3 Days to Kill (2014): ชวนป๋ามาบู๊แหลก
ดูจากหน้าหนังแล้วหลายคนคงจะเดาว่าเสี่ย Luc Besson แห่ง EuropaCorp คงจะมากับสูตรหากินเดิมๆ อย่างการทำหนังแอ็คชั่นในปารีสแล้วก็พ่วงนักแสดงชายรุ่นใหญ่ที่เคยดังคับทุ่งจากฮอลลีวู้ดมารับบทนำ แบบที่เคยใช้ได้ผลมาแล้วใน Taken ทั้งสองภาคจนป๋า Liam Neeson กลายเป็นนักบู๊รุ่นใหญ่ไปแล้วนั่นไง
แต่ดูเหมือนคราวนี้เสี่ย Besson โดยการนำเสนอของ ผกก.McG และป๋า Kevin Costner เขาจะไม่ได้ตั้งหน้าตั้งตาเอาสูตรเดิมๆ มาหากินซะทีเดียว เพราะหนังให้น้ำหนักไปทางอารมณ์ขัน และอารมณ์ดราม่าสานสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกอีกด้วย แถมยังให้น้ำหนักเยอะซะจนแทบจะกลบด้านแอ็คชั่นไปเลยทีเดียว
ดังนั้นใครคาดหวังจะดูเอามันส์อาจจะต้องผิดหวังอย่างแรง เพราะหนังไม่ได้บู๊กันระเบิดระเบ้อ (แต่ฉากบู๊ที่มีอยู่เพียงน้อยนิดก็ดูโอเคอยู่นะ) แถมอารมณ์ขันแบบฝรั่งเศสในเรื่องก็ดูแปลกๆ มากกว่าจะฮา ซึ่งเดาว่าเพราะ ผกก.และพระเอกคืออเมริกันเลยไม่รู้จังหวะปล่อยมุกแบบฝรั่งเศสกระมัง
ป๋า Costner ในวัย 59 ขวบยังดูเท่และโอเคกับการเล่นฉากบู๊ ทำให้อยากจะเห็นแกในหนังบู๊อีกถ้าสังขารยังอำนวย ส่วนหนู Amber Heard มีหน้าที่โผล่มาทำหน้าสวยเป็นระยะๆ ให้หนุ่มๆ อิจฉาป๋า Johnny Depp ที่ได้เมียสวย และบรรดาสาวเล็กสาวใหญ่แฟนป๋าก็คงจะหมั่นไส้อยากดักตบหน้าปากซอยไปตามๆ กัน
ยังดีที่หนังยังมีช่วงเวลาดีๆ อยู่บ้าง (รวมทั้งวิวงามๆ ของปารีส) ไม่ได้เลวร้ายไปซะหมด ซึ่งถ้าหากเราไม่ตั้งความหวังผิดๆ อย่างที่หน้าหนังชวนให้ตั้งแล้วล่ะก็จะพบว่านี่คือหนังที่ดูเพลินใช้ได้เลยทีเดียวครั่บ
วันศุกร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557
วันพฤหัสบดีที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557
Pompeii (2014): ชู้รักภูเขาไฟถล่ม
เดี๋ยวจะหาว่า ผกก.Paul W.S. Anderson แกกะจะหากินกับแฟรนไชส์หนัง Resident Evil ไปชั่วกัลปาวสาน แกเลยขอสลับไปทำหนังแบบอื่นดูบ้าง (ก่อนจะกลับไปทำผีชีวะต่อ อิอิ) และคราวนี้แกขอพาท่านผู้ชมที่น่ารักย้อนกลับไปถึงสมัยโรมันเรืองอำนาจเลยโน่น เพื่อพบกับหนังรัก/แอ็คชั่น/ผจญภัยปนหายนะธรรมชาติที่ถูกยำคลุกเข้าด้วยกันเรื่องนี้
หากจะให้พูดถึงภาพรวมๆ ของพล็อตหนังก็คงจะประมาณ Gladiator ปน Titanic แต่ในแบบที่เล่าเรื่องให้จบภายในเวลาไม่ถึงสองชั่วโมง ซึ่ง ผกก.แกก็ไปตามสไตล์ของแกเรื่อยๆ จนจบ
เราพบว่าปัญหาของหนังมีดังนี้คือ หากจะว่ากันถึงด้านความรักของพระนางหนังก็ให้เวลาทั้งคู่เชื่อมสัมพันธ์กันน้อยเกิน คนดูก็เลยไม่อินกับเรื่องราวความรักปานจะแหกจั๊กแร้ดมของทั้งคู่ พอจะไปเน้นดูด้านแอ็คชั่น บู๊สไตล์นี้ก็ดันมีให้ดูกันจนเฝือแล้วในยุคปัจจุบัน ครั้นจะหันไปดูฉากหายนะหนักซีจีก็ทำออกมาได้ไร้อารมณ์ไม่หือไม่อือเอาเสียเลย
อันที่จริงเราว่าหนังแบบนี้นั้นมันยากมากๆ ที่จะเล่าให้จบภายในเวลาอันน้อยนิด เพราะสเกลมันค่อนข้างใหญ่ แต่ ผกก.เขาเลือกที่จะทำออกมาตามมาตรฐานของหนังป็อปคอร์นที่ดูง่ายจบง่าย มีไว้ดูเอาเพลินกับกิ๊กเข้าว่า ผลก็เลยออกมาแบบดูจบแล้วก็แล้วกันไปซะมากกว่า
วันพฤหัสบดีที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557
RoboCop (2014): ไอ้ตำหนวดเหล็ก
หนังดังยุคเก่าๆ เมื่อ 20-30 ปีที่แล้วต่างทยอยถูกจับมารีเมคกันทุกบ่อยๆ และแล้วก็มาถึงคิวของ RoboCop (1987) หนังดังในอดีตอีกเรื่องที่มีแฟนานุแฟนอยู่มากมาย ซึ่งย่อมเป็นปกติที่พอรู้ว่าหนังในดวงใจถูกนำมารีเมค ก็ต้องต่างพากันส่งเสียงยี้ใส่ตั้งแต่ปากซอยยันท้ายซอยเป็นธรรมดา
แต่พอเห็นชื่อของ José Padilha ผกก.ชาวบราซิลที่เคยโชว์ฟอร์มเจ๋งใน Elite Squad ทั้งสองภาค รวมทั้งยังมีทีมนักแสดงดีๆ อีกหลายคนก็พอจะทำให้หลายคน (รวมทั้งเรา) ใจชื้นขึ้นมาได้บ้าง ว่างานนี้อาจจะไม่ได้ออกมาเลวร้ายอย่างที่คิดก็ได้นะ
และผลที่ออกมาคือ นี่ไม่ได้เป็นหนังรีเมคที่ลอกของเดิมทั้งดุ้น หนังค่อนข้างมีประเด็นและมีสาระที่ต้องการนำเสนอเป็นของตนเอง และปรับเปลี่ยนอะไรหลายอย่างชนิดที่ว่ายืมของเก่ามาแค่ตัวละครเท่านั้นก็ว่าได้
แต่การปรับเปลี่ยนอะไรหลายอย่างเกินไปอาจทำให้แฟนโรโบคอปสายฮาร์ดคอร์ยี้หนักกว่าเดิม เพราะหลายๆ อย่างมันไม่โดนใจเอาเสียเลย (เช่นเมียโรโบคอปเซ็นอนุญาตให้เอาผัวเธอไปทำหุ่น?)
จริงๆ แล้วถ้าจะดูโดยไม่เอาไปเปรียบเทียบกับของเดิมแล้วจะพบว่านี่เป็นหนังที่ใช้ได้ ไม่เบาโหวง แต่ใครเล่าจะอดนำไปเปรียบเทียบล่ะ เพราะต้นฉบับเขาดังดีดังโดนซะขนาดนั้น
ครั้นจะดูเอาสนุกหนังก็หนักประเด็นไปหน่อยจนหลายช่วงดูน่าเบื่อ ถึงฉากบู๊จะดูดีใช้ได้เลย แต่โดยรวมแล้วก็ยังโดนฉากน่าเบื่อกลบไปเสียหมด นี่ถ้า ผกก.แกได้บทดีๆ กระชับกว่านี้อะไรๆ ก็อาจจะออกมาเจิดจรัสกว่านี้ก็เป็นได้
การได้เห็นโรโบคอปวิ่งลุยนาข้าว มันเป็นอะไรที่ทำให้นึกขึ้นมาทันใดว่า "โถ่ โรโบคอปกู..." ครั้นพอเดินออกมาจากโรงเห็นคนอื่นคุยกันขำๆ ว่ากระสุนปืนพระเอกแม่งยิงไม่มีวันหมด ก็ทำให้ต้องนึกในใจขึ้นมาว่า "โถ่ โรโบคอปกู..." เป็นคำรบที่สอง
หากจะคิดเล่นๆ ลองเปรียบเทียบภาคต้นฉบับกับฉบับนี้ ก็คงเหมือนในหนังที่ต้นฉบับโรโบคอปถูกผลิตในอเมริกา ส่วนในฉบับใหม่นี้กลายเป็นเมดอินไชน่า แค่นี้ก็พอจะบอกอะไรเราได้บ้างถึงตัวหนังแล้วล่ะมั้ง อิอิ
ระดับกลางๆ ไม่ดีไม่แย่ 5/10 ครับ
*ช่วงย้อนรอยหนังต้นฉบับ*
RoboCop (1987)
ต้นฉบับอันเป็นผลงานโกฮอลลีวู้ดของ ผกก.ชาวดัตช์ Paul Verhoeven เป็นอะไรที่ทั้งเท่ ทั้งรุนแรง ไม่เคยพบไม่เคยเจอที่ไหนมาก่อน (ในขณะนั้น) ครั้นเมื่อมาดูในทุกวันนี้อะไรๆ มันก็ย่อมดูเชยดูเห่ยไปบ้างตามกาลเวลา แต่โดยรวมแล้วมันก็ยังคงเป็นหนึ่งในหนังแอ็คชั่นไซไฟที่เจ๋งที่สุดอีกเรื่องหนึ่งอยู่ดี ไม่งั้นคงจะไม่มีแฟนานุแฟนเหนียวแน่นมากมายมาจนทุกวันนี้หรอกนะ
*รีวิวหนังเรื่องอื่นๆ ของ ผกก. ภายในบล็อก (คลิกรูปเพื่ออ่านรีวิว)*
วันศุกร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557
Her (2013): รักเธอ...ยัยโอเอส
ผกก.Spike Jonze (44 ขวบ) กลับมาพร้อมหนังยาวเรื่องที่สี่ ซึ่งก็ประสบความสำเร็จอย่างงามงด เป็นที่ถูกอกถูกใจทั้งนักวิจารณ์และคอหนัง จนติดโผหนังยอดเยี่ยมแห่งปี 2013 ของใครหลายๆ คน รวมทั้งได้เข้าชิงออสการ์อีกห้าสาขาเสียด้วยแหน่ะ
ไอ้เรื่องราวของคนตกหลุมรักกับปัญญาประดิษฐ์หรืออะไรที่ไม่ใช่คนเนี่ยไม่ใช่ของใหม่เลย แต่เรื่องนี้ ผกก.เขาเก่งที่สามารถทำให้คนดูเชื่ออย่างหมดใจว่านายหนวดกับ OS (Operating System หรือระบบปฏิบัติการ) รักกันได้จริงๆ ในแบบโรแมนติกไม่ใช่แบบโอตาคุหรือจิตป่วยอย่างหนังแบบนี้ส่วนใหญ่
หนังมีประโยคเด็ดๆ คำพูดโดนๆ เกี่ยวกับความรักในแบบที่จะต้องจี๊ดใจคนดูไปอีกนาน งานด้านภาพก็มีมาแต่ช็อตสวยๆ แถมยังจะเก๋ได้อีกไม่เสียแรงที่ ผกก.แกคือผู้กำกับ MV สุดแนว ส่วนงานด้านดนตรีประกอบก็แสนไพเราะแบบซึ้งๆ เศร้าๆ เสริมสร้างอารมณ์ให้หนังได้ดีจริงๆ
เพ่ Joaquin Phoenix เขามาในลุคหนุ่มหนวดแสนอ่อนไหวที่โผล่หน้ามาตลอดทั้งเรื่อง ซึ่งเขาก็ทำหน้าที่ได้อย่างมีเสน่ห์และแบกรับหนังทั้งเรื่องไว้ได้สบาย ส่วนสาว Scarlett Johansson ที่ถึงมาให้ได้ยินแต่เสียง แต่ก็ทำหน้าที่ได้อย่างดีมีเสน่ห์มีตัวมีตน ชนิดที่ว่าเป็นใครเจอโอเอสแบบนี้ไม่ตกหลุมรักก็แปลกแล้ว
แม้เรื่องราวความรักในหนังจะค่อนข้างไม่ปกติ แต่หนังก็ยังมีบางอย่างที่สามารถเชื่อมโยงเข้ากับตัวเราได้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ไม่มากก็น้อย ไม่ว่าจะด้านความสัมพันธ์ของคนเราในยุคนี้ ที่รู้จักปฏิสัมพันธ์หรือแม้แต่จะรักกันผ่านทางหน้าจอคอมพิวเตอร์ จอมือถือ มากกว่าแบบตัวเป็นๆ ภาพผู้คนที่เดินขวั่กไขว่บนถนนแต่ต่างเอาแต่สนใจคุยกับโอเอสของตัวเองโดยไม่สนใจคนรอบข้าง ซึ่งมันใช่เลยสำหรับพวกเรายุคนี้
เพราะเป็นหนังเกี่ยวกับความสัมพันธ์แบบนี้เน้นไปที่บทพูดมากกว่าเหตุการณ์แถมยาวกว่าสอง ชม.อีกต่างหาก ดังนั้นหนังจึงค่อนข้างเลือกคนดู ไม่ใช่ว่าจะดูแล้วชอบแล้วอินจะจี๊ดกันได้ทุกคน
แต่สำหรับเราบอกได้เลยว่าหนังมัน"จี๊ด" เอาไป 8/10 ครับ
*ช่วงเพลงในหนัง*
Karen O
Karen O
นอกจากหนังจะได้วง Arcade Fire และ Owen Pallett มาทำดนตรีประกอบเพราะๆ ให้ ยังมีเพลงของ Karen O สาวเก๋จากวง Yeah Yeah Yeahs ที่ชื่อ The Moon Song ซึ่งในหนังจะเป็นเวอร์ชั่นที่ Joaquin Phoenix และ Scarlett Johansson ช่วยกันร้องกันเล่นเพราะๆ ซึ้งๆ เหงาๆ ดีแท้
วันอาทิตย์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557
All Is Lost (2013): หง่อมทะลุทะเลคลั่ง
All Is Lost (2013): หง่อมทะลุทะเลคลั่ง
คุณตา Robert Redford (77 ขวบ) นั้นหรือคือเซ็กซ์ซิมโบลขวัญใจสาวเล็กสาวใหญ่สาวแท้สาวเทียมเมื่อกว่า 40 ปีที่แล้ว ครั้นมาทุกวันนี้แม้หน้าตาแกจะเหี่ยวย่นยับยู่ยี่ไปตามวัยและนานๆ จะรับเล่นหนังทีก็ตาม แต่ก็ยังเป็นที่นับหน้าถือตาจากคนรุ่นหลังในฐานะผู้ก่อตั้งเทศกาลหนังซันแดนส์ขวัญใจคนทำหนังอินดี้นั่นเอง
ส่วนผลงานล่าสุดนี้ที่แกตกลงปลงใจไปรับเล่นให้ ผกก.ไฟแรง J.C. Chandor นั้นเก๋สุดๆ เพราะทั้งเรื่องแกฉายเดี่ยวแสดงอยู่คนเดียว แถมบทพูดแทบไม่มี (ทั้งเรื่องพูดไม่กี่ประโยค) จนถือเป็นหนังเรื่องเดียวในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ที่มีนักแสดงคนเดียวและ ผกก.หนึ่งเดียวที่ควบทั้งหน้าที่กำกับและเขียนบท
อันเรื่องราวในหนังก็เป็นเรื่องของคุณตาคนหนึ่งที่แล่นเรือชิวๆ ในมหาสมุทรอินเดียอยู่ดีๆ แล้วก็เจองานเข้า ตู้คอนเทนเนอร์ขนสินค้าลอยทะเลมาทิ่มเรือแกจนรั่ว ซ้ำยังไปเจอะพายุอีกสองดอก จนคุณตาที่สุขุมรอบคอบและเปี่ยมประสบการณ์ในการเดินเรือยังแทบจะไปไม่เป็นเลยทีเดียว
ดูเผินๆ แล้วหนังชวนให้นึกถึง Cast Away (2000) และ Life of Pi (2012) ในแง่ของคนที่ประสบเคราะห์ต้องไปลอยทะเลตามลำพัง
อ่า...นับเป็นอะไรที่เก๋ปนกล้าของผู้สร้างมากที่ ให้คุณตาซึ่งหง่อมขนาดนี้มาฉายเดี่ยวคนเดียวทั้งเรื่องมากกว่าที่จะเลือกนักแสดงที่ดังกว่าหรือหนุ่มกว่านี้มาเรียกแขก ซึ่งคุณตาแกก็ไม่ได้แค่มาทำหน้ายับไปวันๆ แต่ทำหน้าที่ได้อย่างน่าจดจำเสียด้วยสิ คือถึงจะอายุปูนนี้แต่ก็ยังดูทะมัดทะแมง วาดลวดลายตกน้ำป๋อมแป๋ม เล่นเองเปียกเองในหลายๆ ฉากแบบไม่เกรงใจไขข้อเสื่อม แถมแกยังเอาหนังทั้งเรื่องอยู่ แม้แทบจะไม่ได้เอื้อนเอ่ยวาจาเลยก็ตาม (Tom Hanks ยังมีวอลเล่ย์บอลและนาย Pi ยังมีเสือให้คุยเป็นเพื่อน แต่คุณตาไม่มีอะไรเลย) แกจึงต้องแสดงอารมณ์สื่อออกมาทางหน้าตาท่าทางแทน
จริงๆ แล้วหนังก็เป็นการเปรียบเทียบตนเองกับชีวิตของคนเราซึ่งเปรียบดั่งเรือที่บางครั้งต้องแล่นผ่านมรสุมชีวิต ที่แต่ละคนย่อมมีจุดอ่อนและขีดจำกัดของตนเอง แม้แต่กับคนที่ฉลาดสุขุมรอบคอบ เปี่ยมประสบการณ์ในการดำเนินชีวิตที่สุดก็ตาม ก็ยังอาจจะถึงกับเหวอแดกในบางคราเมื่อเจอมรสุมชีวิตลูกแล้วลูกเล่า หนังบอกว่าถึงแม้เราอาจจะรู้สึกว่าสูญเสียทุกอย่างไปหมดสิ้น แต่ตราบใดที่เรายังมีร่างกายและจิตวิญญาณอยู่ ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ไม่มีใครช่วงชิงไปได้ หากเราไม่ด่วนยอมแพ้ต่อโชคชะตาจนตัดสินใจละทิ้งสองสิ่งนี้ไปเสียก่อน สุดท้ายคงได้พบพานกับแสงสว่างและทางออกในที่สุด
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)