ่าตั้งแต่เธอยังเด็ก (ป๊าด!)

     หนังเปรียบเหมือนจดหมายรักของแกในฐานะคนทำหนังที่มีต่อภาพยนตร์ แต่จดหมายรักฉบับนี้ก็เป็นไปตามแบบของแกที่มีทั้งอะไรที่ แนวๆ โหดๆ เวอร์ๆ บ้าๆ โรคจิตๆ ตลกร้ายๆ ซึ้งๆ แอ็คชั่นๆ คัลท์ๆ เรียกว่ามาครบทุกรสชาด ดูสนุกจริงๆ นะขอบอก และที่เก๋กว่านั้นก็คือนี่มันหนังซ้อนหนังซ้อนหนังเลยนะเอ้า เจ๋งว่ะ!!

     เราสมัครเป็นแฟนหนัง ผกก.โซโน่ แกตั้งแต่ครั้ง Cold Fish โน่นแล้ว และกับหนังเรื่องนี้ แกก็ยังไม่ทำให้ต้องผิดหวังอีกเช่นเคย ลองดูสิแล้วจะติดใจ




เอาไป 8/10 เลยโลด






*รีวิวหนังของ ผกก.ชิออน โซโน่ เรื่องอื่นๆ ภายในบล็อก*
  

วันศุกร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2557

Non-Stop (2014): เที่ยวบินระทึกเงิบ


Non-Stop (2014): เที่ยวบินระทึกเงิบ

     ในขณะที่สองเฒ่า Sylvester Stallone (67 ขวบ) และ Arnold Schwarzenegger (66 ขวบ) ดูท่าจะไม่ยอมปลดเกษียณแขวนปืนจากการเป็นพระเอกหนังบู๊ง่ายๆ ก็ยังมีป๋า Liam Neeson (61 ขวบ) อีกคนที่เตะปี๊บดังได้อยู่ และขยันเข็นหนังบู๊สนุกๆ มาให้แฟนๆ ได้ตามไปให้กำลังใจกันอยู่เนืองๆ

     ส่วนนี่คือผลงานล่าสุดของแกที่ไปฉะกับเหล่าร้ายกันบนเครื่องบินโบอิ้งกันบ้างล่ะ โดยหนังอยู่ในมือของ ผกก.ชาวสเปน Jaume Collet-Serra ที่เคยร่วมงานกับแกมาแล้วครั้งหนึ่งใน Unknown (2011) นั่นเอง

     ก่อนอื่นขอให้ทำความเข้าใจก่อนว่าหนังเรื่องนี้ไม่ใช่หนังบู๊ที่ตั้งหน้าตั้งตามาซัดกันนัวหรอกนะ เพราะแท้จริงแล้วจะออกแนวทริลเลอร์ชวนสงสัยว่าใครคือผู้ร้ายเสียมากกว่า ซึ่งทีมสร้างก็ทำออกมาได้ค่อนข้างดีเพราะสามารถทำให้คนดูร่วมลุ้นระทึกไปกับเงื่อนไขสถานการณ์แสนกดดันในหนังไปได้เกือบตลอดงาน และสับขาหลอกให้คาดเดาได้ยากว่าใครคือมือมืดกันแน่

     แต่น่าเสียดายที่ช่วงท้ายหนังกลับวกเข้าการเป็นหนังสูตรสำเร็จแบบเดิมๆ ที่เห็นมานักต่อนักไปอย่างน่าเสียดาย คุณงามความดีที่สร้างกันมาตั้งแต่แรกเลยดร็อปลงไปพอสมควร ทว่าทั้งนี้ทั้งนั้นโดยรวมแล้วก็ยังถือว่านี่คือหนังแอ็คชั่นทริลเลอร์น้ำดี ที่ดูสนุกมีลุ้นระทึก ไม่ตื้นเขิน ใครชอบดูแนวๆ นี้คงจะไม่ผิดหวังกันแน่นอน




ป๋า Liam แกยังเท่ได้อยู่ในหนังเรื่องนี้ ที่ดูสนุกมีลุ้นดีแท้ เราให้ไปเลย 7/10 เลยเน้อ

ปล.ป๋าแกกำลังจะกลับมาอีกครั้งกับ Taken 3 (2015) ซึ่งคอยดูสิว่าคราวนี้แกจะตามไปช่วยสมาชิกคนไหนในครอบครัวได้อีก หึๆ







*รีวิวหนังเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องภายในบล็อก*

วันพฤหัสบดีที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2557

The Lego Movie (2014): โก้ไม่โก้ข้าก็คือเลโก้

The Lego Movie (2014): โก้ไม่โก้ข้าก็คือเลโก้

     เลโก้ (Lego ภาษาเดนมาร์กที่แปลว่า Play well) นั้นหรือก็คือของเล่นตัวต่อพลาสติกที่มีต้นกำเนิดจากเดนมาร์กเมื่อ 65 ปีที่แล้ว ซึ่งก็ฮ็อตฮิตติดลมบนจนสามารถครองใจเด็กทุกยุคทุกสมัยเรื่อยมาจนทุกวันนี้

     ส่วนการทำเลโก้เป็นอนิเมชั่นนั้นก็มีมานานแล้ว เพียงแต่ว่าส่วนใหญ่จะทำส่งตรงลงแผ่น จะมีคราวนี้เนี่ยแหล่ะที่คิดการใหญ่ทำเป็นหนังโรง ซึ่งผลตอบรับก็ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างงดงามทั้งคำวิจารณ์และรายได้ที่กวาดไปได้กว่า 360 ล้านเหรียญแล้ว

     ไอ้เราที่ไม่ใช่แฟนเลโก้จึงอาจจะดูไม่อินและฟินเท่ากับแฟนพันธุ์แท้ทั้งหลาย แต่ก็ต้องยอมรับล่ะว่า เขาทำออกมาได้ดูสนุกดูเพลินดีแท้ หนังไม่ซีเรียสกับตัวเอง ฮากำลังดี แถมยังกวนโอ๊ยได้ที่ กัดตัวเองซะอีกต่างหาก

     เท่านั้นยังไม่พอ ยังมีการสอดแทรกข้อคิดดีๆ ตามประสาอนิเมชั่นฝรั่ง ที่สอนใจได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ อย่างการที่ไม่ควรไปปิดกั้นจินตนาการของตนเองและคนอื่น และหนุนใจให้เรากล้าที่จะลุกขึ้นมาคิดต่างคิดสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ให้เกิดขึ้น

     นี่จึงเป็นอนิเมชั่นเลโก้ที่ทำออกมาเพื่อแฟนๆ ของเลโก้โดยแท้ ซึ่งก็มีทั้งเด็กๆ ในยุคนี้ และคนเคยเด็กที่ทุกวันนี้กลายเป็นพ่อแม่ลุงป้าน้าอาคนไปแล้ว เลโก้คือของเล่นที่อาจแลดูธรรมดาๆ แต่ด้วยจินตนาการที่ไม่สิ้นสุดของคนเรา ทำให้สามารถนำชิ้นส่วนต่างๆ ของมันมาประกอบเข้าด้วยกันจนกลายเป็นสิ่งต่างๆ อันน่าทึ่งได้อย่างไม่สิ้นสุดตามแต่จินตนาการของเราจะพาไปถึง ซึ่งนี่แหล่ะที่ทำให้เลโก้กลายเป็นของเล่นอมตะในใจของคนจำนวนมหาศาลมาจนถึงทุกวันนี้




ให้ไป 7/10 แต่ถ้าคุณเป็นแฟนเลโก้ก็บวกคะแนนพิศวาสเพิ่มเข้าไปได้เลยโลด




วันพฤหัสบดีที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2557

300: Rise of an Empire (2014): มหาศึกสโลว์โมชั่น

300: Rise of an Empire (2014): มหาศึกสโลว์โมชั่น

     ภาคแรกที่ออกมาในปี ค.ศ.2006 กลายเป็นขวัญใจมหาชนคนดูหนังซะขนาดนั้น หลายปีผ่านมา ใครจะไปคิดว่าอยู่ๆ ก็มีภาคต่อนี้ออกมาให้ดูกันอีก ซึ่งหลายคนก็ได้แสดงอาการยี้ใส่แต่เนิ่นๆ ด้วยเห็นว่าไม่มีเหตุอันควรใดๆ ที่จะทำภาคสอง (นอกจากเงิน) เพราะก็รู้ๆ กันอยู่ว่าในหนัง 300 พวกพระเอกน่ะตายหมดแล้ว (ขอโทษที่สปอยล์สำหรับบางคนที่ยังไม่ได้ดูนะ อิอิ)

     แต่ช้าก่อน ผู้สร้างเขาไม่ได้กะทำภาคต่อออกมาแบบหวังตีหัวเข้าบ้าน เอาชื่อ 300 มาหากินซะอย่างเดียวจนไม่สนใจอะไร เพราะจริงๆ แล้วภาคนี้ก็มีเพิ่มมุมมองทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจอีกด้านหนึ่งของมหาสงครามครั้งโน้นมานำเสนอ ส่วนเรื่องราวนั้นจะเกิดขึ้นคู่ขนานกันไปกับภาคแรก โดยหันมาว่ากันถึงฝ่ายกรีกที่ต้องทำยุทธนาวีกับฝ่ายเปอร์เซียบ้างล่ะ ซึ่งกำลังพลของพวกเขาก็มีจำนวนเพียงน้อยนิดหากเทียบกับฝ่ายตรงข้าม เรียกว่าตกเป็นเบี้ยล่างไม่ได้ดีไปกว่าเหล่าทหารสปาร์ตั้น จาก 300 สักเท่าไหร่เลยล่ะ

     แน่นอนที่จุดขายเด่นๆ ของหนังคือยังคงเป็นฉากบู๊มันส์ๆ โหดๆ เลือดซีจีสาด เน้นขายสไตล์ โชว์สโลว์โมชั่นเท่ๆ สวยๆ ซึ่งแม้ทุกวันนี้อะไรแบบนี้จะถูกลอกสูตรนี้ไปใช้กันจนเกร่อแล้ว แต่ยังดีที่ในหนังบรรดาฉากบู๊ส่วนใหญ่ยังถูกออกแบบมาได้อย่างน่าสนใจอยู่

     สิ่งที่ขาดไปจากภาคนี้ แน่นอนก็คือความรู้สึกตื่นตาตื่นใจไปกับบรรดาฉากการรบ ที่ทุกวันนี้มีให้เห็นกันจนเฝือ แทบจะไม่หือไม่อือกันแล้ว ไม่เหมือนกับในสมัยที่ภาคแรกออกฉาย และในด้านอารมณ์เสียดสี อารมณ์ตกเป็นรองของฝ่ายพระเอกที่ยังถูกนำมาเน้นได้ไม่ค่อยชัดเจนจนคนดูต้องคอยลุ้นเอาใจช่วยเหมือนในภาคแรก

     สิ่งที่โดดเด่นที่สุดในเรื่องย่อมต้องเป็นแม่สาว Eva Green ที่ทั้งสวย เท่ แกร่ง โหด เซ็กซี่ มีเสน่ห์ดึงดูดสุดๆ เธอเป็นตัวแทนของพลังหญิงที่ถูกขับเน้นให้สามารถถ่วงดุลอำนาจกับเหล่าเพศชายแมนๆ ทั้งหมดทั้งปวงในเรื่องได้อย่างสมศักดิ์ศรี เรียกได้ว่างานนี้ถ้าไม่มีเธอสักคนแล้วล่ะก็ หนังคงจะกร่อยลงไปเยอะเลยทีเดียว

     แน่นอนว่าหนังคงไม่ดีเทียบเท่าภาคแรกอยู่แล้ว แต่ก็ต้องบอกเลยว่าภาคนี้ไม่ได้ทำให้ภาคแรกต้องเสียชื่อแต่อย่างใด เพราะสามารถยึดอกพกมีดของตนมาตั้งหลักบู๊ได้อย่างไม่เสียฟอร์ม ทั้งยังสามารถแทรกตัวเองเข้ากับเรื่องราวในภาคแรกได้แบบเนียนๆ เป็นเนื้อเดียวกัน ไม่ได้เป็นเอกเทศแยกออกจากกันเหมือนหนังคนละม้วนเช่นหนังภาคต่อเรื่องอื่นๆ ทั้งยังดูสนุก ให้ความรู้ทางด้านประวัติศาสตร์ (แม้อาจจะไม่ตรงเป๊ะๆ) อีกต่างหากแหน่ะ





ดูสนุก ดูเพลิน ไม่ทำให้ต้นฉบับต้องมัวหมอง ให้ 7/10 ไปเลยโลด



ปล.การได้ดูหนังเรื่องนี้บนจอ IMAX ช่วยเพิ่มอรรถรสในการรับชมได้อีกเยอะ แต่รอบที่เราดู รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าหนังโดนหั่นไปอย่างน้อย 2 ฉาก (โดยเฉพาะฉากเลิฟซีน อดเลย! :P) ซึ่งถ้าจะทำหมอกลงแบบในภาคแรกซะ เราว่ายังจะโอเคซะกว่าที่จะตัดฉับออกไปดื้อๆ แบบนี้ เพราะทำให้เสียความต่อเนื่องไปเยอะทีเดียว ที่โรงอื่นๆ รอบอื่นๆ ก็เป็นเหมือนกันใช่ไหม วานบอกที?